ยอดหญิงสกุลเสิ่น – ตอนที่ 216-1 คลื่นยักษ์ในพิธียกน้ำชา

คุณภาพอาหารของจวนจิ้นอ๋องยังนับได้ว่าสูงอย่างยิ่ง เสิ่นเวยชิมไปไม่กี่คำก็พยักหน้าอย่างพอใจ กินไปได้ครึ่งหนึ่ง แม่นมซือประจำกายพระชายาจิ้นอ๋องก็เดินเข้ามา “คารวะคุณชายใหญ่ ฮูหยินใหญ่เจ้าค่ะ พระชายาให้บ่าวมาดูว่าเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วหรือยัง” 

 

 

นี่เป็นการตำหนิที่พวกเขาล่าช้าจึงมาเร่งรัดหรือไม่ ดวงตาเสิ่นเวยกะพริบวาบ วางตะเกียบลงลุกขึ้นกล่าว “ทำเสด็จแม่เป็นห่วงแล้ว เสด็จแม่ร้อนใจแล้วหรือ พวกข้า พวกข้าจะไปเดี๋ยวนี้” บนใบหน้ามีความรีบร้อน มองสวีโย่วที่ยังคงนั่งตัวตรงกินข้าว 

 

 

สวีโย่วไม่แม้แต่จะเหลือบตาขึ้นมอง เหล่าคนรับใช้ก็ยิ่งก้มหน้าไม่กล้าส่งเสียงสักนิดเดียว ความเงียบสงัดแผ่กระจายทั่วห้องโถงเล็ก กดดันยิ่งนัก 

 

 

เสิ่นเวยที่ยืนอยู่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างถึงที่สุด นางเป็นเจ้าสาว หน้าบาง สามีก็ยังไม่ไว้หน้าเพียงนี้ ดวงตาของนางก็แดงทันที เอ่ยปากด้วยความกล้าหาญแต่สีหน้ากลับลำบากใจ “ท่าน…ท่านพี่ เสด็จพ่อ เสด็จแม่รออยู่ พวกเรารีบไปดีกว่า” ทว่าเท้าใต้โต๊ะกลับเตะสวีโย่วหนึ่งครา สักนิดก็ได้แล้ว รีบเอ่ยปากสักหน่อย แสดงเกินบทบาทจะไม่ดีเอา 

 

 

จากนั้นก็เห็นสวีโย่ววางถ้วยลงบนโต๊ะดัง ‘ปัง’ กล่าวกับเสิ่นเวยอย่างไม่พอใจ “โวยวายอะไร จะให้คนกินข้าวเช้าดีๆ หรือไม่ นั่งลง กินข้าวของเจ้า ยกน้ำชาเป็นพิธีที่ต้องใช้แรง ไม่กินให้อิ่มอีกประเดี๋ยวจะขายหน้าข้า” 

 

 

จากนั้นก็ตำหนิหลีฮวาและคนรับใช้ที่ยืนปรนนิบัติคนอื่นๆ “แต่ละคนไม่มีตาดีสักนิด ไม่เห็นหรือว่าฮูหยินพวกเจ้าเพิ่งจะจับตะเกียบ ยืนบื้ออยู่ทำไม ยังไม่รีบมารับใช้ฮูหยินกินข้าวอีก เก็บพวกเจ้าไว้ทำไมกัน แต่ละคนวางมาดสูงกว่านายเสียอีก” ใครบอกว่าคุณชายใหญ่สวีเย็นชา เขาเองก็ชี้หน้าด่าเป็น เห็นสีหน้าของแม่นมซือเหยเกขึ้นมาแล้ว 

 

 

นายท่านเจ้าบ้านก็พูดเช่นนี้แล้ว เสิ่นเวยที่เป็นเจ้าสาวที่เพิ่งเข้าเรือนมาย่อมต้องเชื่อฟังสามี นางยิ้มขอโทษให้แม่นมซือเล็กน้อย สั่นระริกนั่งลงกินข้าวเช้าต่อ อืม หมันโถวลูกเล็กเนื้อนุ่มนี้ทำได้ไม่เลว ต้องกินอีกลูก ผักดองจากนนี้ก็ชุ่มคอยิ่งนัก ต้องกินอีกหน่อย เสิ่นเวยกวาดสายตา ตะเกียบของหลีฮวาก็ยื่นไปทางนั้น นายบ่าวทั้งสองรู้ใจกันยิ่งนัก 

 

 

สวีโย่วเพิ่งจะมองแม่นมซือ “หากข้าจำไม่ผิด น้องสะใภ้รองกับน้องสะใภ้สามต่างก็ยกน้ำชายามซื่อ ตอนนี้เพิ่งจะยามเฉิน เสด็จแม่ก็ร้อนใจแล้วหรือ” 

 

 

แม่นมซือพูดอะไรได้หรือ แม้ว่านายท่านผู้นี้จะเป็นคุณชายใหญ่ในจวน แต่นางกับนายท่านผู้นี้ยังไม่เคยผูกมิตรกันจริงๆ เลย นางไหนเลยจะคิดว่านายท่านผู้นี้ไม่ไว้หน้านางเลยแม้แต่นิดเดียว อย่างไรเสียนางก็เป็นแม่นมที่มีเกียรติที่สุดประจำกายพระชายา เมื่อคิดถึงท่าทีที่เขาตำหนิฮูหยินใหญ่ แม่นมซือก็เข้าใจเล็กน้อย แม้แต่ฮูหยินใหญ่ที่เพิ่งเข้าเรือนยังถูกตำหนิ นับประสาอะไรกับนางที่เป็นบ่าว มิน่าเล่าพระชายาถึงแอบพูดว่าคุณชายใหญ่มีนิสัยแปลกๆ ผิดมนุษย์มนาทั่วไป 

 

 

“ได้อย่างไรกัน พระชายาเป็นห่วงว่าคุณชายใหญ่กับฮูหยินใหญ่อายุน้อย กลัวว่าจะมีตรงไหนไม่เข้าใจ สั่งให้บ่าวมาช่วยเหลือ” แม่นมซือกล่าวพร้อมรอยยิ้ม 

 

 

สวีโย่วพยักหน้าเล็กน้อย บอกเป็นนัยว่าเข้าใจแล้ว “ทำให้เสด็จแม่เป็นกังวลแล้ว” ทว่ากลับเปลี่ยนเรื่อง “เสด็จแม่ก็เป็นกังวลเกินไป ข้ากับฮูหยินไม่รู้เรื่อง ไม่ใช่ยังมีแม่นมมั่วอยู่หรือ นางเป็นคนเก่าคนแก่ในวัง จะไม่เข้าใจได้อย่างไร” 

 

 

ประโยคเรียบๆ หนึ่งประโยคกลับพูดจนแม่นมซือเหงื่อแตกไปทั่วทั้งร่าง คุณชายใหญ่หมายความว่าอย่างไร ไม่ใช่ตำหนิพระชายาที่ยุ่งเรื่องผู้อื่นมากไปหรือ แต่นางเป็นแค่บ่าวก็ทำได้เพียงรับฟัง ยิ้มเจื่อนยืนอยู่ที่เดิมด้วยความอึดอัด 

 

 

ท่ามกลางความทรมานของแม่นมซือในที่สุดสวีโย่วก็กินเสร็จแล้ว เขาลุกขึ้นยืนมือไพล่หลังเดินออกไปข้างนอก “ไปเถอะ ไปยกน้ำชาให้เสด็จแม่” เสิ่นเวยเร่งฝีเท้าเล็กๆ ตามอยู่ข้างๆ เขาราวกับสตรีตัวน้อยทันที 

 

 

แม่นมซือไปรายงานก่อน สวีโย่วพาเสิ่นเวยเดินยุรยาตรเข้าไปในเรือนหลัก เดินไปพลางแนะนำทัศนียภาพในจวนให้นางไปพลาง ข้างหลังตามมาด้วยสาวใช้ที่ถือ**บของขวัญหนึ่งกลุ่ม 

 

 

อันที่จริงสวี่โย่วอยากจูงมือเล็กๆ ของเสิ่นเวยอย่างยิ่ง กลับถูกนางปฏิเสธ ในเมื่อจะเล่นละครก็ต้องเล่นให้สมจริง แม้จะรู้ว่าไม่ช้าไม่เร็วก็ต้องถูกเปิดโปง แต่ตอนนี้ก็ยังไม่ใช่เวลาที่จะถูกเปิดโปงไม่ใช่หรือ นางเพิ่งจะมาถึง สงบเสงี่ยมหน่อยดีกว่า โวยวายข่มขู่คนที่จริงแล้วไม่ใช่นิสัยของนาง นางเป็นคนรักสันติ รักชีวิต 

 

 

ดังนั้นคนรับใช้ในจวนอ๋องมองดูไกลๆ แล้ว จึงคิดว่าคุณชายใหญ่กำลังตำหนิฮูหยินเจ้าสาวคนใหม่อยู่ ส่วนฮูหยินใหญ่ที่เพิ่งแต่งเข้ามาผู้นั้นก็พยักหน้าเล็กน้อย ยังคิดว่าคุณชายใหญ่แต่งฮูหยินแล้วจะมีนิสัยอ่อนโยนขึ้น ไม่คิดว่า… เหอะ ฮูหยินใหญ่น่าสงสารยิ่งนัก 

 

 

“มาแล้วๆ คุณชายใหญ่ ฮูหยินใหญ่มาแล้ว รีบเข้ามาด้านในเถิดเจ้าค่ะ” หวาเยียนที่ยืนรอต้อนรับอยู่หน้าประตูสั่งคนให้ไปรายงานด้านในไปพลาง ต้อนรับเข้ามาอย่างกระตือรือร้นไปพลาง โค้งตัวคำนับกล่าว “คารวะคุณชายใหญ่และฮูหยินใหญ่” จากนั้นจึงนำสวีโย่วและเสิ่นเวยเข้าไปข้างในด้วยตัวเอง 

 

 

ก้าวเข้าธรณีประตู เสิ่นเวยก็เห็นสามีภรรยาวัยกลางคนหนึ่งคู่ที่นั่งตัวตรงอยู่บนที่นั่งเจ้าภาพ จิ้น 

 

 

พระชายานางเคยเจอแล้ว เพียงแต่วันนี้เห็นนางสวมชุดตัวใหญ่สีแดงเข้มปักลายเมฆและนกกระจอก บนศีรษะปักปิ่นระย้าทองสลักลายเฟิ่งหวงสองอัน บนใบหน้าแต่งหน้าบางๆ ท่าทางสง่างามสูงส่ง เมื่อเห็นพวกเขาเข้ามา บนใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้ม “โย่วเอ๋อร์กับภรรยาโย่วเอ๋อร์มาแล้ว เด็กดี ไหนมาให้แม่ดูสิ” คนที่ขานเรียกก็คือเสิ่นเวย 

 

 

“เหตุใดถึงมาช้าเพียงนี้ ปล่อยให้ผู้ใหญ่รอ เหมือนกับอะไรดี” ทว่าจิ้นอ๋องกลับมีสีหน้าไม่พอใจ เขารอมาครึ่งชั่วยามแล้ว ลูกชายคนโตเพิ่งจะพาเจ้าสาวเดินกรีดกรายมา เขาจะมีความสุขได้อย่างไร หากไม่ใช่พระชายาโน้มน้าวไว้ เขาก็คงจะสะบัดแขนเสื้อออกไปนานแล้ว 

 

 

เสิ่นเวยชายตามองจิ้นอ๋องอย่างรวดเร็ว เป็นคุณอารูปงามวัยกลางคนที่ดูแลตัวเองดีอย่างถึงที่สุด หน้าตาเหมือนสวีโย่วสามส่วน เพียงแค่สีหน้าไม่พอใจนั่นทำให้เสิ่นเวยรู้สึกไม่ดีกับเขาทันที 

 

 

สวีโย่วไม่รีบไม่ร้อน กล่าวถามพระชายาจิ้นอ๋องด้วยความประหลาดใจ “ในจวนเปลี่ยนกฎตั้งแต่เมื่อไร เหตุใดถึงไม่มีใครแจ้งลูกเลย น้องสะใภ้รองน้องสะใภ้สามยกน้ำชาต่างก็เป็นยามซื่อ เหตุใดพอเป็นลูกถึงได้เปลี่ยนเล่า” 

 

 

คิ้วของจิ้นอ๋องขมวดมุ่นทันที สายก็คือสาย ยังมัวพูดมากหาเหตุผมอยู่อีก ช่างไม่รู้กาลเทศะเสียจริงๆ กำลังจะอ้าปากตำหนิ พระชายาข้างกายก็กระแทกแขนของเขา “ท่านอ๋องก็พูดให้น้อยหน่อย ลูกก็มาแล้วมิใช่หรือ” นางเป็นคนตั้งใจปลุกท่านอ๋องมาตั้งแต่เช้าตรู่ 

 

 

พระชายาจิ้นอ๋องหันไปทางสามีภรรยาข้าวใหม่ปลามันที่ยืนอยู่ตรงหน้า บนใบหน้าเปี่ยมล้นไปด้วยรอยยิ้ม กล่าวอย่าเป็นมิตร “อย่าถือสาพ่อเจ้าเลย เขาก็ใจร้อนเช่นนี้ จะเร็วจะสายอะไรกัน เป็นคนบ้านเดียวกันใครจะมาคิดเล็กคิดน้อยเรื่องนี้ มาๆๆ รีบยกน้ำชาเถอะ ชาของลูกสะใภ้แก้วนี้ข้าเฝ้ารอมาหลายปีแล้ว” 

 

 

หวาเยียนที่เตรียมการอยู่นานแล้วก็ส่งแก้วชาเข้ามาทันที “ฮูหยินใหญ่ เชิญท่านยกน้ำชา” 

 

 

เสิ่นเวยลังเลครู่หนึ่งจึงรับแก้วชาเข้ามา แต่เนิ่นนานกลับไม่ได้ยกให้พระชายาจิ้นอ๋อง ในตอนที่รอยยิ้มบนใบหน้าพระชายาจิ้นอ๋องแทบจะประคองไว้ไม่อยู่แล้ว เสิ่นเวยก็ร้อง ‘ฮือ’ ออกมา 

 

 

คนในห้องต่างก็ตกตะลึง นี่ นี่มันอะไรกัน 

 

 

พระชายาจิ้นอ๋องเองก็คลายสะดุ้งตกใจ ไล่ถามซ้ำไปซ้ำมา “เป็นอะไร เป็นอะไร ภรรยาโย่วเอ๋อร์เป็นอะไรไป ได้รับความไม่เป็นธรรมอะไรหรือ โย่วเอ๋อร์ใช่เจ้ารังแกภรรยาเจ้าหรือไม่ ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัว เด็กดี มีอะไรไม่พอใจก็บอกแม่ แม่กับพ่อจะช่วยเจ้าเอง” 

 

 

หลังจากนั้นสายตาที่จิ้นอ๋องมองลูกชายคนโตก็ยิ่งขรึมเคร่ง น่าขายหน้า เจ้าสาวที่แต่งเข้ามาวันแรกก็ถูกรังแกร้องไห้ต่อหน้าผู้อาวุโส มันช่าง มันช่าง…เขามือสั่นชี้สวีโย่ว โกรธจนพูดไม่ออกแล้ว 

 

 

“ไม่ ไม่เกี่ยวกับท่านพี่ ท่านพี่ดีต่อลูกอย่างยิ่ง” เสิ่นเวยสะอึกสะอื้นไห้ เนิ่นนานภายใต้การปลอบโยนของพระชายาจิ้นอ๋องกว่าจะหยุดร้องไห้ได้ เสิ่นเวยที่เพิ่งร้องไห้ก็ยิ่งมีท่าทางน่าสงสาร “เสด็จแม่ไม่ชอบลูกใช่หรือไม่” นางเช็ดน้ำตาถามเสียงเบา แม้ว่าเสียงจะเบา แต่คนทั้งห้องก็ได้ยินกันถ้วนหน้า 

 

 

นอกจากสวีโย่วที่ยืนสีหน้าเรียบเฉยอยู่ตรงนั้น คนที่เหลือก็จับต้นชนปลายไม่ถูกอย่างยิ่งเช่นเดียวกับพระชายาจิ้นอ๋อง “ภรรยาโย่วเอ๋อร์ไปเอาคำพูดมาจากไหนกัน” 

 

 

เสิ่นเวยกัดริมฝีปาก ครู่ใหญ่จึงกล่าว “เสด็จแม่ให้ลูกยกน้ำชา แม้แต่เบาะก็ยังไม่มี นี่ไม่ได้หมายความว่าไม่ชอบลูกหรอกหรือ” นางเม้มปาก ใช้ดวงตาที่ดูเหมือนขลาดกลัวลอบมองพระชายาจิ้นอ๋องปราดหนึ่ง จากนั้นจึงกล่าว “ตอนที่ลูกยังไม่ออกเรือนก็ได้ยินคนพูดกันว่า มีแม่สามีใจร้ายเหล่านั้นที่ตั้งใจกลั่นแกล้งตอนที่สะใภ้ยกน้ำชา ชาที่ยกเป็นน้ำร้อนจัดบ้างล่ะ ไม่วางเบาะปล่อยให้สะใภ้คุกเข่าลงบนพื้นบ้างล่ะ ในเบาะซ่อนเศษกระเบื้องและเข็มแหลมไว้บ้างล่ะ แสร้งมือลื่นถือแก้วชาไม่ได้ทำหกใส่สะใภ้บ้างล่ะ” 

 

 

เสิ่นเวยยิ่งพูดเสียงก็ยิ่งสั่น ท่าทางหวาดกลัวอย่างยิ่ง “เสด็จแม่ เสด็จแม่ ลูกรู้ว่าตนโง่ ท่านอย่าได้รังเกียจลูก ลูกจะกตัญญูต่อท่านและเสด็จพ่อเป็นอย่างดี” ขณะที่พูด นางก็ดึงแขนเสื้อของพระชายาจิ้นอ๋อง น้ำตาไหลพรั่งพรูลงมาอีกครั้ง ร้องไห้ด้วยความเสียใจ 

 

 

คนในห้องนอกจากสวีโย่วที่ยกมุมปากอยู่เงียบๆ สายตาคนอื่นๆ ที่มองเสิ่นเวยก็คล้ายเห็นตัวประหลาด พูดความคิดออกมาตรงๆ เช่นนี้ คนผู้นี้โง่หรือ เป็นคนโง่หรือ หรือว่าเป็นคนโง่ 

 

 

คุณชายสี่สวีฉั่งก็ยิ่งพ่นน้ำชาออกมา แทบจะตกลงจากเก้าอี้ จ้องมองพี่สะใภ้ใหญ่คนใหม่ผู้นี้ของเขา หลังจากนั้นก็ดีใจแล้ว ใครๆ ก็บอกว่าเขาสมองกลวง ดูท่าแล้วพี่สะให้ใหญ่คนใหม่ผู้นี้จะสมองกลวงยิ่งกว่าเขาเสียอีก 

 

 

ใบหน้าของพระชายาจิ้นอ๋องดำมืดแล้ว แต่กลับยังแสร้งทำท่าทีเอ็นดูปลอบขวัญเสิ่นเวย “ดูสิทำภรรยาโย่วเอ๋อร์ตกใจหมดแล้ว เป็นความผิดของแม่เอง เป็นแม่ที่สะเพร่า…” 

 

 

พูดยังไม่ทันขาดคำ หวาอวิ๋นข้างๆ ก็คุกเข่าลง “ฮูหยินใหญ่ นี่ไม่เกี่ยวกับพระชายา พระชายาสั่งบ่าวแต่เช้าแล้ว แต่บ่าวสะเพร่าลืมไปชั่วขณะ ฮูหยินใหญ่ บ่าวสมควรตาย ท่านลงโทษบ่าวเถิดเจ้าค่ะ” 

 

 

“นี่…ทำอะไรกัน” เสิ่นเวยสะดุ้งตกใจจนถอยหลังไปหนึ่งก้าวใหญ่ “เจ้า เจ้ารีบลุกขึ้น” นางลนลานไม่รู้จะวางมือวางเท้าไว้ตรงไหน มองพระชายาจิ้นอ๋องราวกับขอความช่วยเหลือ “เสด็จแม่ นี่คือสาวใช้ใหญ่ยอดเยี่ยมประจำกายท่าน ท่านรีบสั่งนางให้ลุกขึ้นเถิด” 

 

 

คราวนี้พระชายาจิ้นอ๋องไม่ทำโทษหวาอวิ๋นก็ไม่ได้แล้ว “ปกติเจ้าก็ปราดปเรียว เหตุใดวันนี้ถึงได้สะเพร่าเช่นนี้ หากวันนี้ข้าไม่ลงโทษเจ้า คุณชายใหญ่กับฮูหยินใหญ่ก็คงไม่ได้รับความเป็นธรรม เด็กๆ ลากออกไป โบยห้าครั้ง ตัดเงินเดือนสามเดือน” 

 

 

แววตาสวีโย่วนิ่งงัน ถีบคนที่มาลากหวาอวิ๋นออกไปข้างๆ ทันที “หากเสด็จแม่จะลงโทษก็กลับไปลงโทษที่เรือนของท่าน วันนี้เป็นวันแรกของการแต่งงานของลูก อย่าสร้างความรำคาญใจให้ลูกที่นี่ เป็นลางไม่ดี” 

 

 

เสิ่นเวยเองก็รีบร้องขอ “เหตุใดเสด็จแม่ถึงบันดาลโทสะเล่า นางสำนักผิดแล้ว แก้ไขก็พอแล้ว ไม่ต้องลงโทษอีกหรอกกระมัง แม้จะลงโทษตัดเงินเดือนก็พอแล้ว โบยจนเจ็บไม่ใช่จะทำให้เสด็จแม่เสียใจหรือ” 

 

 

พระชายาจิ้นอ๋องแทบจะเป็นลม คาดไม่ถึงว่าคนชั่วสมควรตายผู้นี้จะพูดว่านางเป็นลางไม่ดี “ในเมื่อฮูหยินใหญ่ขอร้องแทนเจ้าแล้ว จะยังคุกเข่าอยู่ตรงนี้ทำไม ยังไม่รีบลุกขึ้นยืนอีก” ไฟโกรธทั้งทรวงอกของพระชายาจิ้นอ๋องหาที่ระบายไม่ได้ ทำได้เพียงพาลใส่หวาอวิ๋น ความรู้สึกที่ขโมยไก่ไม่ได้ซ้ำยังเสียข้าวสารช่างน่าอึดอัดอย่างถึงที่สุด 

 

 

หวาอวิ๋นโขกศีรษะให้เสิ่นเวยอย่างรีบร้อน “ขอบคุณพระชายาที่เมตตา ขอบคุณฮูหยินใหญ่” ลุกขึ้นยืนตัวสั่นหลบไปข้างหลังแล้ว 

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

เนื่องด้วยถูกมารดาเลี้ยงกลั่นแกล้ง ทำให้ เสิ่นเวย ผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอต้องตายลงด้วยความน่าเวทนา ทว่าด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้ทหารสาวในยุคปัจจุบันทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของหญิงสาวผู้ที่มีชื่อแซ่เดียวกันกับตนเอง เมื่อถูกมารดาเลี้ยงวางแผนกลั่นแกล้ง เนรเทศตนเองมาอยู่ในสถานที่รกร้างห่างไกล โดยให้เหตุผลว่าต้องการให้นาง ‘รักษาตัว’ คิดหรือว่านางจะยอมแพ้ต่อความร้ายกาจของมารดาเลี้ยงผู้นี้? ไม่เป็นไร ในเมื่อไล่นางออกมา นางก็จะใช้หนึ่งสมองและสองมือของตนนี้พลิกฟื้นพัฒนาครอบครัวของนางให้กลับมาเชิดหน้าชูตาได้อีกครั้ง!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset