ยอดหญิงสกุลเสิ่น – ตอนที่ 258-2 ลมเมฆแปรปรวน

ส่วนใต้เท้าฟังฟังจ้งที่ถูกท่านเสนาบดีฉินตำหนิรอบหนึ่งว่าทำงานไม่น่าเชื่อถือก็กำลังทะเลาะกับบุตรภรรยาเอกอยู่ “เจ้ามันลูกทรพี เหตุใดถึงกล้าได้เพียงนี้ เจ้าจะส่งตระกูลฟังไปตายทั้งตระกูล!” ชูแส้ขึ้นโบยลงไปบนร่างของบุตรภรรยาเอกฟังเนี่ยน

 

 

ฟังฮูหยินมีลูกชายเพียงคนเดียว ย่อมต้องเข้ามาปกป้อง “นายท่าน ท่านตีเนี่ยนเอ๋อร์ให้ตายก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นหรอก!”

 

 

ฟังจ้งโมโหยิ่งขึ้น “ฮูหยินเจ้าถอยไป วันนี้ข้าต้องสั่งสอนเขาให้ได้ ลูกคนนี้กล้าหาญเกินไปแล้ว ไม่สั่งสอนไม่ได้ เจ้าไม่รู้หรือว่าเขาหาเรื่องใส่ตัวเพียงใด”

 

 

ตั้งแต่ข่าวบุตรคนสุดท้องแม่ทัพอันยังมีชีวิตอยู่เปิดเผยออกมาเขาก็ตระหนักได้ว่าผิดปกติ ตอนนั้นเขาส่งคนไปฆ่าปิดปากด้วยตัวเอง จะยังปล่อยให้บุตรคนสุดท้องของแม่ทัพอันหนีออกมาได้อย่างไร อีกทั้งบุตรคนสุดท้องผู้นี้ยังสู้พี่ชายสองคนของเขาที่ฝึกยุทธ์ตั้งแต่เล็กไม่ได้ ชาวบ้านด่านชายแดนต่างก็รู้ว่าบุตรคนสุดท้องของแม่ทัพอันชอบอ่านหนังสือตั้งแต่เด็ก ไม่สนใจในการฝึกยุทธ์

 

 

ปัญญาชนอ่อนแอที่ไร้เรี่ยวแรงเป็นไก่อ่อนเช่นนี้จะหนีการไล่ฆ่าได้อย่างไร ซ้ำยังเดินทางพันลี้วิ่งมาถึงเมืองหลวงได้อีก หากบอกว่าในนี้ไม่มีคนช่วยเขาก็คงไม่เชื่อเป็นอันขาด ใครจะรู้เมื่อสืบหา สืบไปถึงตัวลูกชายตนเอง คาดไม่ถึงว่าลูกอกตัญญูผู้นี้แอบช่วยไว้ นี่จะไม่ทำให้เขาเดือดดาลได้อย่างไร

 

 

ทว่าฟังฮูหยินกลับปกป้องลูกชายแน่นหนา ร้องขอ “นายท่าน แต่ไหนแต่ไรเนี่ยนเอ๋อร์ก็รู้ประสา เขาจะหาเรื่องอะไรได้ ต่อให้จะทำผิดอะไรจริงๆ ท่านพูดกับเขาดีๆ ให้เขาเปลี่ยนแปลงก็ได้แล้ว ไยจะต้องลงแส้ให้ได้ด้วยเล่า อีกสองเดือนเนี่ยนเอ๋อร์ก็ต้องเข้าสอบแล้ว” ลูกชายคือชีวิตของนาง ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่อาจเห็นลูกถูกตีได้

 

 

ฟังจ้งเองก็นึกได้ว่าถึงเดือนแปดลูกชายต้องเข้าร่วมการสอบบัณฑิตระดับมณฑลแล้ว โยนแส้ลงบนพื้นอย่างแรง ชี้ฟังเนี่ยนแล้วกล่าว “ฮูหยินรู้หรือไม่ว่าลูกอกตัญญูผู้นี้ทำอะไร เขา เขาคาดไม่ถึงว่าช่วยบุตรคนสุดท้องผู้นั้นของตระกูลอันให้หลบหนีมาถึงเมืองหลวง หากเรื่องนี้ถูกท่านเสนาบดีฉินรู้เข้า ทั้งจวนของพวกเราก็จะซวย”

 

 

ฟังฮูหยินได้ยินแล้วก็ตกใจใหญ่ “เนี่ยนเอ๋อร์ เจ้ากล้าเพียงนั้นเลยหรือ” เรื่องที่สามีทำแม้นางจะรู้ไม่หมด แต่ก็รู้เป็นบางส่วน โดยเฉพาะคดีนั้นของแม่ทัพอันเมื่อสี่ปีก่อน นางอกสั่นขวัญหายอยู่เป็นเวลานาน

 

 

ทว่าฟังเนี่ยนกลับดื้อรั้นไม่ยอม “ท่านพ่อ ลูกไม่สนใจเรื่องในราชสำนักของพวกท่าน ท่านฝังท่านอาอันยังไม่พอหรือไร ยังต้องไล่ฆ่าจนหมดให้ได้ ลูกไม่เข้าใจวิธีการสกปรกเหล่านั้นของพวกท่าน ลูกรู้เพียงแต่ว่าจยาเหอเป็นเพื่อนที่ดีของลูก พวกเราเติบโตด้วยกันมาตั้งแต่เล็ก ลูกไม่อาจทนมองเขาตายเฉยๆ ได้”

 

 

“เจ้า เจ้าลูกอกตัญญูใช่จะยั่วโมโหข้าหรือไม่” ฟังจ้งถูกลูกชายโต้เถียงจนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าฝ่าบาทรู้แล้วว่าแม่ทัพอันถูกใส่ความ ศาลต้าหลี่ สำนักตรวจตราต่างก็กำลังสืบคดีนี้อยู่ หากสืบอะไรได้ พ่อเจ้าซวยแล้วเจ้าจะรอดหรือ เจ้าลูกอกตัญญู เหตุใดข้าถึงมีลูกเนรคุณเช่นเจ้า! เจ้าบอกข้ามา หลายปีมานี้เจ้าซ่อนอันจยาเหอไว้ที่ใด”

 

 

ทว่าฟังเนี่ยนกลับเม้มปากแน่นไม่พูดแม้แต่ประโยคเดียว ยั่วโมโหจนฟังจ้งชูแส้ขึ้นอีกครั้ง ฟังฮูหยินร้อนรนจนรีบผลักลูกชาย “เนี่ยนเอ๋อร์เจ้าพูดสิ พ่อเจ้าถามเจ้าอยู่”

 

 

ฟังเนี่ยนยังคงเชิดหน้า แววตาเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม “จะซ่อนไว้ที่ใดได้ ลูกไม่ได้กุมอำนาจใหญ่เหมือนท่าน นอกจากพาเขาไปซ่อนในชนบทแล้วจะยังซ่อนไว้ที่ไหนได้อีก”

 

 

หอนายโลมเขาไม่กล้าพูดแน่นอน นี่เองก็เป็นเรื่องที่เขาเสียใจที่สุด เขาคิดว่าพาจยาเหอไปอยู่ที่นั่นแล้วจะปลอดภัย แต่เขายังไร้เดียงสาเกินไป คนที่สามารถไปที่นั่นได้ส่วนใหญ่ไม่รวยก็ต้องสูงศักดิ์ ซ้ำจยาเหอยังหน้าตาดึงดูดเช่นนั้น คุณชายที่มีเพียงผลงานความรู้เช่นเขาไหนเลยจะปกป้องไว้ได้ ตอนที่รู้ว่าอันจยาเหอหนีไปได้เขาก็โล่งอกจริงๆ

 

 

“เจ้าลูกอกตัญญูดื้อรั้นไปเถอะ รอดาบตกลงบนคอเจ้าแล้วเจ้าจะต้องเสียใจ” ฟังจ้งสะบัดแขนเสื้อเดินออกไปด้วยความกระหืดกระหอบ ลูกชายหาเรื่องใส่ตัว เขาต้องไปชดใช้! หวังว่าท่านเสนาบดีฉินจะเห็นแก่เขาที่ยอมรับความผิดด้วยตัวเอง ไม่ถือสาเนี่ยนเอ๋อร์ได้บ้าง

 

 

เมื่อฟังจ้งไป ฟังฮูหยินก็พยุงลูกชายขึ้นมา ตบหลังของลูกชายแล้วกล่าว “เนี่ยนเอ๋อร์เอ๋ย เจ้าบอกสิว่าเหตุใดเจ้าถึงทำเรื่องเช่นนี้ นี่เป็นเรื่องร้ายแรง เจ้าทำให้แม่กลัวแทบตาย”

 

 

ทว่าฟังเนี่ยนกลับกล่าว “ท่านแม่ เห็นชัดๆ ว่าท่านพ่อผิด ตอนนั้นพวกเราอยู่ที่ด่านชายแดนดีเพียงใด ท่านอาฟังดูแลพวกเราดียิ่งนัก แต่ท่านพ่อกลับแทงข้างหลังเขา อำนาจสำคัญเพียงนั้นเชียวหรือ หากแวดวงขุนนางล้วนเป็นเช่นนี้ ลูกจะยังสอบบัณฑิตระดับมณฑลเข้าสู่ชีวิตการเป็นขุนนางไปเพื่ออะไร”

 

 

“ลูกรัก เจ้าเบาเสียงหน่อย” ฟังฮูหยินรีบปิดปากลูกชาย “เจ้าอย่าโวยวาย หากเจ้าไม่ไปสอบขุนนาง พ่อเจ้าจะต้องตีเจ้าตาย หากตัวเจ้าไม่มีชื่อเสียงผลงาน บุตรอนุภรรยาสองคนนั้นของพ่อเจ้าก็สามารถเหยียบย่ำพวกเราแม่ลูกจมดิน เนี่ยนเอ๋อร์เจ้ารับปากข้า อย่าได้ทำเรื่องโง่ๆ เชียว!”

 

 

นางไหนเลยจะไม่รู้ว่าสามีทำผิด แต่ออกเรือนต้องเชื่อฟังสามี เรื่องในราชสำนักใช่สตรีเรือนในผู้หนึ่งเช่นนางจะสอดมือเข้าไปได้หรือไร สามีเองก็ไม่ฟังนาง บางครั้งนางก็อยากจะไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น จะได้ไม่ต้องตื่นตระหนกอยู่ทุกวัน

 

 

ต่อให้ฟังเนี่ยนจะไร้เดียงสากว่านี้ก็ยังรู้สถานการณ์ในจวน เหมือนเช่นที่แม่เขาว่า เขาไม่อาจเอาแต่ใจ เขาสามารถวางภาระจากไปได้ แต่เขาไปแล้วแม่เขาจะทำอย่างไรเล่า ต่อให้จะไม่ยินดีเขาก็ทำได้เพียงตอบรับอย่างไม่ยินยอม “ทราบแล้ว ท่านแม่วางใจ ลูกจะไม่เลิกล้มการสอบ”

 

 

มีคำสั่งจากวาจาของฝ่าบาท อันจยาเหอผู้เป็นทายาทที่เหลืออยู่ของแม่ทัพอันก็เข้ามาอยู่ในจวนจงอู่โหวแล้ว อยู่ในเรือนของราชครูเสิ่น ช่วงเวลาสามวันสั้นๆ จวนจงอู่โหวก็มีมือสังหารมาหลายกลุ่มแล้ว นี่ไม่ได้เป็นการตบหน้าจวนจงอู่โหวง่ายดายเพียงนั้นแล้ว นี่หมายความว่าไม่เห็นฮ่องเต้ยงเซวียนอยู่ในสายตา! ฮ่องเต้ยงเซวียนทรงพิโรธจนย้ายพลทหารเงาเข้าไป และยิ่งยืนยันเจตจำนงที่จะสืบหาอย่างถึงที่สุดของเขา

 

 

หลังเสิ่นเวยรู้เรื่องนี้ก็อยากกลับไปอยู่ที่บ้านฝั่งมารดานางหลายวัน กล้ามาพาลถึงเขตบ้านฝั่งมารดานาง ก็หมายความว่าไม่อยากมีชีวิตแล้ว! แต่อย่างไรเสียนางก็เป็นคนที่ออกเรือนแล้ว กลับบ้านฝั่งมารดาเพราะเรื่องนี้ก็ยังคงไม่เหมาะสมนักจริงๆ ด้วยเหตุนี้นางจึงส่งคนจำนวนหนึ่งไปที่เรือนของเสิ่นเจวี๋ยเงียบๆ กังวลว่ามือสังหารทำอะไรอันจยาเหอไม่ได้แล้วจะถือโอกาสระบายความโกรธกับผู้อื่น หากประสบหายนะที่ตนไม่ได้สร้างก็จะโชคร้ายยิ่งนัก!

 

 

เสิ่นเวยกำลังศึกษาแผนกลไกที่อันจยาเหอทิ้งไว้อยู่ ก็เห็นเจียงเฮยเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “จวิ้นจู่ เกิดเรื่องแล้ว นายท่านถูกฝ่าบาทขังไว้ในศาลราชวงศ์แล้ว”

 

 

“ทำไมเล่า” เสิ่นเวยตกใจจนแทบจะดึงแผนกลไกออกเป็นสองฝั่ง ฝ่าบาทไม่ใช่โปรดปรานสวีโย่วมากหรอกหรือ สวีโย่วไปยั่วโมโหฝ่าบาทได้อย่างไร หรือจะบอกว่าความโปรดปรานของฝ่าบาทเมื่อก่อนเป็นภาพลวงตา ทำให้คนอื่นดูเท่านั้น

 

 

แทบจะชั่วพริบตาเดียวในสมองของเสิ่นเวยก็มีความคิดร้อยแปดพันเก้าผ่านเข้ามา

 

 

“นายท่านเสนอในท้องพระโรงให้ปล่อยไท่จื่อผู้ถูกถอดยศออกมา บอกว่าแม่ทัพอันถูกใส่ความ อาศัยเพียงจดหมายไม่กี่ฉบับก็ลงโทษไท่จื่อผู้ถูกถอดยศแล้ว ไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง ขอให้ฝ่าบาทสืบหาหลักฐานใหม่อีกครั้ง และยังเอ่ยว่าสถานการณ์ของไท่จื่อผู้ถูกถอดยศลำบากยากแค้น คนถูกเหยียดหยามจนไม่เหลือเกียรติ ขอให้ฝ่าบาทเห็นแก่ความสัมพันธ์ทางสายโลหิตปล่อยตัวไท่จื่อผู้ถูกถอดยศออกมา ฝ่าบาทก็ทรงพิโรธ ชี้นายท่านดุด่าว่าไม่ภัคดีอกตัญญู นายท่าโต้เถียงหลายประโยค ฝ่าบาทก็สั่งให้ขังคนไว้ในศาลราชวงศ์แล้ว” เจียงเฮยเล่าเหตุการณ์ด้วยความรวดเร็ว

 

 

“ไม่มีคนขอความเมตตาหรือ” ในใจเสิ่นเวยเริ่มมั่นใจ

 

 

เจียงไป๋กล่าว “มี ราชครูเสิ่นพ่อลูกกับคุณชายรองคุณชายสาม ยังมีราชนิกุลอีกหลายคนขอความเมตตาแทนนายท่าน นอกจากนี้ใต้เท้าผู้มีความสัมพันธ์เล็กน้อยกับคุณชายก็ยังร้องขอความเมตตา แต่ล้วนขอไม่ได้ ฝ่าบาทบันดาลโทสะ ไม่ว่าผู้ใดพูดก็ฟังไม่เข้าหู จวิ้นจู่ จะทำอย่างไรดี”

 

 

“ทำอย่างไรงั้นหรือ” เสิ่นเวยแค่นเสียงหึหนึ่งครา กล่าวเสียงสูง “แม่นมมั่ว เข้ามาเปลี่ยนชุดแต่งหน้าให้ข้า ตัวข้าจวิ้นจู่จะไปขอคนจากฝ่าบาทด้วยตัวเอง”

 

 

นี่มันอะไรกัน ฮ่องเต้ยงเซวียนท่านปฏิเสธไม่ได้ก็มาระบายอารมณ์กับคุณชายใหญ่ของข้างั้นหรือ นี่หรือคือคนโปรด บอบบางราวกับกระดาษจริงๆ!

 

 

ฮ่องเต้ยงเซวียนท่านขังลูกตัวเองสิบปี คุณชายใหญ่ของข้าหวังดี ท่านไม่ซาบซึ้งก็ไม่เป็นไร โต้กลับก็ได้แล้ว แต่ส่งคุณชายใหญ่ของข้าไปศาลราชวงศ์ต่อหน้าขุนนางบุ๋นบู๊ทั่วราชสำนัก ซ้ำยังดุด่าว่าไม่ภัคดีอกตัญญู ย่าเจ้าสิ!

 

 

มิน่าเล่าใครต่างก็พูดว่าจักรพรรดิเป็นผู้ไร้เมตตาที่สุด ราชวงศ์ไหนเลยจะมีความผูกพันพ่อลูกอะไร วันนี้นางนับว่าได้เรียนรู้แล้ว

 

 

เสิ่นเวยสะกดกลั้นไฟโกรธ ปล่อยให้แม่นมมั่วกับหลีฮวาช่วยนางเปลี่ยนชุดพิธีของจวิ้นจู่ บนศีรษะสวมมงกุฎนกตี๋ บนใบหน้าแต่งหน้าอ่อนๆ ตอนที่เสิ่นเวยลุกขึ้นยืนร่างทั้งร่างต่างก็งามหรูละลานตาคนอย่างถึงที่สุด

 

 

“เถาฮวาเล่า ตามข้าเข้าวัง” เสิ่นเวยใบหน้านิ่งขรึม เพียงแค่ยืนอยู่ตรงนั้นตามอำเภอใจ ก็ทำให้คนเคารพเลื่อมใสอย่างถึงที่สุด

 

 

ตอนที่เถาฮวาวิ่งเข้ามาดีใจอย่างถึงที่สุด อีกทั้งยังภูมิใจมากเป็นพิเศษ นางมองหลีฮวาและคนอื่นๆ ปราดหนึ่ง คางเล็กๆ เชิดสูงอย่างยิ่ง! คล้ายกำลังพูดว่า ‘ดูสิ คุณหนูพาข้าเข้าวังคนเดียว คุณหนูยังคงชอบข้าที่สุด’

 

 

โอวหยางไน่พาทหารเด็กสองกลุ่มไปรวมตัวข้างนอกเสร็จเรียบร้อยแล้ว ราชรถของจวิ้นจู่ก็เตรียมเรียบร้อยแล้วเช่นกัน เสิ่นเวยขึ้นรถพร้อมกลุ่มผู้ติดตามหน้าหลังไปยังพระราชวัง

 

 

ก่อนหน้านี้เสิ่นเวยออกเดินทางล้วนทำเงียบๆ มากเป็นพิเศษ ไม่เคยใช้ราชรถจวิ้นจู่มาก่อน อันที่จริงเหล่าหวังเฟยจวิ้นจู่ในเมืองหลวงก็เป็นเช่นนี้ นอกจากคนที่ชอบโอ้อวดเป็นพิเศษ ใครจะว่างจัดขบวนราชรถครบชุดทุกวันกัน วันนี้เป็นครั้งแรกที่เสิ่นเวยจัดขบวนเช่นนี้ ค่อนข้างยิ่งใหญ่อลังการ

 

 

ราชรถมาถึงหน้าประตูพระราชวังก็ถูกทหารรักษาพระองค์ขวางไว้ เสิ่นเวยไม่พูดพร่ำทำเพลง ลงจากรถแล้วก็ตบหน้าทหารรักษาพระองค์สองฉาด ดุด่าด้วยความยโสโอหัง “เบิกตาของเจ้าดูเสียบ้าง ตัวข้าจวิ้นจู่จะเข้าวังใช่องครักษ์เล็กๆ เช่นเจ้าจะวางได้หรือ”

 

 

เถาฮวาถือโอกาสลากทหารรักษาพระองค์ผู้นั้นไปข้างๆ พยุงเสิ่นเวยขึ้นรถอีกครั้ง กองทหารเด็กก็ทั้งจับทั้งขวางกองทหารรักษาพระองค์คุ้มกันรถม้าของเสิ่นเวยเคลื่อนตัวเข้าไปในพระราชวัง

 

 

เหล่าทหารรักษาพระองค์ที่เฝ้าประตูต่างก็ถูกขบวนรถนี้ทำให้สับสนมึนงง กลุ่มของเสิ่นเวยออกไปไกลแล้วพวกเขาเพิ่งจะได้สติกลับมา ตะโกนด้วยความร้อนอกร้อนใจ “เร็ว รีบไปรายงานผู้บัญชาการสวี” แม้จะบอกว่าคนที่เข้าไปคือจวิ้นจู่ แต่นางพาคนมาเช่นนั้น ใครจะรู้ว่านางจะทำอะไร หากมีอะไรไม่ดีจริงๆ ท้ายที่สุดคนที่รับโทษก็ยังคงเป็นพวกเขาที่เข้าเวรวันนี้มิใช่หรือ

 

 

รถหงส์เข้าไปจนถึงหน้าห้องหนังสือส่วนพระองค์ของฮ่องเต้ยงเซวียนแล้วจึงหยุดลง คนที่ออกมาต้อนรับนางคือขันทีใหญ่จางเฉวียน เมื่อจางเฉวียนเห็นนายท่านผู้นี้จัดขบวนเช่นนี้ มุมปากก็กระตุกก่อน เข้าไปเคารพด้วยความนอบน้อม “อากาศร้อนเพียงนี้ จวิ้นจู่มาได้อย่างไร”

 

 

เสิ่นเวยแค่นเสียงหึหนึ่งครา ขึ้นเสียงกล่าว “จางกงกงแกล้งโง่กับตัวข้าจวิ้นจู่หรือไร ท่านยังไม่รู้อีกหรือว่าเหตุใดตัวข้าจวิ้นจู่ถึงเข้าวัง ฝ่าบาทอยู่หรือไม่ รบกวนจางกงกงไปรายงานสักหน่อย ตัวข้าจวิ้นจู่มาขอเข้าเฝ้าฝ่าบาท” แม้จะพูดกับจางเฉวียน แต่ตอนที่เสิ่นเวยพูดก็ใช้กำลังภายใน ฮ่องเต้ยงเซวียนที่อยู่ในตำหนักย่อมได้ยินแน่นอน

 

 

บนใบหน้าของจางเฉวียนยังคงมีรอยยิ้ม ราวกับพระสังขจาย “บังเอิญจริงๆ ฝ่าบาทกำลังหารือข้อราชการกับใต้เท้าหลายท่านอยู่ จวิ้นจู่ค่อยมาพรุ่งนี้ดีหรือไม่”

 

 

เสิ่นเวยย่อมไม่พอใจ กล่าวเหยียดหยาม “ค่อยมาพรุ่งนี้งั้นหรือ เช่นนั้นก็คงไม่ทันการแล้ว! จางกงกง พวกเราเองก็คบค้าสมาคมกันมาหลายครั้งแล้ว ตัวข้าจวิ้นจู่มาทำไมท่านเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจ รบกวนท่านซักหน่อยเถอะ” นางรอได้ แต่คุณชายใหญ่ของนางรอได้งั้นหรือ

 

 

จางเฉวียนกำลังจะพูดอะไรอีก ก็ได้ยินเสียงที่เคร่งขรึมของฮ่องเต้ยงเซวียนดังออกมาจากข้างใน “ให้จยาฮุ่ยจวิ้นจู่เข้ามาเถิด”

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

เนื่องด้วยถูกมารดาเลี้ยงกลั่นแกล้ง ทำให้ เสิ่นเวย ผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอต้องตายลงด้วยความน่าเวทนา ทว่าด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้ทหารสาวในยุคปัจจุบันทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของหญิงสาวผู้ที่มีชื่อแซ่เดียวกันกับตนเอง เมื่อถูกมารดาเลี้ยงวางแผนกลั่นแกล้ง เนรเทศตนเองมาอยู่ในสถานที่รกร้างห่างไกล โดยให้เหตุผลว่าต้องการให้นาง ‘รักษาตัว’ คิดหรือว่านางจะยอมแพ้ต่อความร้ายกาจของมารดาเลี้ยงผู้นี้? ไม่เป็นไร ในเมื่อไล่นางออกมา นางก็จะใช้หนึ่งสมองและสองมือของตนนี้พลิกฟื้นพัฒนาครอบครัวของนางให้กลับมาเชิดหน้าชูตาได้อีกครั้ง!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset