ยอดหญิงสกุลเสิ่น – ตอนที่ 273-2 เรื่องเกิดกะทันหัน

 

 

ไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็ฆ่าคนชุดดำพวกนั้นจนหมด ด้านนอกเสียงตะโกนฆ่าดังสะเทือนชั้นฟ้า จวนหย่งกั๋วกงกลับสงบเชียว รอข้างนอกสงบลง พ่อบ้านถึงวิ่งเข้ามา พูดอย่างนอบน้อมว่า “ท่านเขยสี่เหนื่อยแล้ว ท่านกั๋วกงเราพูดแล้ว พรุ่งนี้ให้คุณหนูสี่กลับมาสักครา ผลไม้สดที่เพิ่งส่งมาจากทางใต้นั่น เก็บไว้ให้คุณหนูสี่หมดเลย อย่าลืมให้คุณหนูมารับประทานนะขอรับ” สำหรับศพที่ล้มเกลื่อนพื้นไม่มองแม้สักครั้งเดียว

 

 

ท่านซูมองสวีโย่วอย่างล้อเลียน ใบหน้าแย้มยิ้ม ในใจกลับเห็นใจเขาเหลือเกิน เห็นหรือยัง? ช่วยคนเขาอย่างเอิกเกริกปานนี้ ที่ในใจเขาคิดถึงยังคงเป็นหลานสาวที่น่ารักนั่น คุณชายใหญ่สวีนี่ต้องไม่เป็นที่ต้อนรับถึงเพียงไหนกันนะ

 

 

ที่จริงท่านซูก็เข้าใจความรู้สึกของราชครูเสิ่นดีเพราะตนก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกันมาก่อน นับไปนับมาก็มีหลานสาวที่ดูแล้วเจริญตาอยู่เพียงคนเดียว ตนประคบประหงมได่ไม่กี่วัน สุดท้ายกลับถูกลูกหมาป่าคาบไปแล้ว เปลี่ยนเป็นเขาก็ไม่พอใจเช่นกันนะ หากนี่เป็นบุตรสาวตัวเล็กของเขา เขามิต้องคิดหาวิธีให้เขาลำบากใจทุกวันหรือ? ราชครูเสิ่นทำเช่นนี้นับว่าดีแล้ว

 

 

สวีโย่วทำเป็นไม่เห็นสายตาล้อเลียนของท่านซู พยักหน้าให้พ่อบ้านอย่างไร้ความรู้สึก แล้วเอ่ยนิ่งเรียบว่า “รู้แล้ว”

 

 

พ่อบ้านนั่นเห็นดังนั้น คำนับทีหนึ่งแล้วก็วิ่งพรวดกลับไป

 

 

ท่านซูหัวเราะเบาๆ ออกมา เขามองดูแสงไฟที่ยังคงลุกไหม้อยู่ แล้วกอบมือใส่สวีโย่ว ว่า “ก็จัดการพอประมาณแล้ว ข้าขอล่วงหน้าไปก่อนก้าวหนึ่งแล้ว” แล้วโบกมือ ทหารรุ่นเยาว์ก็เดิมตามเขาไปอย่างเป็นระเบียบ

 

 

กองกำลังห้าทิศที่ตามอยู่ข้างกายสวีโย่วมองตาแทบถลน นักฆ่าเมื่อครู่พวกนั้นยังเป็นเด็กหนุ่มหมดเลยใช่หรือไม่? มารดาเอ๊ย แต่ละคนกลิ่นอายการเข่นฆ่าคุกรุ่น ตกใจแทบตาย

 

 

“ใต้เท้า ท่านผู้นั้น?” รองผู้บัญชาการกดความอยากรู้อยากเห็นในใจไว้ไม่อยู่ ถามอย่างระมัดระวังว่า

 

 

“นั่นคือท่านครูของท่านหญิงเจียฮุ่ย” สวีโย่วพูดนิ่งเรียบ จากนั้นเสริมอีกประโยคหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจว่า “ทหารรุ่นเยาว์กลุ่มนั้นล้วนเป็นทหารคนสนิทของท่านหญิงเจียฮุ่ย มาจากซีเจียง”

 

 

ท่านหญิงเจียฮุ่ย ทุกคนสะดุ้งเฮือก มิน่าล่ะ มิน่าท่านผู้บัญชาการบอกว่าตนเองกลัวภรรยา หากฮูหยินของตนมีฝูงลูกหมาป่าเช่นนี้ในมือ พวกเขาก็ต้องกลัวภรรยาเช่นกัน ใครๆ ก็บอกว่าท่านหญิงเจียฮุ่ยเป็นคนร้ายกาจ ที่แท้คนเขามีความมั่นใจมีกำลังนั่นเอง

 

 

คนเทียบกับคนแล้วจะโมโหตาย เอาเถอะ พวกเขาฆ่าคนไม่ได้ เช่นนั้นก็คอยเก็บงานฝังคนแต่โดยดีแล้วกัน

 

 

ท่านซูนำทหารรุ่นเยาว์กลับจวน ระหว่างทางติดมือจัดการปลาลอดแหไปด้วย เหล่าทหารรุ่นเยาว์คุยกันอย่างคึกคัก ข้าฆ่าไปกี่คน เจ้าเจ็บได้กี่คน? ท่าทางเหมือนยังไม่หายอยาก ต่างรู้สึกว่าเวลาที่ออกมาสั้นเกินไป ยังไม่ทันได้ยืดแข้งยืดขาก็จบเสียแล้ว

 

 

ถึงหน้าประตูจวนผิงจวิ้นอ๋องดูปุ๊บ ท่านซูตกใจ ไอยาโย ที่นอนขวางไปขวางมาบนพื้นนั่นอะไรน่ะ? ไยถึงมากเช่นนี้นะ? จวนอื่นๆ ก็เข้าไปแค่หยิบมือเดียว อย่าบอกนะว่ามุ่งหน้ามาจวนผิงจวิ้นอ๋องของพวกเขาจนหมดน่ะ?

 

 

ท่านซูลงจากม้า ยื่นมือหยิบคบเพลิงมาตั้งใจดู มีผู้ลี้ภัย และก็มีที่ไม่ใช่ผู้ลี้ภัย แม้ล้วนใส่เสื้อผ้าของผู้ลี้ภัย ทว่าอย่างไรท่านซูก็แยกแยะออกมาได้ในปราดเดียว แต่ละคนอ้วนท้วนบึกบึน จะเป็นผู้ลี้ภัยที่ไม่มีแม้แต่ข้าวจะกินได้หรือ?

 

 

“ท่านซูกลับมาแล้วหรือ” ประตูใหญ่จวนผิวจวิ้นอ๋องค่อยๆ เปิดออก โอวหยางน่าเดินออกมาจากข้างในว่า “สงบแล้วหรือ?”

 

 

ท่านซูพลางเดินเข้าข้างในพลางพูดว่า “อืม งานรั้งท้ายที่เหลือย่อมมีคนของราชสำนักรับงานต่อ พวกเราก็ไม่ตามไปวุ่นวายแล้ว” เขามองศพที่อยู่ข้างนอกปราดหนึ่งว่า “ไยมามากมายเพียงนี้? ในจวนมีคนบาดเจ็บล้มตายหรือไม่?”

 

 

“อาจเพราะคิดว่าท่านจวิ้นอ๋องและท่านหญิงของเราล้วนไม่อยู่ ต้องรู้ว่าสินสอดของท่านหญิงเรามากจนทำให้คนอิจฉาตาร้อนเชียวนะ” โอวหยางน่าเดา คิดจะเด็ดลูกพลับอ่อน หาเงิน ไม่คิดว่ากลับเจอของแข็งเข้า กลับต้องมามอบชีวิต สมน้ำหน้าจริงๆ

 

 

“บาดเจ็บหลายคน ล้วนไม่หนักหนา พวกท่านล่ะ?” โอวหยางน่าพูดอีก พวกเขาล้วนเป็นมือดีที่เลือกจากทหารรักษาพระองค์ อาวุธก็ดี อีกทั้งมีกำแพงเป็นที่กำบัง หากยังสู้กลุ่มคนที่ไร้ระเบียบพวกนี้ไม่ได้ เช่นนั้นก็ขายขี้หน้าตายแล้ว

 

 

ท่านซูชี้ไปข้างหลังอย่างจำใจว่า “ดูเอาเองเถอะ ยังเกี่ยงว่าฆ่าไม่หนามใจเลย อายุน้อยๆ ก็ไม่รู้ไปเอานิสัยฆ่าคนเช่นนี้มาจากไหน”

 

 

โอวหยางน่าดูปุ๊บ ก็นั่นน่ะสิ? เหล่าทหารรุ่นเยาว์คึกคักฮึกเหิม กระปรี้กระเปร่าเหลือเกิน “ก็ดี” เขาพูดนิ่งเรียบ เดิมทีพวกเขาก็คือทหาร ไม่มีนิสัยการฆ่าเรียกว่าทหารได้หรือ?

 

 

เหล่าขุนนางบุ๋นบู๊และฮูหยินทนทรมานอย่างทุกข์ทนอยู่ในวังในที่สุดรอถึงคำสั่งให้กลับจวนได้ ไม่มีแม้แต่เวลาจะทักทายกัน ต่างรุดไปยังประตูวังอย่างรีบร้อน จะรีบกลับไปดูสถานการณ์ที่จวน

 

 

บนถนนหนทางในเขตรอบวังหลวงเงีบบกริบไร้เสียง นอกจากทหารยามที่ลาดตระเวนไปมา ยังสามารถเห็นเถ้าถ่านที่ไฟแรงลุกไหม้มาก่อน นานๆ ทียังสมารถเห็นศพที่ล้มอยู่บนพื้นคนสองคน เรื่องพวกนี้ไม่มีที่ไม่ทำให้คนอกสั่นขวัญแขวน

 

 

เหล่าขุนนางบุ๋นบู๊กลับถึงจวน เห็นประตูจวนที่ยังดีอยู่ ข้างในก็ไม่มีเสียงร้องไห้ ใจที่แขวนอยู่ก็วางลงไปก่อนครึ่งหนึ่ง รอเรียกพ่อบ้านมาไต่ถาม รู้ว่าองครักษ์ของจวนผิงจวิ้นอ๋องช่วยตีผู้ลี้ภัยหนีไป จึงอดซาบซึ้งไม่ได้

 

 

พ่อบ้านเล่าถึงเหตุการณ์ตอนนั้นอย่างละเอียด “นายท่าน ท่านไม่เห็น ผู้ลี้ภัยพวกนั้นโหดร้ายเหลือเกิน แต่ละคนในมือถือดาบยาวเพียงนี้ ส่องประกายแวววับ น่าตกใจเหลือเกิน ในจวนเรามีทหารป้องกันเรือนก็จริง ทว่าพวกเขาคนมากนี่นา อีกทั้งยังยิงธนูเป็น และเป็นเดนตายอีก มองไปพวกเราจะสู้ไม่ได้แล้ว จู่ๆ คนกลุ่มหนึ่งก็โผล่มา ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็จัดการผู้ลี้ภัยพวกนั้นแล้ว พวกเขาบอกว่าเป็นองครักษ์ของจวนผิงจวิ้นอ๋อง บ่าวดูปุ๊บ แหะ เป็นเด็หนุ่มอายุสิบห้าสิบหกทั้งหมด กลิ่นอายการฆ่าคุกรุ่น กระเ**้ยกระหือรือเหลือเกิน ผู้นำท่าทางเหมือนครู ท่วงท่าดังเซียน โก้เหลือเกิน พวกเขาจัดการผู้ลี้ภัยเสร็จแม้แต่น้ำก็ไม่ดื่มสักอึกก็ไปแล้ว”

 

 

ในคืนนี้ จวนที่ได้รับความช่วยเหลือจากทหารรุ่นเยาว์ต่างรู้ว่าจวนผิงจวิ้นอ๋องมีเด็กหนุ่มร้ายกาจเช่นนี้กลุ่มหนึ่ง มีคนที่หัวไวพอคิดปุ๊บ ก็เข้าใจว่าเด็กหนุ่มพวกนี้น่าจะเป็นทหารรุ่นเยาว์ที่ฝ่าบาทเคยตรัสมาก่อน ดังนั้นในใจพวกเขาจึงมองจวนผิงจวิ้นอ๋องใหม่อีกแล้ว

 

 

ไม่ว่าในใจพวกเขาจะคิดเช่นไร รับน้ำใจใหญ่โตจากจวนผิวจวิ้นอ๋องเป็นความจริงที่แย้งไม่ได้ ย่อมต้องไปเยือนขอบคุณสักคราเป็นธรรมดา

 

 

ยังมีเหล่าฮูหยินที่เคยนินทาเสิ่นเวย แต่ละคนในใจเสียใจภายหลังอย่างไม่มีอะไรเทียบได้ ดูเสีย ถูกตบหน้าแล้วไหมล่ะ?

 

 

หลังจากฟ้าสางทุกคนแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน ถึงพบว่าแม้แต่ละบ้านต่างมีความเสียหายระดับหนึ่ง บ้างกำแพงบ้านถล่มช่วงหนึ่ง บ้างถูกเผาไปสองสามห้อง บ้างคนรับใช้ตายไปสองสามคน ทว่าล้วนไม่นับว่าร้ายแรงเกินไป อย่างน้อยเหล่าเจ้านายไม่ได้บาดเจ็บล้มตาย โดยเฉพาะจวนที่อยู่บนถนนสายที่จวนผิงจวิ้นอ๋องตั้งอยู่ ปลอดภัยไร้กังวลสิ้นดี

 

 

แน่นอน ก็มีจวนอื่นที่เสียหายร้ายแรง ยกตัวอย่างเช่นบ้านอำมาตย์ฝาง อำมาตย์ฝางบุตรชายสองคนบาดเจ็บ หลานสายรองตายคนหนึ่ง บ่าวไพร่ที่บาดเจ็บล้มตายมีมากถึงสิบกว่าคน

 

 

และยกตัวอย่างเช่นบ้านมหาเสนาบดีฉินอีก ไม่รู้อย่างไรผู้ลี้ภัยบุกไปถึงเรือนด้านหลัง หอบเอาเพชรนิลจินดาไปนับไม่ถ้วนไม่พูดถึง ยังฆ่าสาวใช้ยายเฒ่าไปไม่น้อย อนุของมหาเสนาบดีฉินตายไปคนหนึ่ง บาดเจ็บคนหนึ่ง และยังหายสาบสูญไปคนหนึ่งด้วย

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

เนื่องด้วยถูกมารดาเลี้ยงกลั่นแกล้ง ทำให้ เสิ่นเวย ผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอต้องตายลงด้วยความน่าเวทนา ทว่าด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้ทหารสาวในยุคปัจจุบันทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของหญิงสาวผู้ที่มีชื่อแซ่เดียวกันกับตนเอง เมื่อถูกมารดาเลี้ยงวางแผนกลั่นแกล้ง เนรเทศตนเองมาอยู่ในสถานที่รกร้างห่างไกล โดยให้เหตุผลว่าต้องการให้นาง ‘รักษาตัว’ คิดหรือว่านางจะยอมแพ้ต่อความร้ายกาจของมารดาเลี้ยงผู้นี้? ไม่เป็นไร ในเมื่อไล่นางออกมา นางก็จะใช้หนึ่งสมองและสองมือของตนนี้พลิกฟื้นพัฒนาครอบครัวของนางให้กลับมาเชิดหน้าชูตาได้อีกครั้ง!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset