ยอดหญิงสกุลเสิ่น – ตอนที่ 160.1

สงคราม สงคราม

 

 

 

 

เสิ่นเวยนอนหลับจนถึงบ่าย เมื่อนางลืมตาขึ้นก็เห็นข้างประตูมีศีรษะเล็กๆ ยื่นออกมา อารมณ์ดีอย่างอดไม่ได้ “เถาฮวา มานี่เร็ว” 

 

 

เถาฮวาที่หน้าประตูวิ่งพรวดเข้ามาทันที “คุณชายตื่นแล้ว” ในดวงตาของนางเต็มไปด้วยความดีใจและความหวัง ช่วงที่คุณชายหลับไม่มีใครเล่นเป็นเพื่อนนางเลย น่าเบื่อยิ่งนัก 

 

 

เสิ่นเวยลูบศีรษะเล็กๆ ของเถาฮวา แววตาอ่อนโยน “เถาฮวากินข้าวแล้วหรือยัง ได้กินหมูสามชั้นน้ำแดงแล้วหรือยัง” เสิ่นเวยหยอกนาง เพราะว่าเมื่อคืนเสิ่นเวยสัญญาว่าจะให้นางกินหมูสามชั้นน้ำแดง 

 

 

เถาฮวาส่ายหน้า พยักหน้าเล็กน้อย “เมื่อเช้าไม่ได้กิน ตอนเที่ยวพี่เสี่ยวตี๋ทำให้กินแล้ว” เดิมเมื่อเช้านางไม่พอใจเล็กน้อย แต่ตอนเที่ยงพี่เสี่ยวตี๋ก็ทำหมูสามชั้นน้ำแดงให้นางแล้ว อร่อยอย่างยิ่ง ดังนั้นนางจึงให้อภัยพวกเขาอย่างใจกว้าง ไม่โมโหแล้ว เรื่องเดียวที่ไม่ดีคือพวกเขาไม่ให้ตนมาหาคุณชาย แต่ว่านี่ก็ไม่ยากเกินความสามารถของนาง นางแอบมาได้ ลุงเฝ้าประตูผู้นั้นก็ไล่ตามนางไม่ได้ เถาฮวาแอบดีใจ 

 

 

“เถาฮวาเป็นเด็กดี รอข้าทำงานเสร็จแล้ว พวกเราค่อยกลับไปกินของอร่อยๆ ที่เมืองหลวงกัน” เสิ่นเวยนึกถึงท่าทางกล้าหาญของเถาฮวาเมื่อคืน ก็รับปากนางด้วยความใจกว้างอย่างยิ่ง 

 

 

“อืมๆ” เถาฮวาได้ยินคำว่าของอร่อยก็ทำท่าเชื่อฟัง “คุณชาย ที่นี่สนุก” สนุกกว่าอุดอู้อยู่ที่เรือนเฟิงฮวาตั้งเยอะ “คุณชายๆ พวกเราจะออกไปขี่ม้าเมื่อไร สนามม้าที่นี่ใหญ่จริงๆ” เถาฮวากางแขนเทียบขนาดด้วยความตื่นเต้นดีใจ 

 

 

เสิ่นเวยงงงัน หลังจากนั้นก็เข้าใจ ลานกว้างที่นอกประตูเมืองคือสนามม้าแห่งใหญ่ไม่ใช่หรือ เสิ่นเวยคิดดูแล้วก็ตื่นเต้นเช่นกัน “เถาฮวาอย่าเพิ่งร้อนใจ ข้ากินข้าวก่อนแล้วจะพาเจ้าออกไปเล่น” ได้ถือโอกาสพาเด็กหนุ่มหมู่บ้านตระกูลเสิ่นออกไปสำรวจภูมิประเทศด้วย 

 

 

แผนการย่อมเปลี่ยนตลอดเวลา ท้ายที่สุดเสิ่นเวยก็ไม่สามารถทำตามได้ เพราะว่าพี่ใหญ่เสิ่นเชียนนำคนมาถึงเมืองชายแดนแล้ว 

 

 

ตอนแรกที่ได้ยินว่าคุณชายใหญ่มาแล้วเสิ่นเวยยังงุนงง หลังจากนั้นก็ตอบสนองกลับมาได้ว่าหมายถึงพี่ใหญ่ของนาง ในจวนเรียกว่าคุณชาย ตอนนี้นางเป็นคุณชายสี่ เช่นนั้นพี่ใหญ่ก็ต้องเป็นคุณชายใหญ่มิใช่หรือ 

 

 

หลังจากได้สติกลับมาแล้วความคิดแรกของเสิ่นเวยก็คือ พี่ใหญ่ยังคงเป็นคนที่ค่อนข้างมีฝีมือ เพราะเหตุใดน่ะหรือ แม่ว่าพี่ใหญ่จะออกเดินทางเร็วกว่านางหนึ่งวัน แต่คนที่ร่วมทางมาด้วยยังมีทหารองครักษ์ห้าร้อยนาย ทหารองครักษ์เหล่านี้เป็นนายที่คบค้าสมาคมด้วยง่ายหรือ ไม่ถ่วงเวลาการเดินทางของเจ้าจนเสียหายก็ดีเท่าไรแล้ว จะยอมเดินทางตลอดทั้งวันทั้งคืนได้อย่างไร พี่ใหญ่นำทหารกลับกลอกหนึ่งกลุ่มมาถึงเมืองชายแดนเร็วเช่นนี้ได้ ก็นับว่าค่อนข้างมีฝีมือแล้ว 

 

 

เมื่อเสิ่นเชียนพบหน้าเสิ่นเวยก็ตกใจจนตาแทบถลนออกมา “น้องเวย เอ๊ย น้องสี่มาแล้ว” ก่อนหน้านี้ฟังว่าคุณชายสี่ในจวนก็มาด้วย เขากำลังกลัดกลุ้มอยู่เลย ไม่ได้ยินว่าน้องเหนียนก็จะมาเมืองชายแดนด้วย นึกไม่ถึงว่าคุณชายสี่ผู้นี้ก็คือคุณหนูสี่ 

 

 

“พี่ใหญ่ ท่านมาแล้ว พบท่านปู่แล้วหรือยัง” เสิ่นเวยทักทายด้วยความดีใจอย่างยิ่ง นางดีใจจริงๆ พี่ใหญ่มาแล้วภาระบนตัวนางย่อมแบ่งเบาลงได้ นางจะไม่ดีใจได้อย่างไร นางบอกแล้วว่านางไม่อาจแบกไว้เช่นนี้ตลอดไปได้ อาจารย์ผังยังรอจะจับนางไปเป็นแรงงานอยู่เลย ดูสิ คนที่แทนนางมาถึงแล้ว 

 

 

ลาลาลา พลิกชะตา ลาลาลา ในที่สุดก็ไม่ต้องทุ่มเทความคิดเปลืองเซลล์สมองอีกแล้ว 

 

 

“เอ๋ ท่านพี่ก็มาด้วยหรือ เดินทางมาดีหรือไม่” เสิ่นเวยทักทายลูกผู้พี่หร่วนเหิงต่อด้วยความดีใจ แต่ว่าเห็นสภาพจนตรอกบนร่างคนทั้งสองก็พอจะเดาได้แล้ว แอบสงสารพวกเขาสามวินาทีเงียบๆ ในใจ 

 

 

หร่วนเหิงเห็นลูกผู้น้องของเขาก็ตกใจอย่างยิ่ง มากกว่าเสิ่นเชียนเสียอีก ก่อนหน้านี้ก็ได้ยินรองแม่ทัพที่ต้อนรับพวกเขาเข้าเมืองชื่นชมว่าคุณชายสี่องอาจกล้าหาญมากเพียงใด เบื้องลึกในใจเขาก็คาดเดาอยู่รางๆ แล้ว แต่ไม่คิดว่าจะเป็นลูกผู้น้องของเขาจริงๆ 

 

 

หร่วนเหิงกระตุกมุมปาก “น้องจะไปไหน พวกเราเพิ่งกลับมาจากเรือนท่านโหว ท่านโหวคล้ายกำลังรอเจ้าอยู่” ตลอดการเดินทางนี้มีแต่จะต้องประลองปัญญาและความกล้าหาญกับเหล่าทหารกลับกลอก จะดีได้อย่างไร 

 

 

“เช่นนั้นพี่ใหญ่กับท่านพี่ไปล้างหน้าล้างตาพักผ่อนก่อนเถอะ ข้าจะไปหาท่านปู่สักหน่อย” เสิ่นเวย 

 

 

โบกมือเล็กๆ บอกลาเสิ่นเชียนหร่วนเหิงอย่างมีความสุข 

 

 

“ท่านปู่ ข้ามาแล้ว ท่านดีขึ้นแล้วหรือยัง” เสิ่นเวยกระโดดเข้ามาในห้องท่านเสิ่นโหวเข้ามาราวกับเด็กน้อยที่ได้รางวัล 

 

 

ท่านเสิ่นโหวกำลังพิงหัวเตียงอ่านอะไรบางอย่างอยู่ บนโต๊ะเล็กข้างเตียงมีหนังสือหลายเล่มวางอยู่ 

 

 

เสิ่นเวยเขยิบตัวเข้าไปด้วยความสนิทชิดเชื้ออย่างยิ่ง ดึงหนังสือในมือท่านปู่นางออก วางลงข้างๆ อย่างไม่แม้แต่จะมอง “ท่านปู่ อาการบาดเจ็บท่านยังไม่ดีขึ้น ทุกข์ใจเพียงนี้ทำไม อายุปูนนี้แล้วยังโอ้อวดอะไรอีก คนกลุ่มนั้นที่เลี้ยงไว้ใต้บังคับบัญชาของท่านเลี้ยงให้เสียข้าวสุกหรือไร” 

 

 

เสิ่นเวยลากเก้าอี้มานั่งลงตรงหน้าปู่นางตามอำเภอใจ จากนั้นก็ยื่นมือไปหยิบผลไม้บนโต๊ะมาเคี้ยวกรอบๆ ราวกับเป็นห้องของตัวเอง 

 

 

ท่านเสิ่นโหวมองหลานสาวตัวน้อยที่ทำตัวอันธพาลขึ้นเรื่อยๆ ผู้นี้ มุมปากก็กระตุกอย่างอดไม่ได้ “ปู่เจ้ายังไม่ใช่คนพิการ” เลี้ยงเสียข้าวสุกก็แน่ล่ะสิ ฟังต้าฉุยและคนอื่นๆ นำทัพสู้รบยังได้ แต่ให้พวกเขามาดูแลการปกครอง ก็เหมือนให้เตียวหุยมาเย็บผ้า ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน ซ้ำยังไม่อาจว่าเหล่าผังคนเดียวได้ หากเขาเหนื่อยจนล้มป่วยขึ้นมา คนที่เป็นทุกข์ก็ยังคงเป็นตนมิใช่หรือ 

 

 

เสิ่นเวยอ่านความคิดปู่นางออกในแวบเดียว แสยะปากกล่าว “พี่ใหญ่มาแล้วไม่ใช่หรือ ท่านก็ถือโอกาสสอนเขาให้เยอะๆ ท่านอาอานฉง ไปดูหน่อยสิว่าพี่ใหญ่ล้างเนื้อล้างตัวเสร็จแล้วหรือยัง ท่านปู่งานเยอะ มาเมืองชายแดนไม่เหมือนเมืองหลวง ไม่ได้ให้เขามาเสวยสุขเสียหน่อย อ้อจริงสิ เรียกลูกผู้พี่มาด้วยเลย” ได้ชายหนุ่มกำยำเพิ่มอีกคนก็ดี อย่างไรเสียให้คนอื่นตายก็ดีกว่าตัวเองตาย 

 

 

เห็นเสิ่นอันฉงแสดงสีหน้าลังเล เสิ่นเวยก็กลอกตากล่าวต่อ “หยกไม่เจียระไนมิอาจใช้ประโยชน์ได้รู้หรือไม่ คนวัยหนุ่มสาวต้องฝึกฝนให้มาก ไม่ผ่านพายุฝนแล้วจะเห็นสายรุ้งได้อย่างไร ไปเถอะ ไปเถอะ” มือของเสิ่นเวยโบกราวกับใบบัว 

 

 

เสิ่นอันฉงมองนายท่านอย่างอดไม่ได้ เห็นนายท่านพยักหน้าจึงถอยออกไป 

 

 

เสิ่นเวยกลอกตาอีกครั้ง ช่างไม่รู้ใจคนจริงๆ คิดว่านางทำเพื่อตนหรือไร 

 

 

 ท่านเสิ่นโหวยิ้มตำหนิอย่างอดไม่ได้ “อาจารย์ผังเรียกหาเจ้าตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือ เจ้าขยันหน่อยไม่ได้หรือ” หลานสาวคนนี้มีความสามารถ แต่นางขี้เกียจ ไม่ได้ผลประโยชน์ก็ไม่ทำ ไม่เกลี้ยกล่อมโน้มน้าวก็ไม่ทำ เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก 

 

 

เสิ่นเวยหัวเราะเยาะหนึ่งครา “เดิมก็ไม่ใช่เรื่องของข้าอยู่แล้ว ข้าขยันแล้วจะมีประโยชน์อะไร เลื่อนขั้นบรรดาศักดิ์ให้ข้าได้หรือ ไม่ได้ใช่หรือไม่ ในเมื่อไม่ได้ข้าจะทุกข์ใจเช่นนั้นทำไม สงครามเป็นเรื่องของบุรุษ สตรีเช่นข้าอย่างมากก็แค่ร่วมจับปลาในน้ำขุ่น จะเห็นตัวเองเป็นคนสำคัญได้จริงๆ หรือ หลานท่านยังไม่บ้าขนาดนั้น ตอนนี้มีพี่ใหญ่เสิ่นแล้ว น้องสี่เสิ่นเช่นข้าย่อมต้องตากอากาศอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่สิ ท่านปู่ ท่านมีงานก็อย่าได้เรียกข้าอีกเป็นอันขาด” โชคดีที่นางเป็นผู้หญิง หากนางเป็นผู้ชายจริงๆ ทั้งยังมีความสามรถวิ่งมาสู้รบที่เมืองชายแดนซีเจียงได้ จะไม่เกิดการทะเลาะกันระหว่างพี่น้องหรอกหรือ 

 

 

ท่านเสิ่นโหวหมดคำพูด ชี้เสิ่นเวยอยู่แต่กลับพูดไม่ออก เหตุใดเด็กคนนี้ถึงยั่วโมโหคนได้เพียงนี้ อยากหยิกนางให้ตายเสียจริงๆ 

 

 

“ไม่ใช่ว่าเจ้ายังอยากได้เงินทองของล้ำค่าในคลังส่วนตัวของปู่อยู่หรือ” ท่านเสิ่นโหวโยนเหยื่อล่อลงมาเอง 

 

 

เสิ่นเวยมีชีวิตชีวาขึ้นมาดังคาด “ท่านปู่จะตัดใจให้ข้าได้หรือ” ทันใดนั้นก็เพิ่งจะคิดได้ว่าเมื่อคืนก็ขนเงินกลับมาได้ไม่น้อยเหมือนกัน คงจะไม่ฉวยโอกาสเอาเข้ากระเป๋าท่านปู่ตอนที่นางนอนหลับหรอกนะ 

 

 

เสิ่นเวยมองสายตาของท่านปู่ ชั่วพริบตาก็ตื่นตัวขึ้นมา “ท่านปู่อย่าหลอกล่อข้า ผู้มองเห็นมีสิทธิ์ร่วม เมื่อคืนข้าออกแรงไปมาก ท่านอย่าเก็บเข้าประเป๋าท่านทั้งหมด ไม่ว่าอย่าไรก็ต้องเหลือแกงเนื้อไว้ให้หลานทานบ้างไม่ใช่หรือ” 

 

 

“ไม่เอาเปรียบเจ้าหรอก” ท่านเสิ่นเวยทั้งโมโหทั้งอารมณ์ดีขึ้นมาในชั่วขณะ เกือบจะลืมเรื่องสำคัญไป “ทรัพย์สินส่วนตัวของปู่แบ่งให้เจ้าได้ครึ่งหนึ่ง รวมถึงเงินทองที่ขนกลับมาเมื่อคืนก็แบ่งให้เจ้าอีกครึ่งหนึ่ง แต่เจ้าต้องช่วยปู่อีกเรื่อง” 

 

 

เสิ่นเวยตาลุกวาวทันที “ช่วยอะไร” ในใจนางคิดคำนวณอย่างรวดเร็ว เงินส่วนตัวครึ่งหนึ่งไม่ใช่น้อยๆ หวังว่างานนี้จะไม่ยากนัก แต่ว่าต่อให้ยากนางก็รับปากอยู่ดี ใครจะไม่อยากได้เงิน สิ่งที่นางชอบที่สุดก็คือเงิน แม้แต่คุณชายใหญ่สวียังเป็นรอง 

 

 

“ยา ยาจำนวนมาก” ท่านเสิ่นโหวกล่าว ปัญหาเรื่องเสบียงได้รับการแก้ไขแล้ว แต่การสู้รบยากจะเลี่ยงไม่ให้เกิดการบาดเจ็บ จะไม่มียา โดยเฉพาะยาห้ามเลือดได้อย่างไร 

 

 

“ได้ ตกลง” ดวงตาของเสิ่นเวยเปล่งประกาย ตอบรับในทันที ราวกับกลัวว่าปู่นางจะเปลี่ยนใจ 

 

 

ท่านเสิ่นโหวประหลาดใจเล็กน้อย คาดไม่ถึงว่าหลานสาวจะคุยง่ายเช่นนี้ เขายังคิดว่าต้องพูดจาเกลี้ยกล่อมอีก “ง่ายเช่นนี้เลยหรือ เจ้าไม่ถามหน่อยหรือว่าข้าต้องการปริมาณเท่าไร เมืองชายแดนมีทหารอยู่ตั้งหลายหมื่นนาย” 

 

 

เสิ่นเวยโบกมือ กล่าวด้วยท่าทางองอาจอย่างถึงที่สุด “ท่านอยากได้เท่าไรหลานก็จะหามาให้ท่านเท่านั้น” 

 

 

ฮ่าๆ โชคดีที่นางมองการณ์ไกล ตอนที่รับซื้อเสบียงก็ถือโอกาสซื้อยามาด้วย คนอื่นอาจจะคิดไม่ถึง แต่เสิ่นเวยที่ทะลุมิติมาจากยุคปัจจุบันจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าการสู้รบสิ่งที่ต้องการมากที่สุดนอกจากอาวุธก็คือเสบียงกับยา 

 

 

“ขอบอกท่านปู่ไว้เลย อย่างมากที่สุดสามสี่วันเสบียงสามหมื่นต้านก็จะมาถึงแล้ว สิ่งที่ตามมาด้วยก็ยังมียา” เสิ่นเวยกดเสียงต่ำกล่าวอย่างลับๆ ล่อๆ “หากไม่พอก็จัดการได้ หลานจะให้โอวหยางไน่นำคนไปขนที่หมู่บ้านตระกูลเสิ่น ต้องการเสบียงมีเสบียง ต้องการยามียา ข้าให้กัวซวี่อยู่ที่หมู่บ้านตระกูลเสิ่นก็เพราะเหตุนี้ เป็นอย่างไร หลานฉลาดใช่หรือไม่” ในใจเสิ่นเวยเบิกบานอย่างยิ่ง ธุรกิจครั้งนี้คุ้มทุนจริงๆ 

 

 

นิ้วมือที่ยกขึ้นของท่านเสิ่นโหวชี้เสิ่นเวย จากนั้นจึงวางลง จะให้เขาพูดอะไรได้ อยากจะเตะหลานสาวที่ขวางหูขวางตาคนนี้ออกไปอย่างยิ่งจริงๆ  

 

 

เสิ่นเวยตาไว “เอ๋ ท่านปู่ พี่ใหญ่กับลูกผู้พี่มาแล้ว หลานขอตัวก่อนนะเจ้าค่ะ ไม่รบกวนเวลาท่านสั่งสอนถ่ายทอดความรู้แล้ว” จากนั้นก็วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว 

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

เนื่องด้วยถูกมารดาเลี้ยงกลั่นแกล้ง ทำให้ เสิ่นเวย ผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอต้องตายลงด้วยความน่าเวทนา ทว่าด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้ทหารสาวในยุคปัจจุบันทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของหญิงสาวผู้ที่มีชื่อแซ่เดียวกันกับตนเอง เมื่อถูกมารดาเลี้ยงวางแผนกลั่นแกล้ง เนรเทศตนเองมาอยู่ในสถานที่รกร้างห่างไกล โดยให้เหตุผลว่าต้องการให้นาง ‘รักษาตัว’ คิดหรือว่านางจะยอมแพ้ต่อความร้ายกาจของมารดาเลี้ยงผู้นี้? ไม่เป็นไร ในเมื่อไล่นางออกมา นางก็จะใช้หนึ่งสมองและสองมือของตนนี้พลิกฟื้นพัฒนาครอบครัวของนางให้กลับมาเชิดหน้าชูตาได้อีกครั้ง!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset