ยอดหญิงสกุลเสิ่น – ตอนที่ 239-2 ตบหน้าเพี๊ยะๆๆ

อวี้ซื่อสาปแช่งอยู่ในห้องครู่ใหญ่จึงสงบอารมณ์ลงได้ ในตอนนี้เองหย่งหนิงโหวก็เดินมือไพล่หลังเข้ามา อวี้ซื่อตกใจ “ท่านโหวกลับมาได้อย่างไร มีเรื่องอะไรหรือ” นี่ยังไม่ถึงเวลาเลิกงานเลย!

 

 

หย่งหนิงโหวใบหน้าเคร่งขรึม จ้องมองอวี้ซื่อก่อน จากนั้นจึงโบกมือไล่คนรับใช้ในห้องทั้งหมดออกไป อวี้ซื่อก็ยิ่งประหลาดใจ “ท่านโหว เกิดเรื่องแล้วจริงๆ หรือ” บนใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวล

 

 

หย่งหนิงโหวเพิ่งจะมองอวี้ซื่อแล้วกล่าว “ภรรยาอวี้เอ๋อร์กลับบ้านฝั่งมารดาเหตุใดเจ้าถึงไม่ส่งคนไปรับ”

 

 

อวี้ซื่อใจเต้น ท่านโหวรู้แล้วหรือ ท่านโหวที่แต่ไหนแต่ไรไม่ใส่ใจเรือนหลังรู้ได้อย่างไรว่าเสิ่นซื่อกลับบ้านฝั่งมารดา หญิงชั่วหน้าไม่อายคนไหนปากมาก ความคิดแรกของอวี้ซื่อก็คือสตรีหลายคนนั้นในเรือนหลังอยู่ไม่สุขแล้ว

 

 

“ท่านโหวไปฟังมาจากไหน ภรรยาอวี้เอ๋อร์เพียงแค่กลับบ้านฝั่งมารดาไปพักสองวันจะรบกวนท่านโหวได้อย่างไร!” อวี้ซื่อยกยิ้มกล่าว “ท่านโหวเองก็เหมือนกัน เรื่องเล็กเท่านี้รอตกกลางดึกค่อยถามไม่ได้ ท่านโหวถึงกับต้องออกจากที่ว่าการกลับจวนก่อนเชียวหรือ” นางไม่พอใจ

 

 

หย่งหนิงโหวได้ยินดังนั้น คิ้วกลับขมวดมุ่น ยังคงจ้องมองใบหน้าของอวี้ซื่อ “เพียงแค่กลับบ้านฝั่งมารดาไปพักสองวันงั้นหรือ เหตุใดข้าถึงได้ยินว่าแม่สามีเช่นเจ้าตบหน้าภรรยาอวี้เอ๋อร์เล่า นางอับอายรับไม่ได้จึงวิ่งกลับบ้านฝั่งมารดา”

 

 

รอยยิ้มบนใบหน้าของอวี้ซื่อหายวับฉับพลัน “ไหนเลยจะจริงจังอย่างที่ท่านโหวพูด เพียงแค่ภรรยาอวี้เอ๋อร์ไม่รู้ประสา ข้าจึงลงโทษนางเล็กๆ น้อยๆ…”

 

 

“ดังนั้นเจ้าเลยตบหน้านางต่อหน้าบ่าวรับใช้ทั้งห้องงั้นหรือ” หย่งหนิงโหวพูดแทรก

 

 

เผชิญหน้ากับสายตาที่บีบบังคับของท่านโหวของตน ชั่วพริบตาอวี้ซื่อก็ใจฝ่อขึ้นมา ตะโกนอย่างแข็งนอกอ่อนใน “ข้าเป็นแม่สามี สั่งสอนกฎระเบียบลูกสะใภ้แล้วอย่างไร เสิ่นซื่อกำเริบเพียงนั้น เอ่ยปากก็ทำลายชื่อเสียงเฟยเฟย ข้าอบรมนางเล็กน้อยแล้วอย่างไร อยู่ดีๆ ก็กระฟัดกระเฟียดวิ่งกลับบ้านฝั่งมารดา นี่หมายความไม่เห็นข้า แล้วยังไม่เห็นจวนหย่งหนิงโหวของพวกเราอยู่ในสายตา”

 

 

คิ้วของหย่งหนิงโหวขมวดมุ่นยิ่งขึ้น กล่าวอย่างไม่พอใจนัก “เหตุใดเรื่องนี้ถึงได้มีเรื่องของเฟยเฟยเด็กคนนั้นด้วยเล่า”

 

 

อวี้ซื่อถือโอกาสราดน้ำมันบนไฟเล่าเรื่องหนึ่งรอบ กล่าวอย่างเดือดดาล “อย่างไรเสียเสิ่นซื่อผู้นั้นก็มีเจตนาให้ร้าย เฟยเฟยเพิ่งจะอายุเท่าไรเอง เป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง สนิทกับอวี้เอ๋อร์เหมือนเป็นพี่ชายแท้ๆ เหตุใดพอเสิ่นซื่อพูดถึงได้กลายเป็นความคิดสกปรกโสมมเล่า” อวี้ซื่อตำหนิอย่างไม่พอใจ

 

 

นางวางแผนอื่นไว้ให้ลูกน้องสาวผู้นี้แล้ว เฟยเฟยเด็กคนนั้นหน้าตาสะสวย เป็นคู่สมรสที่ดีอย่างยิ่ง บุตรอนุภรรยาหลายคนในจวน หนึ่งคือไม่ค่อยเหมาะสมนัก สองคือนางไม่ถูกชะตา ให้เกียรติพวกนางไม่สู้ให้เกียรติเฟยเฟย อย่างน้อยภายหลังนางมีอำนาจแล้วก็ไม่มีทางลืมนางผู้เป็นป้าได้

 

 

ดังนั้นนางจึงไม่เคยคิดจะแต่งลูกน้องสาวเป็นอนุภรรยาของลูกชาย

 

 

ทว่าหย่งหนิงโหวกลับกล่าวอย่างไม่เห็นด้วย “ภรรยาของอวี้เอ๋อร์พูดถูก เฟยเฟยโตเป็นสาวแล้ว วิ่งไปห้องอวี้เอ๋อร์บ่อยๆ เช่นนี้อย่างกับอะไรดี เจ้าเองก็ไม่พูดบ้างนางกลับทำตัวตามใจ ไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ”

 

 

อวี้ซื่อสะอึก กล่าวอย่างไม่ยอม “ท่านโหว อวี้เอ๋อร์กับเฟยเฟยเป็นลูกพี่ลูกน้องแท้ๆ เฟยเฟยไปหาอวี้เอ๋อร์ก็เพียงแค่ให้สอนบทกลอน”

 

 

“ต่อให้เป็นพี่น้องแท้ๆ เจ็ดปียังไม่อาจร่วมโต๊ะอาหาร” หย่งหนิงโหวกล่าวเสียงต่ำ เขาเป็นปัญญาชนที่สุภาพเรียบร้อยที่สุด “นางเป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง อ่านหนังสือข้อปฏิบัติสตรีหลักกตัญญูเล็กน้อยก็พอแล้ว สอนบทกลอนอะไรกัน นี่ไม่ใช่ทำให้อวี้เอ๋อร์เสียเวลาทบทวนบทเรียนหรอกหรือ วุ่นวาย วุ่นวายเกินไปแล้ว!”

 

 

เห็นสีหน้าของอวี้ซื่อไม่ดีนัก หย่งหนิงโหวคิดแล้วคิดอีกจึงกล่าว “ลูกน้องสาวผู้นั้นของเจ้าหากอยากเรียนกลอนกวีจริงๆ เจ้าก็เชิญอาจารย์หญิงมาให้นางก็ได้แล้ว ค่าใช้จ่ายแค่นี้จวนหย่งหนิงโหวของข้ายังรับผิดชอบได้”

 

 

หากจ้าวเฟยเฟยอยู่ตรงนี้ คงจะต้องว้าวุ่นใจมากเป็นพิเศษ ใครจะบ้าอยากเรียนกลอนกวีกัน ความปรารถนาของข้าไม่ได้อยู่ที่บทกลอน แต่อยู่ที่ญาติผู้พี่ต่างหาก

 

 

“เช่นนั้นข้าก็ขอขอบคุณท่านโหวก่อนเลย” อวี้ซื่อได้ยินแล้วก็สนใจขึ้นมาทันที เฟยเฟยฉลาดเพียงนั้น หากได้เรียนสักหนึ่งปีครึ่งปี ถึงตอนนั้นได้ชื่อว่าเป็นสตรีผู้มีความสามารถใดๆ การหมั้นหมายก็ยิ่งง่ายดาย

 

 

หย่งหนิงโหวพยักหน้า จากนั้นจึงกล่าว “แม้จะบอกว่าเสิ่นซื่ออารมณ์ร้อนไปหน่อย แต่อย่างไรเสียเรื่องนี้ก็เป็นความผิดของเจ้า ไม่ต้องให้ถึงพรุ่งนี้ วันนี้เลยแล้วกัน เจ้าพาอวี้เอ๋อร์ไปรับเสิ่นซื่อกลับมาจากจวนจงอู่โหว ให้อวี้เอ๋อร์ขอโทษภรรยาของเขาดีๆ”

 

 

ดวงตาของอวี้ซื่อเบิกโตอย่างรวดเร็ว ประหนึ่งแมวถูกเหยียบหาง “ให้ข้าไปรับเสิ่นซื่อหรือ นางเป็นใครกัน! ท่านโหวท่านไม่รู้ ก่อนหน้านี้แม่นมจวนจงอู่โหวมาโอ้อวดเหิมเกริมที่จวนของพวกเราแล้ว มีหรือที่กลั่นแกล้งคนเช่นนี้ ข้าว่า ในเมื่อวุ่นวายจนเป็นเช่นนี้แล้ว ไม่สู้ขับเสิ่นซื่อผู้นั้นให้สิ้นเรื่อง อวี้เอ๋อร์ของพวกเรามีความรู้ความสามารถ…”

 

 

ยังพูดไม่ทันจบก็ถูกเสียงขว้างถ้วยชาของหย่งหนิงโหวตัดบทแล้ว “ขับเสิ่นซื่องั้นหรือ เจ้าบังอาจนัก เจ้ามันหญิงโง่ เจ้าไม่ดูเสียบ้างว่าตอนนี้จวนจงอู่โหวเป็นเช่นไร นายท่านผู้เฒ่าโหวเป็นราชครู ไม่เพียงแต่เป็นหัวหน้าขุนนางฝ่าบบุ๋น ซ้ำยังได้รับความเชื่อใจจากฝ่าบาทอย่างยิ่ง เจ้าจะขับหลานสาวของเขา เจ้าจะนำหายนะมาให้จวนหย่งหนิงโหวหรือ”

 

 

สีหน้าของหย่งหนิงโหวไม่ดีอย่างยิ่งแล้ว “เจ้าคิดว่าจวนหย่งหนิงโหวยังเป็นเหมือนยี่สิบปีก่อนหรือ เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าฝั่งเจ้าขับเสิ่นซื่อ ฝั่งเขาก็สามารถแต่งเข้าตระกูลสูงส่งได้ทันที ทั่วทั้งเมืองหลวงอยากเชื่อมสัมพันธ์ทางการสมรสกับจวนจงอู่โหวเยอะถมไป หากไม่ใช่ข้าสนิทสนมกับพี่เสิ่น เขาจะวางใจให้บุตรสาวแต่งเข้าจวนพวกเราหรือ เจ้าที่เป็นแม่สามียังคิดจะบังคับบุตรสาวพวกเขา ข้าเห็นพี่เสิ่นก็รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องแล้ว”

 

 

เดิมทีวันนี้เขาทำงานที่ที่ว่าการ พี่เสิ่นมาหาด้วยตัวเอง ภายใต้ความประหลาดใจเขาจึงต้อนรับอย่างกระตือรือร้น ไหนเลยจะรู้ว่าพี่เสิ่นพูดอ้ำๆ อึ้งๆ บอกเขาว่าบุตรสาวได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมจากแม่สามีในบ้านสามี กลับบ้านไปสองวันแล้ว อีกทั้งยังบอกเป็นนัยว่านายท่านผู้เฒ่าโหวโมโหแล้ว แม้แต่คำพูดว่าหย่าก็เอ่ยออกมาแล้ว

 

 

หย่งหนิงโหวตกใจใหญ่ เรื่องนี้เขาไม่เคยได้ข่าวเลยแม้แต่นิดเดียว! ด้วยอำนาจในตอนนี้ของจวนจงอู่โหว พี่เสิ่นตกลงแต่งบุตรสาวเข้ามาเขาก็ซาบซึ้งอย่างยิ่งแล้ว ไม่ว่าจะเป็นบุตรสาวคนใดก็ตาม อย่างไรเสียเป็นบุตรสาวของพี่เสิ่นก็พอแล้ว

 

 

แม้ชั่วชีวิตนี้ของเขาจะไม่ค่อยประสบความสำเร็จนัก แต่ก็ยังหวังว่าลูกชายจะได้ดี หาบ้านพ่อตาที่มีอำนาจเช่นนี้ให้ลูกชายได้เขาก็พอใจอย่างยิ่งแล้ว เดิมลูกชายก็มีความรู้ความสามารถ บ้านพ่อตาช่วยอีกแรง วันที่จวนหย่งหนิงโหวพัฒนาก็อยู่ไม่นานเกินรอแล้ว! ทุกครั้งที่เขานึกถึงตรงนี้เขาก็รู้สึกว่าชีวิตมีความหวัง

 

 

แม้ว่าเสิ่นซื่อลูกสะใภ้ผู้นี้เขาจะเห็นไม่บ่อยนัก แต่ความประทับใจก็ไม่เลว เคารพเชื่อฟังมีมารยาทฟังว่ายังเชี่ยวชาญบทกลอน เทียบกับความประพฤติของภรรยาตนแล้ว หย่งหนิงโหวไม่เชื่อคำพูดของอวี้ซื่อแม้แต่นิดเดียว

 

 

“เจ้าไม่ไปรับหรือ หรือจะให้ข้าไป” หย่งหนิงโหวกล่าวถาม “หญิงโง่เช่นเจ้าอยากทำลายอวี้เอ๋อร์ใช่หรือไม่ เจ้าเองก็ไม่คิดบ้างว่านายท่านผู้เฒ่าโหวเป็นขุนนางคนสนิทของฝ่าบาท ขอเพียงแค่เขาบอกเป็นนัยต่อหน้าฝ่าบาทเล็กน้อยว่าอวี้เอ๋อร์ครอบครัวแตกหัก อวี้เอ๋อร์จะยังมีอนาคตอะไรได้”

 

 

อวี้ซื่อตกใจอย่างยิ่งทันที “ร้าย…ร้ายแรงเพียงนี้เลยหรือ”

 

 

หย่งหนิงโหวหายใจแรง “ร้ายแรงกว่าที่เจ้าคิดไว้มาก สร้างความประทับใจที่ไม่ดีให้แก่ฝ่าบาท อวี้เอ๋อร์จะดีได้อย่างไร เจ้าลองทำสิ ทำลายอนาคตของลูกเจ้าเอง” หย่งหนิงโหวว้าวุ่นใจยิ่งนัก เหตุใดเขาถึงได้แต่งงานกับหญิงโง่เช่นนี้ ก่อนหน้านี้ก็บีบบังคับอนุภรรยา ตอนนี้ก็บีบบังคับลูกสะใภ้ นางทำเรื่องถูกต้องได้บ้างหรือไม่

 

 

“ท่านโหว ข้าจะไป ข้าจะไปขอโทษเสิ่นซื่อผู้นั้นด้วยตัวเอง” อวี้ซื่อรีบตะโกนกล่าว ตอนนี้นางไม่ห่วงศักดิ์ศรีอะไร แม่สามีอะไรอีกแล้ว ลูกชายคือสิ่งสำคัญของนาง ทั้งยังเป็นที่พึ่งในช่วงชีวิตครึ่งหลังของนาง เพื่อลูกชายแล้วอย่าว่าแต่ให้นางไปขอโทษ แม้จะต้องคุกเข่านางก็กลั้นใจทำได้!

 

 

สีหน้าของหย่งหนิงโหวดีขึ้นเล็กน้อย กล่าวกำชับ “ไปดูสิว่าซื่อจื่ออยู่ในจวนหรือไม่ หากไม่อยู่ก็ไปหาที่ราชวิทยาลัยกั๋วจื่อ” เลี่ยงไม่ให้นานไปยิ่งแย่ รีบไปรับเสิ่นซื่อกลับมาเสียจะดีกว่า

 

 

หย่งหนิงโหวสองสามีภรรยาไม่รู้ว่าลูกชายของพวกเขาร้อนใจยิ่งกว่าพวกเขาเสียอีก

 

 

แม้เว่ยจิ่นอวี้จะยังคงเป็นนักเรียนของราชวิทยาลัยกั๋วจื่อ แต่เรียนมาถึงระดับนี้เขาก็ไม่จำเป็นต้องมาราชวิทยาลัยกั๋วจื่อทุกวัน วันนี้เขานำบทความหลายเล่มที่ตนเขียนในช่วงนี้มาขอคำแนะนำจากอาจารย์ที่ราชวิทยาลัยกั๋วจื่อ ถือโอกาสแลกเปลี่ยนความรู้กับเพื่อนร่วมชั้นเรียนด้วยเล็กน้อย ขณะที่กำลังถกเถียงกันอย่างออกรถออกชาติ น้องชายคนเล็กของภรรยาเขาก็เข้ามาหา เอ่ยปากก็ถามว่าเขาใช่ต้องการหย่ากับพี่ห้าของเขาหรือไม่

 

 

คำพูดเดิมของเสิ่นเจวี๋ยพูดเช่นนี้ “พี่เขย แท้จริงแล้วตระกูลพวกท่านคิดเช่นไรกันแน่ หากตระกูลพวกท่านไม่ชอบพี่ห้าของข้าจริงๆ ท่านปู่ก็บอกว่าสามารถหย่าได้ แม่สามีทรมานพี่ห้าของข้าเช่นนี้เพื่ออะไร ตบหน้าลูกสะใภ้ เรื่องนี้อย่าว่าแต่ตระกูลใหญ่ตระกูลโตไม่มี ต่อให้เป็นครอบครัวชาวนายังหายากเลย! นายท่านจวนจงอู่โหวของพวกข้ายังไม่ตาย พี่ห้ากลับบ้านมาสองวันแล้ว จวนท่านไม่ถามไม่ไถ่ หมายความว่าอย่างไรท่านบอกได้หรือไม่”

 

 

ให้ตายเถอะ เรื่องนี้ใหญ่จริงๆ! เว่ยจิ่นอวี้รู้สึกเพียงสายตาที่เพื่อนร่วมชั้นมองเขาแปลกขึ้นมาทันที ถูกน้องชายภรรยามาหาถึงราชวิทยาลัย ใบหน้าของเขาก็ร้อนผ่าว เขาคิดจะหาที่ลับตาพูดคุย แต่น้องภรรยาผู้นั้นดันไม่ยอม “คนของจวนจงอู่โหวของพวกข้าต่างก็มีนิสัยตรงไปตรงมา ไม่มีเรื่องใดที่ไม่พูดต่อหน้าคนไม่ได้ มีอะไรพวกเราก็พูดออกมาอย่างเปิดเผยบริสุทธิ์ใจสิ! พี่เขยห้า เหตุใดแม่สามีถึงตบพี่ห้าของข้าเล่า” เสิ่นเจวี๋ยถามด้วยใบหน้าจริงจัง “แม้พี่ห้าของข้าจะโมโหง่าย ทว่าแต่ไหนแต่ไรก็รักษากฎระเบียบดีอย่างยิ่ง กตัญญูต่อผู้อาวุโส คนที่ท่านย่ารักที่สุดในจวนก็คือนาง”

 

 

เว่ยจิ่นอวี้รู้สึกว่าสายตาที่สาดมาบนร่างเขาร้อนผ่าวยิ่งขึ้น ทำได้เพียงอดทนอธิบาย “น้องเจวี๋ย เจ้าเข้าใจผิดแล้ว พี่กับพี่ห้าของเจ้าทะเลาะกันเพียงไม่กี่ประโยค ไม่เกี่ยวกับท่านแม่จริงๆ” ภายใต้สายตาที่จับจ้อง เว่ยจิ่นอวี้ไม่โง่ จะยอมรับว่าแม่เขาตบหน้าภรรยาเขาได้อย่างไร ย่อมต้องรับความผิดไว้เอง ระหว่างสามีภรรยาคู่ใหม่มีปากเสียงกันก็เป็นเรื่องที่ธรรมดาอย่างยิ่งมิใช่หรือ

 

 

ทว่าเสิ่นเจวี๋ยกลับไม่คิดจะทำให้เขาสมปรารถนา “ผู้อาวุโสในตระกูลถามพี่ห้าแล้ว พี่ห้าเอาแต่ร้องไห้ ไม่ยอมพูดแม้แต่ประโยคเดียว ยังคงเป็นท่านย่าที่เห็นรอยฝ่ามือบนใบหน้าของนางจึงไต่ถามสาวใช้ข้างกายนาง ฟังว่าแม่สามีไม่พอใจสินเดิมของพี่ห้าข้าอย่างยิ่ง พี่เขยห้ามีเรื่องเช่นนี้หรือไม่”

 

 

ไม่รอให้เว่ยจิ่นอวี้ตอบเขาก็กล่าวต่อ “สินเดิมของพี่ห้าข้าก็ไม่ได้น้อยมิใช่หรือ แม้จะพูดไม่ได้ว่าดีที่สุด แต่ก็เยอะกว่าสินเดิมทั่วไปแล้ว! แม่สามีอยากได้เท่าไรกัน พี่เขยห้าท่านบอกจำนวนมาก ข้าจะกลับไปพูดกับผู้อาวุโส เพิ่มเติมให้พี่ห้าอีกหน่อย ไม่อาจปล่อยให้ของนอกกายมาทำให้ท่านพี่ถูกทรมานที่บ้านสามีได้กระมัง”

 

 

“ไม่…ไม่มีเรื่องเช่นนี้…” เว่นจิ่นอวี้ที่ปกติพูดจากคล่องแคล่วอย่างยิ่งกลับเค้นประโยคนี้ออกมาอย่างอ้ำอึ้ง น่าขายหน้าเกินไปแล้ว อึดอัดใจเกินไปแล้ว เขากระทั่งได้ยินเสียงกระซิบกระซาบของเพื่อนร่วมชั้นเรียนข้างหลัง เขาอยากหนีไปให้เร็ว แต่น้องภรรยาผู้นั้นของเขาก็ขวางอยู่ข้างประตู เขาหนีไปไม่ได้อย่างสิ้นเชิง “น้องเจวี๋ย เจ้าเอาที่ไหนมาพูด แต่ไหนแต่ไรสินเดิมของสตรีเป็นทรัพย์สินส่วนตนของตัวเอง สินเดิมของพี่เจ้ามากน้อยพวกข้าย่อมไม่สนใจอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นข้าเว่ยจิ่นอวี้เป็นสุภาพบุรุษจะคำนวณสินเดิมของภรรยาทำไมกัน” เขากล่าวอย่างมีเหตุผลและสัจธรรม

 

 

เสิ่นเจวี๋ยแสยะปาก “มีเรื่องนี้หรือไม่ก็มีเพียงจวนพวกท่านที่รู้ดี อย่างไรเสียคำพูดนี้ท่านย่าก็บีบบังคับออกมาจากปากสาวใช้ข้างกายของพี่ห้า อ้อ ฟังว่าในจวนพวกท่านยังมีคุณหนูฝั่งมารดาที่สร้างความวุ่นวายผู้หนึ่ง พี่ห้าข้าเห็นแล้วไม่ชอบใจจึงว่านางไม่กี่ประโยค จากนั้นแม่สามีก็หนุนหลังคุณหนูฝั่งมารดาตบหน้าพี่ห้าของข้า เป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่”

 

 

คนอื่นๆ ในห้องเรียนได้ยินคุณหนูฝั่งมารดาอะไรนั่น สายตาที่มองเว่ยจิ่นอวี้ก็ลุกวาวในชั่วขณะ บ้างก็อิจฉา บ้างก็ดูถูก

 

 

ส่วนเว่ยจิ่นอวี้ก็อึดอัดจนหน้าแดงก่ำ “หวังว่าน้องเจวี๋ยจะปรานีบ้าง เหตุใดถึงทำลายเชื่อเสียงสตรีต่อหน้าผู้อื่นเล่า”

 

 

เสิ่นเจวี๋ยเก็บสีหน้าท่าทางของคนทั้งหมดไว้ในสายตา ไม่สนใจเว่ยจิ่นอวี้ผู้นั้นอย่างสิ้นเชิง “หรือว่าข้าไม่ได้พูดความจริง คุณหนูฝั่งมารดาผู้นั้นในจวนท่านไม่ใช่อายุสิบสามสิบสี่ปี แต่อายุสามสี่ปีหรือไร ไม่น่าใช่ คราวก่อนพี่ห้าข้ากลับมาแม่สามียังให้คุณหนูฝั่งมารดามาเยี่ยมด้วยอยู่เลย” เสิ่นเจวี๋ยแสดงท่าทีสับสนงุนงง ทำให้มีคนหัวเราะคิกคัก

 

 

“ข้าต้องติพี่เขยสักหน่อย สตรีน่ะต่างก็ชอบมีนิสัยหึงหวง หวงแหน คุณหนูฝั่งมารดาไม่รู้ประสา พี่เขยท่านก็ไม่รู้ประสาด้วยหรือไร ชายหญิงอยู่ร่วมกันในห้องสองต่อสองเช่นนั้น พี่ห้าข้าเห็นแล้วจิตใจจะรับได้อย่างไร พี่ห้าข้าใส่ใจท่าน ท่านทำเช่นนี้ต่อนางได้อย่างไร นางโมโหจนกลับบ้านฝั่งมารดาสองวันแล้ว ท่านยังไม่ได้ดูนางเลยสักนิดเดียว ท่านเองก็ไร้เมตตาเกินไปหน่อยหรือไม่”

 

 

เสิ่นเจวี๋ยไม่สนว่าเว่ยจิ่นอวี้จะลำบากใจหรือไม่ อย่างไรเสียเขามีอะไรก็พูดออกมา หนุนหลังพี่น้องในจวน ก็ต้องพูดความผิดของฝ่ายตรงข้ามออกมา แล้วจึงพูดความไม่เป็นธรรมที่พี่น้องของตนได้รับออกมามิใช่หรือ

 

 

เว่ยจิ่นอวี้อยากวิ่งหนีออกไปจริงๆ เขาหมดหนทางจะพูดอธิบายความรู้สึกในตอนนี้ของตน คนมีหน้ามีตาเช่นนี้ถูกคนขวางไว้ในห้องชี้จมูกด่า ซ้ำยังทำต่อหน้าเพื่อนร่วมชั้น ต่อจากนี้จะให้เขาเงยหน้าขึ้นอย่างไร

 

 

โชคดีที่เด็กรับใช้ที่จวนหย่งหนิงโหวส่งมาช่วยเขาไว้ได้พอดี “ท่านซื่อจื่อ ท่านโหวหาท่านอยู่ รีบกลับจวนเถิดขอรับ”

 

 

ดวงตาเว่ยจิ่นอวี้เป็นประกายทันที นี่เป็นคำพูดที่ดีที่สุดที่เขาได้ยินมาตลอดชีวิตแล้ว

 

 

เสิ่นเจวี๋ยเห็นว่าที่ควรพูดก็พูดไปหมดแล้ว จึงรีบกล่าว “พี่เขยห้ารีบกลับไปเถิด ไปปรึกษากับท่านโหวและแม่สามีให้ดีๆ น้องจะกลับจวนไปรอข่าวจากท่านก่อน” ประสานมือหันหลังจากไปด้วยความสง่าผ่าเผย

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

เนื่องด้วยถูกมารดาเลี้ยงกลั่นแกล้ง ทำให้ เสิ่นเวย ผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอต้องตายลงด้วยความน่าเวทนา ทว่าด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้ทหารสาวในยุคปัจจุบันทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของหญิงสาวผู้ที่มีชื่อแซ่เดียวกันกับตนเอง เมื่อถูกมารดาเลี้ยงวางแผนกลั่นแกล้ง เนรเทศตนเองมาอยู่ในสถานที่รกร้างห่างไกล โดยให้เหตุผลว่าต้องการให้นาง ‘รักษาตัว’ คิดหรือว่านางจะยอมแพ้ต่อความร้ายกาจของมารดาเลี้ยงผู้นี้? ไม่เป็นไร ในเมื่อไล่นางออกมา นางก็จะใช้หนึ่งสมองและสองมือของตนนี้พลิกฟื้นพัฒนาครอบครัวของนางให้กลับมาเชิดหน้าชูตาได้อีกครั้ง!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset