ยอดหญิงสกุลเสิ่น – ตอนที่ 163-1

ณ ริมทะเลสาบเย่ว์เลี่ยง

 

 

เสิ่นเวยนั่งอยู่บนหินก้อนใหญ่ สายลมฤดูใบไม้ร่วงพัดมาเบาๆ ผมที่งดงามของนางพลิ้วไหวอยู่ในสายลม

 

 

เจียงไป๋กับเจียงเฮยก่อไฟด้วยความชำนาญ ปลาที่ย่างอยู่บนตะแกรงส่งกลิ่นเผาหอมยั่วน้ำลายออกมา เจียงไป๋ถือปลาหนึ่งไม้ที่ย่างเสร็จแล้วส่งให้คุณชายของเขา “คุณชาย ท่านลองชิมดู”

 

 

เจียงเฮยเห็นท่าทีก็อยากลากน้องชายแสนโง่ผู้นี้กลับมาจริงๆ เจ้าจะนำไปให้อย่างไรก็ต้องให้สองไม้มิใช่หรือ ให้เพียงแค่ไม้เดียวหมายความว่าอย่างไร จะถึงปากคุณชายได้อย่างไร รอย่างไม้ที่สองเสร็จก่อนแล้วค่อยนำไปให้พร้อมกันไม่ได้หรือ ปกติเขาก็รู้ว่าน้องชายใจร้อนจึงไม่ได้ใส่ใจ ตอนนี้ความร้ายแรงของปัญหาปรากฏออกมาแล้วสินะ

 

 

เป็นดังคาด สวีโย่วรับปลาย่างมาไม่มีแม้แต่ความคิดจะอ้าปาก ส่งให้เสิ่นเวยทันที “ย่างเสร็จแล้ว รีบกินเถอะ”

 

 

เสิ่นเวยหิวแล้วจริงๆ นางเองก็ไม่เกรงใจเขา รับปลาย่างเข้ามาแล้วก็กัดทันที เพียงชั่วครู่ปลาย่างหนึ่งตัวก็เหลือเพียงแต่ก้างปลาตรงกลาง เสิ่นเวยพึมพำอยากกินอีกไปพลางกล่าวอย่างจับผิดไปพลาง “ฝีมืองั้นๆ ห่างชั้นกับเสี่ยวตี๋ของข้า เสี่ยวเฮยยังต้องพยายามให้มากกว่านี้นะ”

 

 

เจียงไป๋ที่กำลังจะถือปลาย่างเดินเข้ามาได้ยินเข้าก็แทบจะสะดุดล้ม แย่งปลาย่างของคุณชายแล้วยังพูดจาเช่นนี้อีก คุณหนูสี่ตระกูลเสิ่นช่าง ช่าง…เขาสรรหาคำพูดไม่ได้จริงๆ

 

 

เสิ่นเวยชายตามองเขาปราดหนึ่งกล่าวอย่างไม่สบายใจ “เสี่ยวไป๋ ไม่ใช่ว่าข้าว่าเจ้า แต่เจ้าก็ลำเอียงเกินไปแล้ว เหตุใดถึงเลือกที่รักมักที่ชังเช่นนี้เล่า ข้านั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้แต่เจ้าเห็นแค่คุณชายของเจ้างั้นหรือ” ไม่รู้จักคำว่าเลดี้เฟิร์สหรือ มิน่าเล่าอายุเท่านี้แล้วยังหาภรรยาไม่ได้

 

 

“นี่ เอามาสิ ขอบคุณนะ” เสิ่นเวยยื่นมือแย่งปลาย่างในมือเขามาอีกครั้ง จรดไว้ใต้จมูกดมครู่หนึ่ง ทำท่าทางหลงใหลอย่างยิ่งออกมา

 

 

เจียงไป๋กำลังจะบอกว่านี่เป็นของคุณชายก็เห็นคุณชายของตนกวาดสายตามองเขานิ่งๆ เขาปิดปากไม่กล้าส่งเสียงทันที

 

 

เสิ่นเวยหัวเราะเยาะหนึ่งครา “นี่ บ่าวภักดีของท่านตั้งใจเอามาให้ท่าน มา ท่านชิมสักคำสิ” เสิ่นเวยยื่นปลาย่างเข้าไปใกล้มุมปากสวีโย่ว ตอนที่พูดคำว่าบ่าวภักดีก็เอ่ยเสียงหนัก

 

 

สวีโย่วยิ้มแต่ยังก้มหน้าลงไปกัดปลาในมือเสิ่นเวยไปหนึ่งคำจริงๆ เคี้ยวพลางพยักหน้า “ไม่เลว เจ้ารีบกินตอนร้อนๆ เถอะ”

 

 

คำเดียวจริงๆ ปลาย่างที่เหลืออยู่ลงไปในท้องของเสิ่นเวยอีกครั้ง นางลูบท้องพลางเรอออกมา เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นสีหน้าไม่พอใจของเจียงไป๋ นางปัดมือลุกขึ้นยืนกล่าวต่อว่า “เสี่ยวไป๋ เจ้าอย่าเพิ่งขุ่นเคือง ระดับของเสี่ยวเฮยนั้นข้าก็แค่ไม่เรื่องมากยอมกินๆ ไป มาๆ เดี๋ยวจะให้เจ้าได้ลองชิมว่าอะไรคือปลาย่างต้นตำรับ เถาฮวา เอาวัตถุดิบของพวกเราออกมา”

 

 

เถาฮวาที่นั่งกินปลาย่างอยู่ข้างๆ เจียงเฮยโยนปลาย่างในมือทิ้งและวิ่งออกไปทันที ไอ๊หยา คุณชายจะลงมือทำเอง ใครจะทนกินปลาที่ไร้รสชาตินี้ได้อยู่อีก ต้องเหลือท้องไว้กินมื้อใหญ่แล้ว

 

 

เสี่ยวเฮยก็แอบไว้อาลัยให้น้องชายอย่างอดไม่ได้     เจ้านายเล่นลูกไม้ บ่าวเช่นเจ้าก็คิดจะเล่นด้วยหรือไร

 

 

เสิ่นเวยออกเดินทางทีไรมักจะเตรียมตัวพร้อมเสมอ เพื่อให้ตัวเองสบายมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตอนนี้นางถือแปรงเล็กกำลังทาน้ำผึ้งลงบนตัวปลา เมื่อปลาถูกเปลวไฟเผาก็ส่งเสียงดังซู่ๆ เสิ่นเวยตั้งใจโรยเครื่องปรุงรสต่างๆ แล้วพลิกไม้ไปมา เส้นผมงามบนหน้าผากร่วงลงมานางก็ยังไม่รู้ตัว

 

 

สวีโย่วจ้องมองเสิ่นเวยอย่างไม่อาจละสายตาได้ เขาต้องพยายามควบคุมตัวเองจึงจะไม่ยื่นมือไปลูบใบหน้ารูปไข่ที่แดงก่ำเพราะไอร้อนของนาง เถาฮวาเองก็มองไม่ละสายตา เพียงแต่เป้าหมายอยู่ที่ตัวปลาที่ย่างอยู่บนไฟ

 

 

กลิ่นหอมฟุ้งกระจายอยู่ในอากาศ เถาฮวารอไม่ไหวแล้ว เร่งถามไม่หยุด “คุณชาย เสร็จแล้วหรือยัง” แม้แต่เจียงเฮยกับเจียงไป๋ก็กลืนน้ำลายอย่างอดไม่ได้เช่นกัน

 

 

“เอ้า ลองชิมสิ” เสิ่นเวยส่งปลาที่ย่างเสร็จแล้วให้สวีโย่วกับเถาฮวา จากนั้นก็วางปลาสองตัวลงไปบนตะแกรงด้วยความคล่องแคล่วอีกครั้ง น่าเสียดายที่ครั้งนี้เจียงไป๋กับเจียงเฮยยังไม่ทันได้กินก็ถูกสวีโย่วกับเถาฮวาจอมตะกละคว้าไปอีกครั้ง กระทั่งสองคนนี้กินอิ่ม เจียงเฮยกับเจียงไป๋ถึงจะได้กินปลาเล็กสองตัวสุดท้ายลงท้องอย่างเสียไม่ได้ ระดับความอร่อยนั้นไม่ต้องพูดถึง แทบจะชวนให้คนกลืนลิ้นลงไปในท้องพร้อมกันได้เลยทีเดียว

 

 

ปลาเล็กสองตัวยังไม่พอให้พวกเขาทั้งสองอิ่มได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นปลาสองตัวสุดท้ายแล้ว พวกเขาทั้งสองจึงทำได้เพียงเคี้ยวเสบียงแห้งด้วยความขมขื่น ต่อมรับรสชาติที่ได้รับรสปลาอร่อยมาแล้วจะกลืนเสบียงแห้งกรังไร้รสชาติลงได้อย่างไร

 

 

เจียงเฮยนั้นยังดี แต่เจียงไป๋ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ยังเคือง คุณหนูสี่ตั้งใจทำให้พวกเขาลำบากใช่หรือไม่ ดวงตาทั้งคู่ของเจ้านายที่เดิมทีควรจะดูแลเขากลับติดอยู่บนร่างคุณหนูสี่ ไหนเลยจะยังเห็นเขา เจียงไป๋กลุ้มใจแล้ว จู่ๆ ก็รู้สึกว่านายท่านแต่งภรรยาก็ไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป

 

 

ห่างจากเสิ่นเวยและคนอื่นๆ ไปอีกสิบก้าวมีคนหนึ่งกลุ่มกำลังพักเท้าอยู่ พวกเขาเอาเนื้อวัวแห้งออกมาเคี้ยวคำใหญ่ๆ แต่กลับถูกกลิ่นหอมของปลาที่ลอยเข้ามาจากฝั่งเสิ่นเวยทำให้จิตใจว้าวุ่น เนื้อวัวแห้งที่เมื่อก่อนยังนับว่าอร่อยก็ยิ่งดูไร้รสชาติเหมือนอย่างเดิม

 

 

หัวหน้าที่ผูกผ้าแดงไว้บนคอผู้นั้น ท่าทางอายุประมาณสามสิบปี กล้ามแขนเป็นมัดๆ ล้วนแต่เป็นกล้ามเนื้อเส้นเอ็น เขาเป็นหัวหน้าของกลุ่มโจรลักม้าที่มีกำลังแข็งแกร่งที่สุดกลุ่มนี้ คนเรียกว่าลูกพี่หู

 

 

เขาเคยเป็นนักโทษหลบหนีที่ลี้ภัยไปทั่วทุกหนแห่ง ต้องคดีใหญ่ที่เจียงหนาน ฆ่าคนทุกระดับชั้นในครอบครัวภรรยาไปหลายสิบคน แม้แต่เด็กทารกเพียงไม่กี่เดือนก็ไม่เว้น ถูกประกาศจับ ไม่มีที่หลบหนีแล้วจริงๆ จึงหนีมาเป็นโจรลักม้าที่ชายแดนซีเจียง

 

 

ตอนที่เขาเข้ามาในกลุ่มโจรลักม้ากลุ่มนี้ โจรลักม้ากลุ่มนี้ยังไม่ได้มีกำลังแข็งแกร่งที่สุด หลังเขามาได้สองเดือนก็ฆ่าลูกพี่คนก่อนทิ้ง ใช้วิธีโหดเ**้ยมขู่โจรลักม้าทั้งหมดให้ยกเขาขึ้นเป็นหัวหน้า เขาเองก็มีฝีมือและความสามารถจริงๆ กล้าฆ่ากล้าสู้ ค่อยๆ พาโจรม้ากลุ่มนี้เดินมาถึงยุคที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรที่สุด

 

 

ลูกพี่หูเผด็จการจนเคยชินแล้ว ไหนเลยจะทนความอัดอั้นนี้ได้ เขาโยนเนื้อวัวแห้งในมือทิ้งแล้วจึงเดินไปหาเสิ่นเวย เพิ่งจะเดินไปได้ก้าวเดียวก็ถูกลูกน้องคนสนิทของเขารั้งไว้ “พี่ใหญ่ ช้าก่อน”

 

 

ลูกพี่หูใช้สายตาไต่ถาม ลูกน้องคนสนิทเหลือบมองไปทางเสิ่นเวยปราดหนึ่งกล่าวอะไรบางอย่างเบาๆ

 

 

ลูกพี่หูตกใจ จากนั้นก็หันหลังกลับมานั่งกล่าวถามเสียงต่ำ “มั่นใจหรือว่าเป็นพวกเขา”

 

 

ลูกน้องคนสนิทขมวดคิ้ว ส่ายหน้า “เหมือนยิ่งนัก แต่ข้าเองก็ไม่มั่นใจว่าใช่พวกเขาหรือไม่” เขามองคนไม่กี่คนที่ดูเหมือนกำลังทะเลาะวิวาทกันอยู่ จากนั้นจึงกล่าว “ฝั่งนั้นเป็นคุณชายสองคนจริงๆ อีกทั้งยังอ่อนแออย่างยิ่ง แต่อาวุธกลับต่างออกไป เมื่อครู่ข้าตั้งใจดู บนม้าพวกเขาเป็นกระบี่ยาวเสียส่วนใหญ่ ไม่มีดาบ อีกทั้งฝั่งพวกเขายังมีเด็ก บนร่างก็ไม่มีไอสังหาร”

 

 

ลูกพี่หูสีหน้าเคร่งขรึมเหลือบมองไปทางฝั่งนั้น พบว่าเป็นอย่างที่ลูกน้องพูดจริงๆ ดวงตาที่ดุร้ายของเขากะพริบวาบ กล่าว “พวกเราปะทะพวกเขามีความเป็นไปได้ในการชนะเท่าไร”

 

 

เดิมลูกพี่หูยังไม่ได้สนใจอะไร แต่ว่าอยากเข้าไปหาเรื่องพวกเขา ตอนนี้รู้สึกว่าคนไม่กี่คนนี้อาจจะเป็นคุณชายสองท่านที่มาใหม่ ลูกพี่หูก็สนใจขึ้นมา ตามหลักการยอมสังหารพลาดแต่จะไม่ยอมปล่อยให้หลุดรอดไป อยากจะฆ่าล้างพวกเขาเสียที่ริมทะเลสาบเย่ว์เลี่ยงแห่งนี้จริงๆ

 

 

หากไม่ใช่ สำหรับพวกเขาแล้วก็ไม่ได้เสียหายอะไร แต่หากใช่เล่า เขาไม่เชื่อว่าพวกเขายี่สิบกว่าคนนี้จะสู้ผู้ใหญ่สี่คนกับเด็กอีกหนึ่งคนไม่ได้ ลูกพี่หูเชื่อมั่นในตัวคนที่ตนพามาอย่างถึงที่สุด

 

 

คิดถึงตรงนี้ ลูกพี่หูก็สบตากับลูกน้องปราดหนึ่ง ทั้งสองกล่าวเสียงต่ำสองสามประโยค ลูกน้องผู้นั้นก็ลุกขึ้นเดินเข้ามาหาเสิ่นเวย

 

 

“คารวะสหายทั้งหลาย ลูกพี่ของพวกข้าถูกใจฝีมือของสหายทั้งหลาย ไม่ทราบว่าจะให้เกียรติไปช่วยสักหน่อยได้หรือไม่” โจรลักม้าที่เข้ามากล่าวด้วยความหยิ่งยโสอย่างถึงที่สุด

 

 

เสิ่นเวยและคนอื่นๆ ตกใจ หลังจากนั้นจึงเข้าใจเจตนาของโจรลักม้ากลุ่มนี้ อดก่ายหน้าผากพร้อมกันอย่างอดไม่ได้ พวกตาไม่มีแววจากไหนกัน เข้ามารนหาที่ตายหรือ

 

 

แววตาเสิ่นเวยมีความเจ้าเล่ห์แวบผ่าน กระทุ้งแขนสวีโย่ว “นี่ เสี่ยวโย่วโย่ว เขามาให้ท่านไปช่วยน่ะ” ช่วยอะไร ไม่ใช่ไปรับใช้คนหรอกหรือ

 

 

สวีโย่วมองเสิ่นเวยอย่างเฉยเมยปราดหนึ่ง “เขามาหาเจ้ามิใช่หรือ เสี่ยวเวยเวย” เด็กคนนี้นับวันยิ่งเหยียบจมูกขึ้นหน้า[1] จะจัดการนางอย่างไรดี หรือว่าจะกดนางไว้ในพงหญ้าแล้วจูบแรงๆ สักรอบหนึ่งดี สวีโย่วมองปากเล็กๆ ที่ชุ่มชื้นของเสิ่นเวย รู้สึกว่าความคิดนี้ดีจริงๆ

 

 

เสิ่นเวยแค่นเสียงหึหนึ่งครา กล่าวอย่างดูถูก “มาหาข้าก็เท่ากับหาท่านไม่ใช่หรือ ท่านคิดว่าท่านมีหน้ามากไม่ใช่หรือ” เรื่องบางเรื่องย่อมต้องผลักคุณชายใหญ่ออกไปข้างหน้า ใครให้เขามีชื่อว่าเป็นคู่หมั้นของนางเล่า

 

 

สวีโย่วเอียงหน้าแสร้งทำเป็นคิดครู่หนึ่งจริงๆ “มีเหตุผล หากเจ้าไป ข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน” ผู้หญิงของเขาสูงส่งล้ำค่า อย่าว่าแต่โจรลักม้าเล็กๆ ต่อให้เป็นพระชายาจิ้นอ๋องก็ไม่มีเกียรติมากพอที่จะสั่งให้นางรับใช้ได้

 

 

คนทั้งสองพูดจาไม่เกรงกลัวใครเช่นนี้ ไม่สนใจโจรลักม้าผู้นั้นอย่างสิ้นเชิง โจรลักม้าจึงโมโห “พูดดีๆ ไม่ฟัง ต้องใช้กำลังบังคับใช่หรือไม่ ไว้หน้าแล้วไม่สนใจใช่หรือไม่ พี่น้องมาตรงนี้ มาสร้างสีสันให้พวกเขาดูเสียหน่อย” โจรลักม้าหันหน้ากลับตะโกน ลูกพี่หูนำโจรลักม้าทั้งหมดถืออาวุธล้อมเข้ามาด้วยท่าทางโหดเ**้ยมดุร้าย

 

 

ดวงตาของเสิ่นเวยเปล่งประกายแล้ว ท่าทางเมินเฉยเป็นอันธพาล ตะโกนกล่าว “เฮ้อ อยากตีก็พูดมาตรงๆ สิ จะหาข้ออ้างทำไม เถาฮวา จัดการพวกเขา”

 

 

ปากพูดอยู่มือก็กดลงบนเอว ตัวคนเองก็พุ่งออกไปแล้ว ฟันลูกพี่หูอะไรนั่นหนึ่งคราทันที ลงมือก่อนได้เปรียบ เสิ่นเวยเข้าใจสัจธรรมในคำพูดนี้อย่างถึงที่สุด

 

 

ลูกพี่หูไม่คิดว่าเด็กหนุ่มที่ราวกับไก่อ่อนผู้นี้จะไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ชักกระบี่แล้ว เขาโมโหเดือดดาลเช่นกัน หลบกระบี่นี้ไปได้ ยกดาบหัวกะโหลกขึ้นโจมตีมาที่เสิ่นเวย

 

 

โจรลักม้าทั้งหมดเห็นลูกพี่ลงมือแล้ว ยังจะรออะไรอีก โจมตีสิ ชั่วขณะ คนห้าคนฝั่งเสิ่นเวยก็สู้รบกับโจรลักม้ายี่สิบกว่าคน

 

 

 

 

 

 

[1] เหยียบจมูกขึ้นหน้า ฝ่ายหนึ่งให้เกียรติอีกฝ่ายหนึ่ง แต่อีกฝ่ายไม่คิดจะสนใจ กลับวางท่าได้ใจยิ่งขึ้น

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

เนื่องด้วยถูกมารดาเลี้ยงกลั่นแกล้ง ทำให้ เสิ่นเวย ผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอต้องตายลงด้วยความน่าเวทนา ทว่าด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้ทหารสาวในยุคปัจจุบันทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของหญิงสาวผู้ที่มีชื่อแซ่เดียวกันกับตนเอง เมื่อถูกมารดาเลี้ยงวางแผนกลั่นแกล้ง เนรเทศตนเองมาอยู่ในสถานที่รกร้างห่างไกล โดยให้เหตุผลว่าต้องการให้นาง ‘รักษาตัว’ คิดหรือว่านางจะยอมแพ้ต่อความร้ายกาจของมารดาเลี้ยงผู้นี้? ไม่เป็นไร ในเมื่อไล่นางออกมา นางก็จะใช้หนึ่งสมองและสองมือของตนนี้พลิกฟื้นพัฒนาครอบครัวของนางให้กลับมาเชิดหน้าชูตาได้อีกครั้ง!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset