ยอดหญิงสกุลเสิ่น – ตอนที่ 160.2

 สงคราม สงคราม

 

 

 

ทั่วทุกแห่งในเมืองชายแดนล้วนเต็มไปด้วยร่องรอยที่ไฟสงครามทิ้งไว้ บนถนนไม่ค่อยมีคน แม้ว่าจะมีคนเดินถนนท่าทางรีบร้อน แต่ร้านค้าสองข้างทางก็ปิดประตูเป็นส่วนใหญ่

 

 

เสิ่นเวยพาเถาฮวากับโอวหยางไน่ไปเดินดูบนถนน พบทหารเข้ามาทำความเคารพนางไม่ขาดสาย ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความเคาพอย่างถึงที่สุด ทุกคนต่างก็ทราบดีว่านี่คือคุณชายสี่ของตระกูลท่านโหว เป็นคนที่ขนเสบียงมาให้พวกเขา คว้าโอกาสในการมีชีวิตอยู่ให้กับเมืองชายแดนท่ามกลางไฟสงคราม

 

 

“เหตุใดถึงไม่มีประชาชนอพยพ” เสิ่นเวยถามโอวหยางไน่ด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย ตามที่นางเข้าใจ ทุกครั้งที่มีสงคราม ประชาชนเมืองชายแดนจะต้องอพยพครอบครัวหนีไปยังที่ราบตอนกลาง แต่เสิ่นเวยกลับเห็นว่าแม้ประชาชนในเมืองจะปิดประตูหน้าต่างสนิท แต่ทุกๆ บ้านกลับยังมีคนอยู่

 

 

โอวหยางไน่กล่าว “พวกเขาจะอพยพไปไหนได้ คนหลายต่อหลายรุ่นต่างก็ใช้ชีวิตที่เมืองชายแดน พวกเขาชินกับสงคราม ชินกับไฟสงครามนานแล้ว ต่อให้ที่นี่จะไม่ดีแต่ก็ยังเป็นบ้านเกิดของพวกเขา ที่อื่นจะดีจริงๆ หรือ เจ้าถิ่นกดขี่ โจรระราน ไม่สู้อยู่ในบ้านเกิดที่ชายแดนดีกว่า”

 

 

หัวใจของเสิ่นเวยหนักอึ้งในชั่วขณะ ตั้งแต่โบราณกาล ความสำเร็จของแม่ทัพคือการสละชีพแลกมาซึ่งชีวิตประชาชนนับหมื่นนับแสน สิ่งที่สงครามมอบให้ประชาชนล้วนเป็นความเจ็บปวดและน้ำตาที่ไหลเป็นสายเลือดซึ่งไม่มีทางสูญหายไปตามกาลเวลา

 

 

วินาทีนี้ เสิ่นเวยอยากจะทำอะไรสักอย่างเพื่อเมืองชายแดนซีเจียง เพื่อประชาชนในเมืองชายแดนซีเจียงเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่ากำลังของนางจะน้อยอย่างถึงที่สุด แม้ว่าเงินที่นางทุ่มเทจะเป็นเพียงน้ำหนึ่งแก้วที่ใช้ดับไฟทั้งเกวียนก็ตาม

 

 

การมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ จะต้องทำอะไรสักอย่าง จะต้องยืนหยัด จะต้องรักษาเส้นของตนเอง จะต้องพยายามเป็นคนที่ดี เป็นคนที่ดีงาม

 

 

นี่เองก็เป็นเหตุผลหลักที่เสิ่นเวยเกลียดการต่อสู้ในเรือนหลังที่สุด ต่อสู้ตบตีเพื่อผู้ชายหนึ่งคนสนุกหรือไร ชนะแล้วอย่างไร ร้อยปีให้หลังก็กลายเป็นดินกันหมดไม่ใช่หรือ ใช้แผนร้ายเพื่อทรัพย์สมบัติแค่นั้น มีเวลาคิดแผนการขนาดนั้นแต่ก็ยังแย่งทรัพย์สินมาไม่ได้

 

 

“นี่คือ?” เสิ่นเวยชี้บ้านหลังใหญ่แห่งหนึ่งแล้วถาม ป้ายบนประตูใหญ่หักไปครึ่งหนึ่ง ครึ่งนั้นที่เหลืออยู่ก็ด่างพร้อย มองเห็นไม่ชัดว่าข้างบนเขียนว่าอะไร เด็กหลายคนวิ่งเล่นอยู่หน้าประตู เด็กโตอายุประมาณแปดเก้าขวบ เด็กเล็กอายุเพียงสองสามขวบ เสื้อผ้าบนร่างขาดหลุดรุ่ย บนใบหน้ายังสกปรกอย่างยิ่ง

 

 

“เด็กกำพร้าจากสงคราม” เสียงของโอวหยางไน่เย็นเยียบอย่างถึงที่สุด เมื่อก่อนเขาเองก็เคยเป็นหนึ่งคนที่อยู่ในนี้ แต่เขาโชคดี ถูกท่านโหวเลือกกลับไป

 

 

เสิ่นเวยมองเข้าไปจากประตูใหญ่ที่เปิดออก มองเห็นคนชราที่เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งไม่น้อยกับสตรีที่มีสีหน้าทุกข์ระทม นางคิด ที่แท้แล้วเด็กกำพร้าจากสงครามก็ไม่ได้มีเพียงเด็กที่สูญเสียพ่อแม่ แต่ยังรวมถึงคนชราที่เสียลูกกับสตรีที่เสียสามีและลูก ที่แท้แล้วสงครามก็โหดร้ายยิ่งกว่าที่นางคิด

 

 

ด้วยเหตุนี้ เสิ่นเวยจึงนึกถึงกลอนหนึ่งบทที่เคยเรียน ‘ผาสูงดุจโอบล้อม คลื่นสมุทรดุจพิโรธ คีรีธาราขนาบเส้นทางถงกวน ทอดมองบูรพา สองจิตลังเล ระทมทุกข์ยุคฉินฮั่นล่มสลาย พระราชวังทลายเป็นเถ้าถ่าน สุข ราษฎรก็เป็นทุกข์ ตาย ราษฎรก็เป็นทุกข์’

 

 

สงครามรีบจบเสีย ประชาชนจะได้มีวันสงบสุขเสียที

 

 

หลังเสิ่นเวยกลับไปถึงจวนก็ขังตัวเองอยู่ในห้องเปิดไฟตลอดทั้งคืน นางพลิกอ่านข้อมูลต่างๆ ของเมืองชายแดนที่ได้จากอาจารย์ผังแต่ละเล่มๆ หลังจากนั้นก็จับพู่กันเขียนลงบนกระดาษด้วยความรวดเร็ว กระทั่งไก่โห่นางจึงหาวนอนลงบนเตียง

 

 

วันที่สอง คำสั่งแต่ละอย่างๆ ออกมาจากเรือนเสิ่นเวย เหล่าเด็กหนุ่มหมู่บ้านตระกูลเสิ่นขี่ม้าศึกของพวกเขาออกจากเมืองชายแดนไปปฏิบัติหน้าที่ที่คุณหนูของพวกเขามอบหมายอย่างตั้งใจจริง

 

 

กลุ่มพ่อค้าของชวีไห่กับสำนักคุ้มภัยของจางสยงมาถึงเมืองชายแดนตามลำดับ ขบวนรถที่มองไม่เห็นปลายแถวเข้ามาในประตูเมือง ทหารและประชาชนเมืองชายแดนต่างก็วิ่งมามุงดู ดีใจประหนึ่งฉลองปีใหม่

 

 

จะไม่ดีใจได้อย่างไร มีเสบียงกินแล้ว มียาแล้ว ชีวิตก็อยู่ต่อไปได้แล้ว ยังมีอะไรที่ควรค่าแก่การดีใจไปมากกว่านี้อีก

 

 

จางสยงกับเฉียนเป้าพักเพียงแค่หนึ่งคืน วันที่สองก็นำคนออกจากเมืองชายแดน คุณหนูของพวกเขาบอกว่า เมืองชายแดนขาดแคลนทุกอย่าง อากาศก็เริ่มหนาวแล้ว ไม่อาจปล่อยให้ทหารและประชาชนเมืองชายแดนไม่ตายใต้กีบเท้าม้ากองทัพใหญ่ซีเหลียง แต่กลับตายเพราะความหนาวเหน็บ หิวตายและป่วยตายได้ พวกเรามีความสามารถก็ลงมือทำหน่อย อย่ากลัวว่าจะเปลืองเงิน เงินใช้หมดแล้วค่อยหาใหม่ก็ได้ แต่ชีวิตคนสิ้นแล้วก็สูญสิ้นไปตลอดกาล มนุษย์ต้องมีชีวิตอยู่จึงจะมีความหวัง

 

 

ทุกคนต่างก็ใช้ชีวิตผ่านไปอย่างยากลำบาก เบ้าตาชายร่างกำยำสูงใหญ่แดงก่ำ คุณหนูของพวกเขาจิตใจดีเช่นนี้ สภาพในอดีตของพวกเขาก็เหมือนกันประชาชนเมืองชายแดนซีเจียง เพราะว่าจิตใจที่ดีงามของคุณหนูพวกเขาจึงมีชีวิตที่ดีเช่นวันนี้ได้

 

 

เป็นมนุษย์ไม่อาจลืมตน พวกเขาเองก็ยินดีที่จะทุ่มเทแรงทั้งหมดของตัวเองเพื่อช่วยประชาชนเมืองชายแดนซีเจียง

 

 

ชวีไห่กับหมอหลิ่วถูกเสิ่นเวยทิ้งให้อยู่ในเรือน ชวีไห่อายุมากแล้ว ทั้งยังไม่มีศิลปะการต่อสู้ติดตัว ไปกลับระหว่างเมืองชายแดนกับหมู่บ้านตระกูลเสิ่นร่างกายก็รับไม่ไหวอย่างเลี่ยงไม่ได้ เขาเป็นเจ้าของร้าน ในเรื่องการจัดการชำนาญอย่างถึงที่สุด เสิ่นเวยจึงให้เขาคอยช่วยเหลืออยู่ข้างกาย

 

 

อันที่จริงเสิ่นเวยเสียใจอย่างยิ่งที่ทิ้งอาจารย์ซูไว้ที่เมืองหลวง อาจารย์ซูอยู่ที่เมืองชายแดนจึงจะแสดงความสามารถได้มากยิ่งกว่า แผงขายของเล็กๆ แค่นั้นในเมืองหลวงมีอะไรให้น่าดู ต่อให้จะหายไปหมดแล้วอย่างไร เทียบกับชีวิตคนได้หรือ แย่งกลับมาก็สิ้นเรื่อง

 

 

หมอหลิ่วเองก็ไม่ว่าง ตามหมอทหารไปตรวจอาการผู้บาดเจ็บที่เขตผู้ได้รับบาดเจ็บ

 

 

ท่านเสิ่นโหวฟังคำรายงานของโอวหยางไน่ สีหน้าก็แสดงออก แววตามีบางอย่างแวบผ่าน ถอนหายใจยาวๆ หนึ่งครา แต่กลับไม่พูดแม้แต่ประโยคเดียว

 

 

เหตุใดถึงไม่เป็นเด็กผู้ชาย หากเจ้าสี่เป็นเด็กผู้ชาย ต่อให้เขาจะต้องพยายามคัดค้านก็จะต้องมอบจวนจงอู่โหวไว้ในมือนางให้ได้ เด็กคนนี้โหดเ**้ยมขึ้นมาแล้วไม่เลือกวิธี แต่กลับมีจิตใจที่เมตตา คิดรอบคอบยิ่งกว่าปู่เช่นเขา หากจวนจงอู่โหวอยู่ในมือนางจะต้องก้าวไปอีกขั้นได้แน่นอน

 

 

เหตุใดถึงไม่เป็นเด็กผู้ชายเล่า ท่านเสิ่นโหวเสียดาย

 

 

เชียนเอ๋อร์ก็ไม่เลว นอบน้อมก้าวหน้ามีความสามารถ แต่ดันขาดความเผด็จการเช่นนั้นไป ความเผด็จการที่อยู่ติดตัวผู้มีอำนาจ ค่อยๆ สอนแล้วกัน จะต้องสำเร็จจงได้ อย่างน้อยเขาก็ยังมีประสบการณ์ยี่สิบปี จะต้องสอนเชียนเอ๋อร์ตัวต่อตัวให้ได้ แม้ว่าเขาจะไม่อาจนำจวนจงอู่โหวให้ก้าวไปอีกขึ้นได้ แต่รักษาไว้ก็ยังพอไหว

 

 

ท่านเสิ่นโหวปลอบตัวเองเช่นนี้

 

 

ส่วนเสิ่นเวยในตอนนี้ก็พาคนและทหารของนางออกไปล่าสัตว์ ใช่ เจ้าฟังไม่ผิด ล่าสัตว์ ไม่ล่าสัตว์แล้วจะเอาเนื้อที่ไหนมากิน ไม่กินเนื้อแล้วจะมีแรงได้อย่างไร

 

 

ซีเจียงมีภูเขาเยอะ บนภูเขาแน่นอนว่าต้องมีเหยื่อให้ล่า เสิ่นเวยพาคนหนึ่งร้อยกว่าคนเรียงแถวยาวเหยียดเข้าไปในเขา ทั้งล่าสัตว์ ทั้งได้ฝึกฝน นางนำเอาการฝึกซ้อมการใช้ชีวิตอยู่ในป่าของยุคปัจจุบันมาใช้ กลุ่มละสิบคน พกเสบียงและน้ำได้เล็กน้อย กำหนดเวลา ดูว่ากลุ่มใดล่าสัตว์ได้เยอะที่สุด และคนต้องออกมาได้อย่างครบถ้วนไม่ตกหล่น

 

 

กลุ่มที่ชนะแน่นอนว่ามีรางวัล นั่นก็คือการได้รับอภิสิทธิลงสนามรบฆ่าศัตรูสร้างคุณูปการ เสิ่นเวย

 

 

อธิบายเช่นนี้ ‘เจ้าต้องแข็งแกร่งมากพอข้าจึงกล้าพาเจ้าลงสนามรบ หากเจ้าไม่มีความสามารถ อย่าว่าแต่เป็นภาระคนอื่น ชีวิตคนตนยังยากจะปกป้องไว้ได้ ข้าพาพวกเจ้าออกมาแสวงหาความก้าวหน้าสร้างคุณงามความดี ไม่ได้ส่งมาตาย ดังนั้นใครอยากลงสนามรบสร้างคุณงามความดีเช่นนั้นก็เอาความสามารถของพวกเจ้าออกมา’

 

 

ทุกคนต่างก็ทราบดีว่าคนสามสิบคนนั้นที่ตามคุณหนูมาเมืองชายแดนต่างก็เคยลงสนามรบ ฆ่าทหารซีเหลียง ซ้ำเมืองชายแดนยังประกาศเกียรติยศคุณูปการของพวกเขา อัดอั้นมาเนิ่นนานแล้ว ตอนนี้ได้ยินคุณหนูพูดเช่นนี้ แน่นอนว่าคันไม้คันมืออยากจะลองดูแล้ว

 

 

หลังทุกคนเข้าไปในเขาเสิ่นเวยก็ตามเข้าไปในเขาเช่นกัน คนที่ติดตามนางอยู่ยังคงเป็นเถาฮวา เสี่ยวตี๋และโอวหยางไน่ ประสบการณ์การใช้ชีวิตในป่าของเสิ่นเวยโชกโชนมากเป็นพิเศษ นางเคยพกแค่เพียงน้ำแร่หนึ่งขวดก็ใช้ชีวิตอยู่ในป่าทึบแอฟริกาได้ครึ่งเดือน ตอนที่ออกมานอกจากตัวจะเหม็นหน่อย จนตรอกหน่อย แต่ก็ไม่บาดเจ็บเลยแม้แต่นิดเดียว

 

 

ตอนนี้นางเดินไปพลางถ่ายทอดประสบการณ์ไปพลาง แยกแยะทิศทางอย่างไร หาแหล่งน้ำอย่างไร ผลไม้ป่าแบบใดที่กินได้ สัตว์ชนิดใดต้องหลบหนี…ส่วนใหญ่แล้วก็สอนเถาฮวา เสี่ยวตี๋กับโอวหยางไน่เพียงแค่ถือโอกาสสอนไปด้วย

 

 

สำหลับคนที่เดินเขาคนอื่นๆ เสิ่นเวยไม่เป็นห่วงเลยแม้แต่น้อย แต่ละกลุ่มนางส่งทหารลับไปติดตามอยู่เงียบๆ แล้ว หากเกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตจริงๆ ย่อมสามารถลงมือช่วยได้ ไม่อาจตายเพราะฝึกฝนได้เป็นอันขาด หากจะตายก็ตายในสนามรบ แต่ว่าไม่ตายได้จึงจะดีที่สุด

 

 

เวลาที่เสิ่นเวยกำหนดคือหนึ่งวันหนึ่งคืน ก่อนบ่ายวันที่สองทุกคนต้องออกมา

 

 

บ่ายวันที่สอง กลุ่มเล็กสิบเจ็ดกลุ่มที่เข้าไปในป่ากลับมาหมดแล้ว ไม่ต้องพูดถึงจำนวนสัตว์ที่ล่ามาได้ ที่น่าดีใจยิ่งกว่าก็คือไม่มีคนได้รับบาดเจ็บแม้แต่คนเดียว สำหรับรอยขีดข่วนเล็กๆ น้อยๆ ไม่นับ

 

 

เสิ่นเวยมองสัตว์ที่กลุ่มเล็กล่ามาได้ทีละกลุ่มๆ โห ล่าสัตว์มาได้ไม่น้อยเลยจริงๆ ไก่ป่ากระต่ายป่ากวางตัวเล็กกวางแม่น้ำนานาชนิดวางกองเป็นภูเขา อีกทั้งยังล่าสัตว์ใหญ่มาได้ไม่น้อย อย่างเช่นหมูป่า หมาป่าต่างๆ

 

 

เสิ่นเวยถามไถ่วิธีการล่าสัตว์ของแต่ละกลุ่มๆ ทราบว่าพวกเขารู้จักร่วมมือกันก็พยักหน้าอย่างพอใจ “ฆ่าศัตรูใช้หลักการเดียวกับล่าสัตว์ ขอเพียงแค่สามัคคีร่วมมือกัน ต่อให้คู่ต่อสู้จะแข็งแกร่งก็จะต้องถูกพวกเราล้ม” เสิ่นเวยไม่ทิ้งโอกาสในการสั่งสอนใดๆ หวังเพียงแต่ว่าจะสอนให้มากขึ้นได้ พวกเขาจะได้ปกป้องชีวิตตัวเอง

 

 

ทุกคนคล้ายครุ่นคิด ตั้งใจย้อนนึกถึงประสบการณ์หนึ่งวันหนึ่งคืนนี้ของตนเอง คิดว่าตรงไหนที่ทำได้ดี ตรงไหนที่ยังสะเพร่า พวกเขาติดตามเสิ่นเวยมาเป็นเวลานานแล้ว ได้รับผลกระทบอย่างเลี่ยงไม่ได้ ปฏิบัติตามวิธีคิด ตริตรองปัญหาตามเสิ่นเวยอย่างไม่รู้ตัว

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

เนื่องด้วยถูกมารดาเลี้ยงกลั่นแกล้ง ทำให้ เสิ่นเวย ผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอต้องตายลงด้วยความน่าเวทนา ทว่าด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้ทหารสาวในยุคปัจจุบันทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของหญิงสาวผู้ที่มีชื่อแซ่เดียวกันกับตนเอง เมื่อถูกมารดาเลี้ยงวางแผนกลั่นแกล้ง เนรเทศตนเองมาอยู่ในสถานที่รกร้างห่างไกล โดยให้เหตุผลว่าต้องการให้นาง ‘รักษาตัว’ คิดหรือว่านางจะยอมแพ้ต่อความร้ายกาจของมารดาเลี้ยงผู้นี้? ไม่เป็นไร ในเมื่อไล่นางออกมา นางก็จะใช้หนึ่งสมองและสองมือของตนนี้พลิกฟื้นพัฒนาครอบครัวของนางให้กลับมาเชิดหน้าชูตาได้อีกครั้ง!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset