ยอดหญิงสกุลเสิ่น – ตอนที่ 267-2 พายุปกคลุมนครหลวง

ตอนที่ฟ้าใกล้สาง สวีโย่วเข้ามารายงาน “ฝ่าบาท พบจางอิงแล้ว เขาตายแล้ว ศพถูกโยนไว้ในบ่อน้ำแห้ง กระหม่อมตรวจสอบคนในตระกูลข้างนอกของเขาแล้ว หลายวันก่อนก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว”

 

 

“ดูท่าแล้วเรื่องนี้วางแผนมาดี” เสียงของฮ่องเต้ยงเซวียนสงบนิ่งอย่างถึงที่สุด มิน่าเล่าเมื่อวานตอนที่จางอิงปรนนิบัติก็เอ่ยถึงจวี่จื่อในการสอบข้าราชการปีนี้ นี่เป็นการโน้มน้าวให้ตนเกิดความคิดออกจากวัง

 

 

“สืบต่อ สืบหาว่าจางอิงผู้นี้เข้าวังมาได้อย่างไร ปกติสนิทกับผู้ใดในวัง เราไม่เชื่อว่าจะสืบไม่ได้เบาะแสแม้แต่นิดเดียว” เสียงที่เข้มงวดของฮ่องเต้ยงเซวียนดังขึ้นอีกครั้ง

 

 

“กระหม่อมน้อมรับพระราชโองการ” อันที่จริงฮ่องเต้ยงเซวียนเพียงแค่สั่งให้เป็นพิธีก็เท่านั้น ต่อให้เขาไม่พูด สวีโย่วก็ต้องสืบหาอยู่ดี

 

 

“ฝ่าบาท ไท่จื่อกับองค์ชายหลายพระองค์ต่างก็รออยู่นอกพระตำหนัก” สวีโย่วที่เดิมหมุนตัวกำลังจะไปพลันกล่าวขึ้น

 

 

ในดวงตาที่สงบนิ่งไร้คลื่นของฮ่องเต้ยงเซวียนมองไม่เห็นความสั่นไหวใดๆ “ให้พวกเขากลับไปให้หมด สงบจิตใจอยู่ในห้องบรรทมของตนเอง อย่าได้มารบกวน” ใครจะรู้ว่ามือสังหารครั้งนี้เป็นฝีมือของเด็กไม่กี่คนนั้นหรือไม่

 

 

สวีโย่วขานรับหนึ่งคราแล้วจึงเดินไปข้างนอกต่อ ออกจากพระตำหนักเจาเต๋อแล้วก็ถ่ายทอดพระราชดำรัสของฮ่องเต้ยงเซวียน แม้ไท่จื่อและคนอื่นๆ จะผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็จากไปอย่างเชื่อฟัง

 

 

มองท้องนภาที่เริ่มมีแสงสีขาวทางทิศตะวันออก สวีโย่วจึงนึกถึงปู่เวยเวยของเขาในตำหนักข้าง หนึ่งคืนไม่ได้กลับ ซ้ำยังไม่มีข่าวแม้แต่นิดเดียว เวยเวยอยู่ในจวนคงจะต้องรอจนร้อนใจแล้วกระมัง ขณะที่เขาคิดเช่นนี้ ก็หมุนตัวเดินไปยังตำหนักข้างอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย

 

 

เสิ่นเวยที่ทนทรมานมาทั้งคืนกว่าจะงีบลงได้พักหนึ่ง ไม่รู้ว่างีบไปนานเท่าไร ลืมตาขึ้นอย่างรดวเร็วลุกพรวดขึ้นมาจากเตียง “กี่ยามแล้ว”

 

 

“ทูลจวิ้นจู่ เพิ่งจะยามเหม่าเจ้าค่ะ” หลีฮวารีบเดินเข้ามา “จวิ้นจู่ ยังเช้าอยู่ ท่านงีบต่ออีกสักพักดีหรือไม่” เห็นเส้นเลือดในดวงตาของเสิ่นเวย หลีฮวาก็กล่าวด้วยความสงสารนางอย่างถึงที่สุด คำนวณแล้วจวิ้นจู่เพิ่งจะนอนไปได้ไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม

 

 

เสิ่นเวยใช้มือลูบใบหน้าเล็กน้อย ลงจากเตียงทันที “ไม่นอนแล้ว” หยุดครู่หนึ่งจึงถามต่อ “เมื่อวานในจวนเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือไม่”

 

 

หลีฮวาพลางก้าวขึ้นมาเปลี่ยนชุดให้เสิ่นเวย พลางส่ายหน้ากล่าว “ไม่มีเจ้าค่ะ มีอาจารย์ซูนั่งบัญชาการ ในจวนทุกอย่างล้วนเป็นปกติดี”

 

 

เสิ่นเวยพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรต่อ

 

 

ในขณะนี้เองในที่สุดข่าวของสวีโย่วก็ถูกส่งกลับมาแล้ว ผู้ที่กลับมาคือเจียงไป๋ เขากล่าวเสียงเบา “จวิ้นจู่ นายท่านไม่เป็นอะไร ฝ่าบาทไม่เป็นอะไร อาการบาดเจ็บของราชครูเสิ่นสาหัสเล็กน้อย เมื่อวานทั้งคืนยังไม่ฟื้น ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้ฟื้นแล้วหรือยัง นายท่านให้ท่านสงบจิตใจอยู่ในจวน เขาจะดูแลใต้เท้าราชครูเอง” พูดเพียงไม่กี่ประโยคเท่านี้ก็รีบออกไปแล้ว

 

 

จิตใจที่เป็นกังวลมาโดยตลอดของเสิ่นเวยนับได้ว่าวางลงครึ่งหนึ่งแล้ว ขอเพียงแค่ฮ่องเต้ยงเซวียนไม่เป็นอะไร เช่นนั้นราชสำนักก็ไม่อาจสั่นคลอน ราชสำนักมั่นคง เช่นนั้นในเมืองหลวงกระทั่งใต้หล้าทั้งหมดก็มั่นคงด้วยเช่นกัน

 

 

แต่เมื่อนึกถึงเจียงไป๋ที่บอกว่าท่านปูหมดสติไม่ฟื้น หัวใจทั้งดวงของเสิ่นเวยก็เริ่มร้อนรนขึ้นมาอีกครั้ง อยากจะเข้าวังไปเยี่ยมปู่นางทันที ไม่เห็นกับตา หัวใจของนางก็วางไม่ลง!

 

 

กินข้าวสองคำลวกๆ เสิ่นเวยก็นั่งไม่ติดแล้ว สั่งคนไปเรียกหมอหลิว ตั้งใจเข้าวังทันที

 

 

แม้นางจะรู้ว่าในวังมีหมอหลวงผู้เชี่ยวชาญการแพทย์ ฝ่าบาทเองก็ไม่อาจปฏิบัติต่อปู่นางอย่างไม่เป็นธรรม แต่นางก็ยังคงเชื่อหมอหลิวตามจิตใต้สำนึก คราวก่อนที่ซีเจียง ไม่ใช่หมอหลิวหรือที่ช่วยชีวิตปู่นางไว้

 

 

“จวิ้นจู่!” อาจารย์ซูที่รู้ว่าเสิ่นเวยจะเข้าวังก็รีบตามเข้ามา กลับไม่ได้ห้ามนาง แต่กระซิบหลายประโยคข้างหูนาง เสิ่นเวยกะพริบตา พยักหน้า

 

 

อาจารย์ซูประสานมือ “จวิ้นจู่วางใจไปเถิด ผู้ชราจะดูแลจวนให้เป็นอย่างดี”

 

 

“ไปจวนองค์หญิงใหญ่” เสิ่นเวยสั่งโอวหยางไน่ที่ขับรถม้า เมื่อครู่อาจารย์ซูเสนอความคิดเห็นให้นางไปหาองค์หญิงใหญ่ จวิ้นจู่เพียงผู้เดียวเช่นนั้นอาจจะไม่มีน้ำหนักมากพอ แต่บวกองค์หญิงใหญ่ผู้ศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้เข้าไป นั่นก็เพียงพอแล้ว ไม่มีใครกล้าขวางไม่ให้องค์หญิงใหญ่เข้าวัง

 

 

บนถนนเส้นใหญ่ยังคงมีทหารคุ้มกันกำลังตรวจตราอยู่จำนวนมาก รถที่เสิ่นเวยนั่งมีสัญลักษณ์ของจวนผิงจวิ้นอ๋อง แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ยังถูกตรวจสอบรอบหนึ่ง

 

 

องค์หญิงใหญ่ได้ยินเจตนาในการมาของเสิ่นเวย ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ตามเสิ่นเวยขึ้นรถแล้ว เมื่อคืนนางก็ได้รับข่าว ทราบว่าฮ่องเต้งยงเซวียนไม่เป็นอะไรนางก็ไม่ได้เข้าวัง แต่อย่าไรเสียก็เป็นเสด็จพี่มารดาเดียวกัน ไม่ไปดูกับตานางจะวางใจได้อย่างไร ต่อให้เสิ่นเวยไม่มาหานางนางก็เตรียมจะเข้าวังอยู่ดี

 

 

“ราชครูเสิ่นถูกพิษ แต่ว่าในวังมียาชั้นยอดถอนพิษจำนวนมาก เมื่อคืนถอนพิษแล้ว ราชครูเสิ่นเป็นคนดีย่อมมีพระคุ้มครอง ไม่อาจเป็นอะไรได้” องค์หญิงใหญ่มองใบหน้าที่ดูเหนื่อยล้าของเสิ่นเวย กล่าวปลอบ

 

 

เสิ่นเวยพยักหน้าอย่างซาบซึ้ง แต่ไม่เห็นคนหัวใจนางก็ยังคงวางไม่ลง

 

 

มีองค์หญิงใหญ่อยู่ เสิ่นเวยตามหลังนางเข้าพระราชวังได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้น เมื่อมาถึงนอกพระตำหนักเจาเต๋อจึงถูกขวางไว้ “องค์หญิงใหญ่ จยาฮุ่ยจวิ้นจู่ ฝ่าบาทมีคำสั่ง ไม่ได้รับอนุญาติจากฝ่าบาทห้ามเข้าพระตำหนักพะยะค่ะ”

 

 

หัวหน้าเล็กกองทหารรักษาพระองค์ลำบากใจอย่างถึงที่สุด เขาขวางองค์หญิงใหญ่กับจยาฮุ่ยจวิ้นจู่ไว้จะดีจริงๆ หรือ อย่าว่าแต่องค์หญิงใหญ่ เพียงแค่จยาฮุ่ยจวิ้นจู่ผู้นี้ข้างหลัง ก็แต่งงานกับผิงจวิ้นอ๋อง! ผิงจวิ้นอ๋องได้รับความสำคัญจากฝ่าบาทมากเพียงใด เมื่อคืนเขาเห็นชัดเจนแจ่มแจ้ง แม้แต่ไท่จื่อกับองค์ชายทั้งหลายยังเข้าพระตำหนักเจาเต๋อไม่ได้ ทว่าผิงจวิ้นอ๋องกลับเข้าๆ ออกๆ เสมือนเป็นบ้านของตัวเอง

 

 

ตอนนี้เขาขวางจยาฮุ่ยจวิ้นจู่ไว้ จะไม่ถูกโจมตีแก้แค้นจริงๆ ใช่หรือไม่ แต่ไม่ขวาง ก็เห็นชัดๆ อยู่ว่าฝ่าบาททรงมีพระราชโองการ

 

 

“เช่นนั้นรบกวนเจ้าไปรายงานแทนตัวข้าองค์หญิงสักหน่อยเถิด” องค์หญิงใหญ่เองกลับไม่ทำให้เขาลำบากใจ

 

 

หัวหน้าเล็กกองทหารรักษาพระองค์ถอนหายใจหนึ่งคราอย่างโล่งอก เพิ่งจะหันหลังกลับเข้าพระตำหนักก็เห็นขันทีใหญ่จางกงกงข้างกายฝ่าบาทรีบออกมาแล้ว “องค์หญิงใหญ่ จยาฮุ่ยจวิ้นจู่ ฝ่าบาทเชิญท่านเข้าพระตำหนักพะยะค่ะ” ที่แท้แล้วฮ่องเต้ยงเซวียนก็ได้ยินการเคลื่อนไหวข้างนอกแล้ว ตั้งใจให้จางเฉวียนออกมารับคน

 

 

“เสด็จน้องกับจยาฮุ่ยมาแล้ว!” ฮ่องเต้ยงเซวียนวางแก้วชาในมือลง สีหน้าบนใบหน้าแย่เล็กน้อย แม้ว่าแย่ แต่ดูแล้วก็ยังดีอยู่

 

 

“เสด็จพี่ท่านไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว เหตุใดถึงเจอมือสังหารได้เล่า ฐานะสูงศักดิ์ ย่อมเสี่ยงอันตราย เสด็จพี่ท่านก็เหมือนกัน ความปลอดภัยของท่านเกี่ยวข้องกับดินแดนต้ายงทั้งหมด เหตุใดถึงออกจากวังตามอำเภอใจได้เล่า” องค์หญิงใหญ่เห็นฮ่องเต้ยงเซวียนไม่เป็นไร ขณะที่วางใจก็อดตำหนิขึ้นมาไม่ได้

 

 

แต่ไหนแต่ไรฮ่องเต้ยงเซวียนรักน้องสาวผู้นี้ รู้ว่านางเป็นห่วงตนเองจริงๆ จึงยิ้มกล่าว “พี่ก็ไม่เป็นไรมิใช่หรือ เสด็จน้องวางใจ ก็แค่พวกคนชั่วเท่านั้นเอง”

 

 

ทว่าองค์หญิงใหญ่กลับถลึงตาใส่เขา “ใช่ โชคดีที่ราชครูเสิ่นตามไปด้วย มิเช่นนั้น…หึ!” หลังจากนั้นองค์หญิงใหญ่ก็เปลี่ยนเรื่องถามถึงราชครูเสิ่น “อาการบาดเจ็บของใต้เท้าราชครูเป็นอย่างไรบ้าง อาโย่วไม่ได้กลับทั้งคืน จยาฮุ่ยอยู่ในจวนก็เป็นห่วงยิ่งนัก ข้าจึงถือโอกาสพานางเข้าวังมาด้วย”

 

 

ฮ่องเต้ยงเซวียนเพิ่งทอดพระเนตรไปทางเสิ่นเวย “ครึ่งชั่วยามก่อนราชครูเพิ่งฟื้น เพียงแต่ยังอ่อนแออย่างยิ่ง ตอนนี้น่าจะกำลังทานยาอยู่” ดวงตากะพริบวาบกล่าวต่อ “วันนี้จยาฮุ่ยไม่พูดแล้วหรือ เราจำได้ว่าเจ้ามีวาทศิลป์เป็นเลิศ” อาจเป็นเพราะราชครูเสิ่นฟื้นแล้ว ฮ่องเต้ยงเซวียนจึงดีพระทัยอย่างยิ่ง คาดไม่ถึงว่ามีอารมณ์มาหยอกล้อเสิ่นเวยแล้ว

 

 

เสิ่นเวยมุมปากกระตุกเล็กน้อย ให้ตาย ฮ่องเต้ยงเซวียนหมอนี่สมกับเป็นจักรพรรดิจริงๆ ไหนเลยจะดูออกว่าเพิ่งจะผ่านการลอบสังหารมา

 

 

“ฝ่าบาท จยาฮุ่ยอยากเยี่ยมท่านปู่เพคะ” เสิ่นเวยร้องขอ

 

 

ฮ่องเต้ยงเซวียนทรงโบกพระหัตถ์ กล่าวอย่างเรียบง่าย “ไปเถิด จางเฉวียน เจ้าพาจยาฮุ่ยจวิ้นจู่ไป”

 

 

ตอนที่เสิ่นเวยตามจางเฉวียนไปถึงตำหนักข้างก็เห็นปู่นางกำลังดื่มยาอยู่ “ท่านปู่” เสิ่นเวยเร่งฝีเท้าหลายเก้าวิ่งเข้าไป

 

 

“เวยเอ๋อร์เข้าวังมาได้อย่างไร” ราชครูเสิ่นเห็นหลานสาวของตน บนใบหน้าก็เผยรอยยิ้มที่อ่อนแรงออกมา

 

 

“ท่านปู่ ท่านบาดเจ็บตรงไหน” เสิ่นเวยรับถ้วยยาจากมือหมอหลวงเข้ามาด้วยความคล่องแคล่วอย่างยิ่ง นางมองใบหน้าที่ขาวซีดราวกับหิมะของปู่นาง ในใจเจ็บปวดยิ่งนัก

 

 

แต่ไหนแต่ไรปู่นางก็เป็นผู้เฒ่าที่มีกำลังวังชา เดินกระฉับกระเฉง สีหน้าเปล่งปลั่ง มีชีวิตชีวายิ่งกว่าพ่อนางลุงทั้งหลายของนางเสียอีก ทว่าตอนนี้กลับพิงหัวเตียงอย่างไร้เรี่ยวแรง ร่างทั้งร่างต่างก็ดูแก่ขึ้นสิบปี เสิ่นเวยมองแล้วก็อดแสบจมูกไม่ได้ น้ำตาแทบจะไหลลงมา

 

 

ราชครูเสิ่นเห็นท่าทางหลานสาวคนเล็ก ในใจก็อบอุ่น กล่าวปลอบ “ปู่ไม่เป็นไร พักฟื้นไม่กี่วันก็หายแล้ว ที่สำคัญคือคราวนี้บาดเจ็บตรงแผลธนูคราวก่อนพอดี ชะตาปู่แข็งยิ่งนัก เวยเอ๋อร์ไม่ต้องเป็นห่วง” ลูกหลานทั่วทั้งจวนมีเพียงเวยเอ๋อร์ที่คิดหาวิธีเข้าวังมาหาเข้า แม้จะบอกว่าพระราชวังเข้มงวด แม้แต่การว่าราชการตอนเช้าก็งด ไม่อนุญาตให้ขุนนางในราชสำนักเข้าวังตามอำเภอใจ แต่เขาบาดเจ็บเพราะช่วยฝ่าบาท ฝ่าบาทจะยังปฏิเสธการเยี่ยมของคนในครอบครัวอย่างไร้เมตตาได้จริงๆ หรือ เหล่าต้า…เฮ้อ! ราชครูเสิ่นถอนหายใจในใจ

 

 

แม้ว่าในใจเสิ่นเวยจะลำบากใจ แต่ก็ยังพยักหน้า ถาม “ท่านปู่ ท่านออกจากวังกลับจวนได้เมื่อไร” ในเมื่อท่านปู่นางฟื้นแล้ว บาดแผลเองก็ได้รับการรักษาที่ดีแล้ว เช่นนั้นก็ไม่ต้องให้หมอหลิวเข้ามาแล้ว

 

 

ราชครูเสิ่นกล่าว “ปู่ทานยาเสร็จแล้วก็จะไปกล่าวลาฝ่าบาท” พระราชวังใช่ที่ที่ขุนนางชั้นผู้ใหญ่สามารถอยู่ตามอำเอภใจได้หรือไร ก่อนหน้านี้เขาหมดสติก็ไม่เป็นไร ตอนนี้เขาฟื้นแล้วไม่อาจอยู่ในพระราชวังต่อได้เป็นอันขาด

 

 

แม้เสิ่นเวยจะเป็นห่วงอาการบาดเจ็บของปู่นาง แต่กลับหวังว่าเขาจะกลับจวนไปพักฟื้นร่างกาย อย่างไรเสียก็ไม่มีที่ไหนสุขใจเท่าบ้านของตนเอง

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

เนื่องด้วยถูกมารดาเลี้ยงกลั่นแกล้ง ทำให้ เสิ่นเวย ผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอต้องตายลงด้วยความน่าเวทนา ทว่าด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้ทหารสาวในยุคปัจจุบันทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของหญิงสาวผู้ที่มีชื่อแซ่เดียวกันกับตนเอง เมื่อถูกมารดาเลี้ยงวางแผนกลั่นแกล้ง เนรเทศตนเองมาอยู่ในสถานที่รกร้างห่างไกล โดยให้เหตุผลว่าต้องการให้นาง ‘รักษาตัว’ คิดหรือว่านางจะยอมแพ้ต่อความร้ายกาจของมารดาเลี้ยงผู้นี้? ไม่เป็นไร ในเมื่อไล่นางออกมา นางก็จะใช้หนึ่งสมองและสองมือของตนนี้พลิกฟื้นพัฒนาครอบครัวของนางให้กลับมาเชิดหน้าชูตาได้อีกครั้ง!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset