ยอดหญิงสกุลเสิ่น – ตอนที่ 245-1 ย้ายบ้านแล้ว

คืนนั้น ท่านจิ้นอ๋องก็เรียกสวีโย่วเข้าไป เขามองดูลูกชายคนโตที่สูงกว่าเขาสองชุ่น นึกถึงวันพรุ่งนี้เขาก็จะย้ายจากจวนจิ้นอ๋องเข้าไปยังจวนจวิ้นอ๋องที่ฝ่าบาทพระราชทานแล้ว ตอนนี้เขาเพิ่งจะตระหนักได้ว่าบุตรชายคนโตที่แต่ไหนแต่ไรเขามองข้ามได้เติบโตอยู่ในที่ที่เขามองไม่เห็นแล้ว โตเป็นต้นไม้ใหญ่สูงเสียดฟ้า ไม่ได้พึ่งพาความช่วยเหลือจากบิดาเช่นเขาเลยแม้แต่นิดเดียวตนก็ฉกฉวยอนาคตออกมาได้แล้ว ในใจเขาเกิดความรู้สึกต่างๆ นานา

 

 

เดิมคิดอยากจะพูดประโยคให้กำลังใจหลายประโยค แต่เมื่อเอ่ยปากกลับเปลี่ยนไป “เจ้าเองก็ดูแลภรรยาเจ้าหน่อย” เถียงแม่สามี ซ้ำยังทะเลาะกับน้องสะใภ้ ไหนเลยจะต้องกำเริบเสิบสานเพียงนี้

 

 

ทว่าสวีโย่วกลับตอบหนึ่งประโยคด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เสด็จพ่อ ลูกกลัวภรรยา”

 

 

ท่านจิ้นอ๋องแทบจะสำลักตาย “เจ้า เจ้า!” เขาชี้สวีโย่ว พูดไม่ออกแม้แต่ประโยคเดียว

 

 

กลัวภรรยางั้นหรือ โย่วเอ๋อร์จวิ้นอ๋องที่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์จากฝ่าบาทกลับบอกเขาอย่างเต็มปากเต็มคำว่ากลัวภรรยา ช่างน่าขันเสียจริงๆ “เจ้ายังจะมีอนาคตได้อีกหรือ”

 

 

ดวงตาสีดำเป็นประกายของสวีโย่วกลอกขึ้น “ลูกจะไม่มีอนาคตได้อย่างไร ลูกกลัวภรรยาแล้วไปขวางตาใคร ลูกอายุยี่สิบกว่าแล้วเพิ่งจะได้แต่งภรรยา ซ้ำยังงดงามราวบุปผาสินเดิมก็มากมายมหาศาล จะไม่เชิดชูให้ความรักความโปรดปรานได้อย่างไร ใครกันที่มาฟ้องต่อหน้าเสด็จพ่ออีกแล้ว ไม่ชอบหน้าลูกเพียงนี้เลยหรือ นี่ไม่ใช่เป็นการทำลายความสัมพันธ์ระหว่างพวกเราพ่อลูกหรอกหรือ”

 

 

จากนั้นจึงกล่าวต่อ “ยิ่งไปกว่านั้นลูกเองก็เรียนรู้จากท่าน ท่านปฏิบัติต่อพระชายาก็ทะนุถนอมรักใคร่ไม่เปลี่ยนแปลงเหมือนกันมิใช่หรือ”

 

 

เสียดสีจนท่านจิ้นอ๋องไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี โบกมือกล่าวเสีย “กลับไปเถอะ กลับไปเถอะ รีบกลับไป อย่าอยู่ยั่วโมโหข้าที่นี่” หากให้เขาอยู่ต่อไป ตนก็คงจะถูกเขายั่วโมโหจนตาย เขาเข้าใจแล้ว ลูกคนนี้เกิดมาเพื่อยั่วโมโหเขา

 

 

สวีโย่วผ่าเผยยิ่งนัก ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็หันหลังกลับเดินออกไป แต่ละคนๆ ล้วนแต่รังแกภรรยาของเขา เขายังไม่ได้คิดบัญชีพวกนางเลย พวกนางกลับทำตัวน่ารังเกียจมาฟ้องก่อน เหอะ พวกคนโง่เขลา!

 

 

เดินไปได้สองก้าวสวีโย่วก็หยุดฝีเท้า กล่าวกับพ่อเขา “พรุ่งนี้ลูกไม่มาลาท่านแล้ว หากอยู่จวนอ๋องจนเบื่อแล้ว ท่านจะไปพักผ่อนที่จวนลูกสักสองวันก็ย่อมได้”

 

 

ท่านจิ้นอ๋องไม่มีแม้แต่อารมณ์จะพูด หรี่ตาโบกมือ ไป รีบไป! คนขวางหูขวางตาผู้นี้ไม่ช้าไม่เร็วก็คงจะยั่วโมโหเขาตาย

 

 

จ้าวเฉิงซวี่ผู้พิพากษาศาลต้าหลี่กำลังปวดหัวอยู่กับคุณชายเล็กของจวนเสนาบดีฉินที่ถูกตระกูลจางฟ้องร้อง เจ้าหน้าที่ที่เขาส่งออกไปไม่ได้อะไรกลับมาอย่างสิ้นเชิง เบื้องบนยังคงสร้างความกดดันให้เขาไม่หยุด เมื่อวานอาจารย์เริ่นนายทหารผู้ช่วยของจวนเสนาบดีฉินก็มาเชิญเขาไปดื่มชา ในบทสนทนาล้วนเต็มไปด้วยการบอกเป็นนัย วันนี้ระหว่างทางมาทำงานเขาก็บังเอิญเจอจางจ่างสื่อของจวนองค์ชายรอง จางจ่างสื่อพูดด้วยท่าทีเป็นมิตรว่าปีหน้าลูกชายคนโตของเขาก็จะเข้าร่วมการสอบคัดเลือกช่วงวสันตฤดูเช่นกัน

 

 

พวกเขามีเจตนาอันใดจ้าวเฉิงซวี่รู้ดีแก่ใจ นี่เองก็ทำให้เขายิ่งโมโห แต่เขาสามารถลากคดีออกไปสามวันห้าวัน แต่จะลากออกไปสิบวันครึ่งเดือนได้หรือ หากหาหลักฐานไม่ได้จริงๆ เขาเองก็ทำได้เพียงยุติคดีอย่างฝืนใจ

 

 

ใครจะรู้ว่าเหตุการณ์จะเปลี่ยนผัน ในขณะที่เขาเตรียมถอดใจจากคดีกลับมีการเปลี่ยนแปลง เขาเพิ่งจะมาถึงประตูที่ว่าการก็มีผู้ใต้บังคับบัญชาวิ่งเข้ามากล่าวกับเขาด้วยความตื่นเต้นดีใจ “ใต้เท้า เรื่องดี เรื่องดีอย่างยิ่ง มีพยานแล้ว อีกทั้งยังเป็นเด็กรับใช้คนสนิทข้างกายฉินมู่หรานอีกด้วย”

 

 

จ้างเฉิงซวี่ตกใจครู่หนึ่ง “รีบพูดมาว่าเกิดอะไรขึ้น” เด็กรับใช้ข้างกายฉินมู่หรานทรยศนายได้อย่างไร คงไม่ใช่ว่าโกหกหรอกนะ หรือว่าเด็กรับใช้คนนี้มีความแค้นฆ่าบิดากับจวนเสนาบดีฉิน

 

 

ข้อเท็จจริงจ้าวเฉิงซวี่เดาผิดทั้งหมด เด็กรับใช้คนนี้ถูกผู้อื่นมัดตัวโยนเข้ามาในศาลต้าหลี่ บนร่างยังมีคำให้การหนึ่งฉบับ

 

 

“ไม่เห็นหรือว่าผู้ใดส่งเขาเข้ามา” จ้าวเฉิงซวี่กล่าวถาม

 

 

ผู้ใต้บังบัญชาผู้นั้นส่ายหน้า “ไม่เห็นขอรับ เด็กรับใช้ผู้นั้นถูกโยนเข้ามาจากนอกกำแพง ตอนนั้นผู้น้อยและคนอื่นๆ ต่างก็สะดุ้งตกใจ กว่าจะตามออกไปก็ไม่เห็นใครแล้ว”

 

 

“เด็กรับใช้ผู้นั้นก็ไม่รู้เหมือนกันหรือ” จ้าวเฉิงซวี่ถามต่อ

 

 

ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นั้นยังคงส่ายหน้า “ไม่รู้แม้แต่นิดเดียว”

 

 

จ้าวเฉิงซวี่ใคร่ครวญเล็กน้อย ในใจเดาว่าใช่เป็นคู่อริทางการเมืองสักคนของท่านเสนาบดีฉินหรือไม่ แต่แม้จะไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของใคร และไม่รู้ว่าจุดประสงค์ของคนผู้นี้คืออะไร แต่ก็ช่วยเขาได้มากจริงๆ

 

 

“ไป เข้าไปดู” จ้าวเฉิงซวี่ท่าทีฮึกเหิม ก้าวยาวเดินเข้าไปข้างใน

 

 

“เร็วๆๆ มาแล้ว มาแล้ว ยืนดีๆ ยืนกันดีๆ อีกประเดี๋ยวต้องเสียงดังฟังชัดรู้หรือไม่” เจี่ยงปั๋วที่มาล่วงหน้ายืดพุงอ้วนๆ นั่นของเขาตะโกนเสียงดัง

 

 

สวีโย่วประคองเสิ่นเวยออกมาจากในรถ ทั้งสองเงยหน้ามองประตูจวนที่กว้างขวางสูงใหญ่ อักษรสีดำตัวใหญ่ที่ทรงพลังสี่ตัวข้างบนสุดเปล่งประกายแวววับอยู่ใต้แสงอาทิตย์ นี่ก็คือบ้านวันข้างหน้าของนาง เป็นสถานที่ที่นางจะใช้ชีวิตอยู่นับตั้งแต่นี้ไป ในใจเสิ่นเวยตื่นเต้นขึ้นมาเงียบๆ

 

 

“ป้ายนี้ฝ่าบาทพระราชทานให้หรือ อักษรไม่เลว” เสิ่นเวยถามเสียงเบา แววตาเต็มไปด้วยความชื่นชม อักษรแทนตัวคน ดูจากอักษรนี้ก็รู้ว่าปัจจุบันฝ่าบาทเป็นประมุขผู้ชาญฉลาดที่มีความมุ่งมาดปรารถนาและมีปณิธาน

 

 

สวีโย่วพยักหน้า มองเห็นความชื่นชมบนใบหน้าของเสิ่นเวย กล่าวหนึ่งประโยค “อักษรของข้าก็ไม่ได้ด้อยกว่า”

 

 

เสิ่นเวยแทบจะสำลักน้ำ ปรายตามองสวีโย่วปราดหนึ่ง คนผู้นี้ก็จริงๆ เลย แม้แต่เรื่องเล็กๆ แค่นี้ก็คิดเล็กคิดน้อย จิตใจเล็กยิ่งกว่ารูเข็มเสียอีก

 

 

สวีโย่วลูบจมูกไม่สนใจ น้องสี่เป็นภรรยาของเขา จะส่งสายตาชื่นชมคนอื่นได้อย่างไร จะมองก็มองได้เพียงแต่เขา ต่อให้คนผู้นั้นจะเป็นฝ่าบาทก็ไม่ได้ เขาติเสด็จลุงเขาที่พูดถึงแต่คุณหนูสี่แซ่เสิ่นนานแล้ว น้องสี่แซ่เสิ่นเป็นของเขารู้หรือไม่

 

 

“ฮูหยิน จวิ้นจู่เหนียงเหนียง ได้โปรดตามข้าเข้าจวน” สวีโย่วทำท่าเรียนเชิญ

 

 

เสิ่นเวยยิ้มน้อยๆ เดินเคียงบ่าเคียงไหล่กับสวีโย่ว มือกุมมือเดินเข้าไปในจวนผิงจวิ้นอ๋อง

 

 

“ยินดีต้อนรับจวิ้นจู่ จวิ้นอ๋องกลับจวน” ตามสัญญาณมือของเจี่ยงปั๋ว เสียงตะโกนที่ก้องโสตประสาทก็ดังขึ้นพร้อมกัน

 

 

สองฝั่งประตูใหญ่เรียงขบวนเป็นสองแถวอย่างมีระเบียบเรียบร้อย เลียบเส้นทางหลักตรงกลางตรงยาวไปข้างในจวน ข้างหน้าสุดคืออาจารย์ซูและคนอื่นๆ ตามด้วยทหารคุ้มกันเรือนที่นำโดยโอวหยางไน่และเหล่าชนรุ่นหลังของหมู่บ้านตระกูลเสิ่น จากนั้นจึงเป็นทหารเด็กที่เพิ่งมาจากซีเจียง ท้ายที่สุดจึงเป็นบ่าวรับใช้ที่รับใช้ในจวน พวกเขาต่างก็สวมชุดเหมือนกัน ในดวงตาของแต่ละคนมีความตื่นเต้น มีแม่แบบมากเป็นพิเศษ มีพลังมากเป็นพิเศษ

 

 

“จวิ้นจู่ ท่านจวิ้นอ่อง เชิญ” อาจารย์ซูสวมชุดสีเขียวอมฟ้าปักลายสีเข้ม บนใบหน้ามีรอยยิ้มที่อบอุ่น สง่างามโดดเด่นมากเป็นพิเศษ

 

 

เสิ่นเวยมองภาพๆ นี้ ชื่นอกชื่นใจเสียจริงๆ จุๆๆ ล้วนแต่เป็นสายเลือดของนางทั้งสิ้น นางอดยกมือโบกไม่ได้ “ลำบากทุกคนแล้ว!”

 

 

“ไม่ลำบาก ยินดีต้อนรับจวิ้นจู่ จวิ้นอ๋องกลับจวน” เสียงอึกทึกดังขึ้นพร้อมกันอีกครั้ง

 

 

เสิ่นเวยมีความสุขยิ่งนัก เหตุใดความรู้สึกนี้ถึงได้เหมือนพิธีตรวจพลสวนสนาม คิกคิก พวกเราก็น่าจะลองสวมบทบาทดูสักครั้ง

 

 

ความรู้สึกของสวีโย่ว รวมถึงเจียงเฮยเจียงไป๋ที่ถูกหลีฮวาเหอฮวาเถาฮวาเบียดออกไปข้างๆ ก็ซับซ้อนอย่างยิ่ง ได้ยินหรือไม่ พวกเขาตะโกนว่า ‘ยินดีต้อนรับจวิ้นจู่ จวิ้นอ๋องกลับจวน’ จวิ้นจู่มาก่อน ท่านจวิ้นอ๋องเช่นเขาอยู่ข้างหลัง หากไม่ใช่ว่าบนประตูใหญ่แขวนป้ายว่า ‘จวนผิงจวิ้นอ๋อง’ เขายังคิดว่าเขามาผิดที่เสียอีก

 

 

น่าจะมาผิดที่แล้วกระมัง หรือไม่ก็แขวนป้ายผิดแล้ว เห็นชัดๆ ว่านี่คือจวนจวิ้นจู่ต่างหาก!

 

 

จากนั้นจึงมองคนเหล่านี้ที่เรียงแถวต้อนรับ สวีโย่วก็ยิ่งอัดอั้นใจ ส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นคนของภรรยาเขา คนของเขาเพียงไม่กี่คนปะปนอยู่ในนั้น มองผ่านๆ ก็ยังหาไม่เจอจริงๆ นี่ นี่คือบ้านที่ภรรยาเป็นใหญ่นี่นา!

 

 

อยากจะลากทหารเงาและทหารมังกรออกมาให้หมดจริงๆ!

 

 

สวีโย่วอดส่งสายตาเคียดแค้นไปให้เจียงเฮยเจียงไป๋ไม่ได้ ดูอาจารย์ซูกับโอวหยางไน่สิ มีความสามารถยิ่งนัก! แล้วดูพวกเจ้าสองคน แม้ทหารเงากับทหารมังกรจะปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนไม่ได้ อย่างไรเสียเจ้าสองคนก็หาคนมาเป็นหน้าตาให้ข้าบ้างก็ได้! กวาดสายตามองปราดเดียวล้วนแต่เป็นคนของนายหญิงเช่นนี้ นายพวกเจ้าไม่มีเกียรติ บ่าวเช่นพวกเจ้าจะยังมีเกียรติอยู่อีกหรือ เทียบไม่ได้จริงๆ เทียบแล้วน่าโมโหยิ่งนัก

 

 

เจียงเฮยเจียงไป๋เองก็ได้รับความไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง เรื่องนี้ล้วนเป็นเจี่ยงปั๋วที่จัดการ มีพวกเขาสองพี่น้องไว้ทำไม เจี่ยงปั๋วก็จริงๆ เลย เจ้าบอกว่าเจ้าจัดพิธีที่ใหญ่เช่นนี้ได้ เหตุใดถึงไม่หาคนมาช่วยเป็นหน้าเป็นตาให้ท่านจวิ้นอ๋องหน่อยเล่า เจ้าก็อายุปูนนี้แล้ว เหตุใดถึงได้วิ่งไปเกาะขาจวิ้นจู่เล่า ไม่อายบ้างหรือไร

 

 

เจี่ยงปั๋วก็ยิ่งไม่ได้รับความเป็นธรรม เขาเองก็อยากให้เกียรติจวิ้นอ๋อง แต่คนที่อยู่ในจวนผิงจวิ้นอ๋องล้วนแต่เป็นคนของจวิ้นอ๋อง ใต้บังคับบัญชาของท่านจวิ้นอ๋องมีใครบ้าง เขาเอาเด็กรับใช้กับหญิงชราในเรือนจวนจิ้นอ๋องมาหมดแล้ว นั่นไง ไม่ใช่ว่ายืนอยู่ข้างหลังหรือไร

 

 

สวีโย่วมองไปตามสายตาของเจี่งปั๋ว อยากจะตาบอดไปเสียยังดีกว่า เพียงแค่เด็กรับใช้สิบกว่าคนนั้น บวกกับหญิงชราใช้แรงงานเจ็ดแปดคน แม้จะสวมชุดใหม่เอี่ยมเหมือนกัน แต่ดูจากท่าทางการยืนก็อ่อนแอกว่าคนข้างๆ เท่าตัวแล้ว ถูกขับจนราวกับเป็นไก่บ้าน สู้พวกเขายังไม่ได้

 

 

เสิ่นเวยเก็บการฟ้องร้องทางสายตาของสวีโย่วนายบ่าวไว้ในดวงตา ในใจพอใจยิ่งนัก บีบมือของสวีโย่ว หัวเราะเสียงเบากล่าว “หลังจากนี้ ท่านก็รับผิดชอบหน้าตาดี ส่วนข้า ก็รับผิดชอบหาเลี้ยงครอบครัว”

 

 

มุมปากสวีโย่วกระตุก แต่กลับไม่ได้โต้เถียง ตอบกลับนางหนึ่งประโยค “หลังจากนี้ก็ลำบากฮูหยินแล้ว”

 

 

รากฐานเศรษฐกิจต้องอยู่บนยอดพีระมิด เห็นหรือไม่ อำนาจสำคัญมาก หนึ่งประโยคก็วางรากฐานตำแหน่งผู้นำอย่างสมบูรณ์ในบ้านของเสิ่นเวยได้แล้ว

 

 

“เอาล่ะ ลำบากทั้งหมดแล้ว เดือนนี้ทุกคนเพิ่มเงินเดือนสองเดือน เที่ยงวันนี้พวกเราสั่งอาหารจากเหลาสุราข้างนอกมา ดื่มสุราทานอาหารกันให้พอ” เสิ่นเวยประกาศอย่างสบายอกบายใจ

 

 

ทุกคนโห่ร้องดีใจทันที “ขอบคุณจวิ้นจู่เหนียงเหนียงที่เมตตา ขอบคุณท่านจวิ้นอ๋อง” ทุกคนต่างก็ดีใจเช่นนั้น ทั่วทั้งจวนผิงจวิ้นอ๋องประหนึ่งขึ้นปีใหม่

 

 

“ไป ไปดูเรือนหลัก ข้าเลือกด้วยตัวเอง เวยเวยไปดูว่าชอบหรือไม่ หากไม่ชอบพวกเราค่อยเปลี่ยน” สวีโย่วกล่าวกับเสิ่นเวย

 

 

เสิ่นเวยพยักหน้า ตั้งตารอสวีโย่วสร้างความประหลาดใจให้นางอย่างยิ่ง

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

เนื่องด้วยถูกมารดาเลี้ยงกลั่นแกล้ง ทำให้ เสิ่นเวย ผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอต้องตายลงด้วยความน่าเวทนา ทว่าด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้ทหารสาวในยุคปัจจุบันทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของหญิงสาวผู้ที่มีชื่อแซ่เดียวกันกับตนเอง เมื่อถูกมารดาเลี้ยงวางแผนกลั่นแกล้ง เนรเทศตนเองมาอยู่ในสถานที่รกร้างห่างไกล โดยให้เหตุผลว่าต้องการให้นาง ‘รักษาตัว’ คิดหรือว่านางจะยอมแพ้ต่อความร้ายกาจของมารดาเลี้ยงผู้นี้? ไม่เป็นไร ในเมื่อไล่นางออกมา นางก็จะใช้หนึ่งสมองและสองมือของตนนี้พลิกฟื้นพัฒนาครอบครัวของนางให้กลับมาเชิดหน้าชูตาได้อีกครั้ง!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset