ยอดหญิงสกุลเสิ่น – ตอนที่ 219-2 สร้างความรำคาญใจต่อเนื่อง

ออกจากเรือนของพระชายาจิ้นอ๋องแล้ว สวีโย่วก็มองเสิ่นเวยปราดหนึ่ง กล่าวหนึ่งประโยค “ทำได้ไม่เลว”

 

 

“ขอบคุณสำหรับคำชม” เสิ่นเวยกะพริบตาดวงโตที่ใสวาว “วางใจได้ ข้ายังทำได้ดีกว่านี้อีก ต่อไปนี้ข้าจะปกป้องท่านเอง” นางรับปากด้วยความสบายใจอย่างถึงที่สุด

 

 

ดวงตาของสวีโย่วก็โค้งเป็นจันทร์เสี้ยว ทั้งสองสบตากันปราดหนึ่ง ต่างก็รู้สึกพอใจยิ่งนัก

 

 

สวีโย่วคิด เด็กน้อยของเขาไม่ใช่นายที่สามารถอยู่นิ่งๆ ในเรือนหลังได้ ต้องหาอะไรสนุกๆ มาให้นางเล่นเสมอ มิเช่นนั้นจะอึดอัดแย่

 

 

เสิ่นเวยเองก็คิด แต่งงานไม่สนุกเลยแม้แต่นิดเดียว น่าเบื่อจะตายอยู่แล้ว ซ้ำยังออกจากจวนไปเที่ยวไม่ได้ โชคดีที่ยังมีพระชายาจิ้นอ๋อง แกล้งนางหาความสนุกฆ่าเวลา มิเช่นนั้นชีวิตนี้ก็เงียบเหงาเกินไปจริงๆ!

 

 

อืม ไม่ใช่บอกไว้หรือว่าจวนจวิ้นอ๋องของพวกเขาสร้างเสร็จแล้ว เช่นนั้นเมื่อไรจะย้ายไปอยู่ได้เล่า พรุ่งนี้หรือ พรุ่งนี้ไม่ได้ พรุ่งนี้ต้องกลับบ้าน เช่นนั้นวันมะรืนหรือ คาดว่าก็คงไม่ได้เหมือนกัน พวกเขาเพิ่งจะแต่งงาน เพื่อให้ตนมีเกียรติ ท่านจิ้นอ๋องสองสามีภรรยาไม่มีทางปล่อยคนแน่นอน

 

 

เมื่อกลับมาถึงเรือน แม่นมมั่วก็มาขอคำสั่ง “ฮูหยิน สินเดิมของท่านจะให้เก็บอย่างไรเจ้าคะ”

 

 

เสิ่นเวยกะพริบตา มองสวีโย่วแล้วกล่าว “พวกเราคงไม่ได้อยู่ที่นี่ไปตลอดใช่หรือไม่”

 

 

สวีโย่วมองท่าทางของเสิ่นเวยที่บอกว่าขอเพียงแค่เจ้ากล้าพยักหน้าข้าก็ข่วนเจ้าได้ทันที จากนั้นก็ยิ้มพลางส่านหน้า “ไม่หรอก ผ่านเดือนแต่งงานไปพวกเราก็จะหาเหตุผลย้ายออกไป”

 

 

เสิ่นเวยถอนหายใจหนึ่งคราอย่างโล่งอกในชั่วขณะ กล่าวกับแม่นมมั่ว “ไม่ต้องเก็บ วางในไว้ห้องลงกลอนไว้เถอะ รอไปจวนจวิ้นอ๋องแล้วค่อยเก็บ” อย่างไรเสียถึงตอนนั้นก็ต้องยกไปอยู่ดี

 

 

แม่นมมั่วออกไปแล้ว สวีโย่วก็กล่าว “บ่าวในเรือนเจ้าพบหมดแล้วใช่หรือไม่”

 

 

เสิ่นเวยงงงัน ถามอย่างไม่เข้าใจ “ข้าจะไปพบบ่าวทำไม”

 

 

สวีโย่วทั้งขบขันทั้งโมโห จิตใจเด็กคนนี้ใหญ่จริงๆ เจ้าสาวคนอื่นแต่งเข้ามาก็ต้องกุมอำนาจก่อนมิใช่หรือ ไม่ใช่ว่าปรารถนาให้สามีเอ่ยประโยคนี้ขึ้นมาเองหรอกหรือ มีแต่เด็กสาวคนนี้ที่ยังถามด้วยสีหน้างุนงงทั้งใบหน้าว่าทำไม คิดถึงนิสัยของนาง สวีโย่วก็อดทนอธิบายให้นางฟัง “เพราะข้าไม่ได้อยู่ในจวนบ่อยๆ บ่าวในเรือนของพวกเราก็มีเยอะ หลายปีมานี้มีเจี่ยงปั๋วดูแล ถือเป็นพ่อบ้านใหญ่ของข้า เจียงเฮยเจียงไป๋ข้างกายข้าเจ้าก็รู้จักแล้ว คนที่เหลือ อืม ช่างเถอะ กลับไปข้าจะให้เจี่ยงปั๋วมาเคารพเจ้า คนที่เหลือไม่สำคัญ เจ้าก็ไม่ต้องไปพบ มีอะไรเรียกเจี่ยงปั๋วก็ได้แล้ว”

 

 

เสิ่นเวยพยักหน้า ไม่เก็บมาใส่ใจเลยแม้แต่นิดเดียว แม้แต่เรื่องในเรือนของตนนางก็โยนให้หลีฮวาและคนอื่นๆ จัดการ ตนไม่เคยทุกข์ใจเลยแม้แต่น้อย ฝั่งสวีโย่วนางก็ยิ่งไม่มีทางสอดมือเข้าไปยุ่ง

 

 

“หลีฮวา ไปเรียกเถาจือ เหอฮวา เถาฮวาพวกนางมาหาข้าทั้งหมด” จู่ๆ เสิ่นเวยก็ออกคำสั่ง แต่งเข้ามาสองวันนี้วุ่นวายโกลาหล นางเองก็ไม่ทันได้ถามว่าสาวใช้ที่ตามนางมาเหล่านี้เป็นอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะเถาฮวากับฉาฮวา สองคนนี้อายุยังน้อย อีกทั้งเถาฮวายังโง่เขลา อย่าได้ถูกใครกลั่นแกล้งจึงจะดีที่สุด

 

 

“ท่านยังไม่ออกไปอีกหรือ” เสิ่นเวยชายตามองคนบางคนที่ยังคงนั่งบื้อเฉยเมยอยู่ในห้องไม่มีความคิดจะออกไปเลยแม้แต่นิดเดียว

 

 

สวีโย่วกล่าวด้วยความไร้เดียงสาอย่างยิ่ง “ไปไหนหรือ เจ้าไม่ใช่ว่าไม่รู้ ข้าเป็นคนว่างงาน ตอนนี้งานที่สำคัญที่สุดก็คือการอยู่กับฮูหยิน”

 

 

เสิ่นเวยถลึงตาใส่เขาปราดหนึ่ง “ข้าจะไปจัดการธุระแล้ว ท่านคิดว่าท่านอยู่ที่นี่จะดีหรือ”

 

 

สวีโย่วยื่นหน้ากล่าว “พวกเราไม่ใช่สามีภรรยาร่างเดียวหรอกหรือ ไม่เป็นไร เจ้าจัดการเรื่องเจ้าไป ข้าจะไม่รบกวนเจ้า”

 

 

“ตามใจท่าน” เสิ่นเวยกลอกตาขาว หยิบบันทึกท่องเที่ยวเล่มนั้นบนโต๊ะยัดใส่มือเขา “ไป ไปอยู่ตรงนั้น”

 

 

สวีโย่วถือบันทึกการท่องเที่ยวเดินไปอยู่ตรงมุมที่เสิ่นเวยชี้อย่างเชื่อฟัง ภาพๆ นั้นทำให้เจียงเฮยเจียงไป๋ที่อยู่นอกประตูแทบจะตาถลน สามีกลัวภรรยา คุณชายของพวกเขาเป็นสามีกลัวภรรยาไปแล้ว!

 

 

“คารวะฮูหยิน” ไม่นานนักเหล่าสาวใช้ก็เข้ามาแล้ว

 

 

หางตาของเสิ่นเวยกระตุก ทุกครั้งที่ได้ยินคำว่าฮูหยินสองคำนี้นางก็ไม่สบอารมณ์ทุกครั้ง! นางยังอายุไม่ถึงสิบหกปีเต็มเลย สาวใช้เรียกเช่นนี้ นางรู้สึกว่าตัวเองแก่แล้ว

 

 

“เป็นอย่างไร คุ้นชินแล้วหรือยัง” เสิ่นเวยเอ่ยปากถาม คนที่นางนำมามีไม่เยอะ เพราะรู้ว่าจะไม่ได้อยู่ที่จวนอ๋องนาน นางจึงให้คนส่วนใหญ่อยู่ที่เรือนเฟิงหวา คิดว่าอีกไม่กี่วันค่อยให้พวกเขาไปอยู่ที่จวนจวิ้นอ๋องโดยตรง

 

 

คนหลายคนมองหน้ากันปราดหนึ่ง เถาจือก้าวออกมาก่อน มองใครบางคนที่มุมห้องปราดหนึ่งแล้วจึงกล่าว “ทูลฮูหยิน พวกบ่าวสบายดียิ่งนัก คนฝั่งนี้ของคุณชายใหญ่ต่างก็เป็นมิตรมาก บ่าวรู้สึกไม่ต่างอะไรกับการอยู่ที่เรือนเฟิงหวาของพวกเรา”

 

 

เหอฮวาเย่ว์กุ้ยเองก็คล้อยตาม “ดีอย่างยิ่ง คนในเรือนคุณชายใหญ่ค่อนข้างเคารพพวกบ่าว อีกทั้งยังช่วยเหลือพวกบ่าวด้วยความกระตือรือร้น”

 

 

เสิ่นเวยย่อมสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของเถาจือแล้ว ถลึงตามองไปที่มุมห้องด้วยความไม่พอใจปราดหนึ่ง “พูดความจริง พวกเจ้าต่างก็เป็นคนที่ข้าพามา ในเมื่อติดตามนายเช่นข้า ข้าก็สามารถปกป้องพวกเจ้าได้ หากได้รับความไม่เป็นธรรมก็อย่าเก็บไว้กับตัวเอง คนที่ออกจากเรือนเฟิงหวาของพวกเราไม่มีกฎข้อนี้”

 

 

สาวใช้ไม่กี่คนมองหน้ากันและกัน ไม่รู้ว่าคุณหนูหมายความว่าอย่างไร ทว่าสวีโย่วที่มุมห้องกลับใช้หนังสือปิดใบหน้า ในดวงตาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

 

 

“ฮูหยิน พวกบ่าวสบายดีจริงๆ เจ้าค่ะ ไม่ถูกกลั่นแกล้งใดๆ” คราวนี้เย่ว์กุ้ยก้าวออกมาแล้ว

 

 

คิ้วของเสิ่นเวยขมวดมุ่น ยังคงไม่เชื่ออย่างยิ่ง นางคิดว่าจะต้องเป็นเพราะสวีโย่วอยู่พวกนางจึงไม่กล้าพูดความจริง ในละครต่างก็มีเหล่าสาวใช้ที่ตามเจ้าสาวออกเรือนทะเลาะเบาะแว้งกับเหล่าสาวใช้ในเรือนนายผู้ชายไม่ใช่หรือ แม้ว่าจะเป็นพี่รองที่แต่งเข้าบ้านฝั่งมารดาก็ยังเตือนนางว่าต้องระวังจุดนี้

 

 

ยังคงเป็นเถาฮวาที่เบ้ปาก กล่าวด้วยสีหน้าไม่พอใจทั้งใบ “คุณหนู เหตุใดท่านถึงเปลี่ยนเป็นฮูหยินแล้วเล่า ใช่หลังจากนี้ท่านจะไม่ใช่คุณหนูของข้าแล้วหรือไม่”

 

 

เสิ่นเวยหน้าเหยเก นางเองก็ไม่อยากเป็นฮูหยินบ้าอะไรนี่เหมือนกัน! ทว่าแต่ละคนต่างก็เรียกนางฮูหยิน นางจะไม่รับได้อย่างไร เห็นท่าทีสับสนและเป็นกังวลทั้งใบหน้าของเถาฮวา ในใจเสิ่นเวยก็อบอุ่น เฮ้อ ยังคงเป็นเด็กโง่คนนี้ที่ดี

 

 

“คุณหนูแต่งงานแล้วก็ต้องเป็นฮูหยินสิ! ถ้าเถาฮวาไม่ชินก็เรียกคุณหนูก็ได้ เถาฮวาของพวกเรายอดเยี่ยมขนาดนั้น คุณหนูไปไหนก็ต้องพาเจ้าไปด้วยแน่นอน” เสิ่นเวยกล่าวปลอบนาง

 

 

“จริงหรือ ดีจริงๆ” ใบหน้าเล็กๆ ที่ยับยู่ของเถาฮวาเบิกบานทันที ตบมือร้องดีใจ ทำให้เสิ่นเวยอิจฉาอย่างถึงที่สุด มีความสุขก็ยิ้ม ไม่มีความสุขก็ร้องไห้ นี่ไม่ใช่วาสนาอย่างหนึ่งหรอกหรือ

 

 

“แต่ว่าพี่เถาจือไม่ให้ข้าออกจากเรือน แล้วยังไม่ให้ข้ามาหาคุณหนูอีกด้วย” เถาฮวายิ้มเสร็จแล้วก็ฟ้องขึ้นมา

 

 

เสิ่นเวยมองเถาฮวาปราดหนึ่ง เห็นความจนใจบนใบหน้าของนาง ย่อมต้องเข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น นางบีบแก้มเล็กๆ ของเถาฮวา กล่าว “พี่เถาจือของเจ้าหวังดีต่อเจ้า นี่ไม่ใช่เรือนเฟิงหวาของพวกเรา หากเจ้าวิ่งออกไปก่อเรื่องจะถูกโบยเอาได้” เสิ่นเวยขู่นางหนึ่งประโยคก่อน แล้วจึงกล่าว “แต่ว่าพวกเราก็อยู่ที่นี่อีกไม่นาน รอไปจวนจวิ้นอ๋องแล้วเจ้าอยากเล่นซนอะไรก็ย่อมได้ ตอนนี้ก็ทนไปก่อน”

 

 

เห็นเถาฮวายังคงไม่มีความสุขเล็กน้อย เสิ่นเวยก็เกลี้ยกล่อมนางอีก “เอาล่ะ เลิกเบะปากได้แล้ว พรุ่งนี้กลับบ้าน เถาฮวาก็ตามคุณหนูกลับจวนโหวด้วยกันดีหรือไม่ พวกเราไม่พาพี่เถาจือของเจ้าไป ลงโทษให้นางอยู่ดูแลเรือนที่จวนอ๋องแทน”

 

 

เถาฮวาดีใจขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นเสิ่นเวยก็ถามฉาฮวาครู่หนึ่ง จากนั้นจึงไล่พวกนางออกไป

 

 

เสิ่นเวยเดินไปตรงหน้าสวีโย่วด้วยความโมโห ดึงบันทึกท่องเที่ยวในมือเขาออกแล้วโยนไปบนโต๊ะ “ดูสิ ดูสิ เพราะท่านคนเดียวเลย ท่านอยู่ในห้องสาวใช้ของข้าเลยไม่กล้าพูดความจริง ข้าจะบอกท่านให้ หากสาวใช้ใหญ่ในเรือนท่านรังแกพวกเขา ข้าไม่ยอมแน่”

 

 

“เด็กโง่!” สวีโย่วบีบแก้มเล็กๆ ที่ดีดเด้งของเสิ่นเวยหนึ่งครา กล่าว “ในเรือนข้าไหนเลยจะมีสาวใช้ใหญ่ นอกจากหญิงชราใช้แรงงานไม่กี่คน ที่เหลือล้วนแต่เป็นบ่าวรับใช้ผู้ชาย จะเอาที่ไหนมารังแกสาวใช้ของเจ้าได้ เจ้าวางใจได้เลย พวกเขายังไม่แต่งภรรยาทั้งสิ้น ยังไม่ทันได้เอาใจพวกนางด้วยซ้ำ จะเอาที่ไหนมารังแกได้”

 

 

เสิ่นเวยไม่เชื่ออย่างยิ่ง กล่าวอย่างระแวง “ท่านไม่ได้โกหกข้าหรือ ข้างกายคุณชายตระกูลใดบ้างไม่มีสาวใช้ปรนนิบัติติดตัว แล้วดูจากแม่เลี้ยงของท่าน จะปล่อยโอกาสอันดีนี้ไปได้อย่างไร”

 

 

มุมปากสวีโย่วปรากฎความเหยียดหยาม “นางไม่ยอม หลายปีก่อน หญิงสาวมากมายในเรือนข้าวุ่นวายยิ่งนัก ต่อมาถูกข้าหาโอกาสลงโทษหนึ่งครั้ง พวกนางก็เชื่อฟังแล้ว เพราะว่าข้าอยู่บนเขาตลอดทั้งปี สาวใช้ที่มีปณิธานเหล่านั้นจึงหาหนทางเดินออกไปเกือบหมดแล้ว หลังข้ากลับมาก็ถือโอกาสขับไล่ออกไปทั้งหมด เปลี่ยนเป็นหญิงชราและเด็กรับใช้แทน”

 

 

แม้ว่าสวีโย่วจะพูดอย่างเรียบง่าย แต่เสิ่นเวยก็ยังคงได้ยินความลำบากจากในนั้นได้ สวีโย่วมองแววตาเล็กๆ ที่เห็นอกเห็นใจของเสิ่นเวย รู้ว่านางคิดมากอีกแล้ว

 

 

เฮ้อ ความสงสารของภรรยาที่ชอบคิดว่าตนได้รับความไม่เป็นธรรมต้องแก้อย่างไรกันนะ

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

เนื่องด้วยถูกมารดาเลี้ยงกลั่นแกล้ง ทำให้ เสิ่นเวย ผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอต้องตายลงด้วยความน่าเวทนา ทว่าด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้ทหารสาวในยุคปัจจุบันทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของหญิงสาวผู้ที่มีชื่อแซ่เดียวกันกับตนเอง เมื่อถูกมารดาเลี้ยงวางแผนกลั่นแกล้ง เนรเทศตนเองมาอยู่ในสถานที่รกร้างห่างไกล โดยให้เหตุผลว่าต้องการให้นาง ‘รักษาตัว’ คิดหรือว่านางจะยอมแพ้ต่อความร้ายกาจของมารดาเลี้ยงผู้นี้? ไม่เป็นไร ในเมื่อไล่นางออกมา นางก็จะใช้หนึ่งสมองและสองมือของตนนี้พลิกฟื้นพัฒนาครอบครัวของนางให้กลับมาเชิดหน้าชูตาได้อีกครั้ง!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset