ยอดหญิงสกุลเสิ่น – ตอนที่ 165-1 อีกด้านหนึ่งของสงคราม

“ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้ากลับมาแล้ว” ฟังจงหลี่ลูกชายคนเล็กของฟังต้าฉุยวิ่งเข้าประตูบ้านร้องตะโกนเสียงดัง

 

 

ฟังต้าฉุยกับฮูหยินเฉิงที่กำลังเตรียมตัวจะออกจากจวนก็ออกจากห้องหลักมาต้อนรับพร้อมกัน “หลี่เกอเอ๋อร์ เร็ว มาให้แม่ดูหน่อย” ฮูหยินเฉิงวิ่งเข้ามาดึงแขนของลูกชายอย่างร้อนใจ ต่อให้นางจะใจกว้าง แต่ลูกชายก็เป็นเลือดเนื้อที่ออกมาจากร่างนาง ไม่ได้เจอกันครึ่งเดือน แม้จะนอนหลับนางก็ยังเป็นห่วง

 

 

ทว่าฟังต้าฉุยกลับไม่ได้สนใจ “มีอะไรให้ดูกัน อยู่จวนโหวแล้วยังจะปฏิบัติต่อเขาอย่างไม่เป็นธรรมได้ด้วยหรือ” แม้ว่าปากจะพูดเช่นนี้ แต่ดวงตากลับจ้องมองร่างลูกชายนิ่ง เห็นลูกชายมีสีหน้าท่าทางไม่เลว จึงวางใจลง

 

 

ฟังจงหลี่บิดตัวอย่างอึดอัดเล็กน้อย “ท่านแม่ ท่านรีบปล่อยมือเถอะ ข้าโตแล้วมิใช่หรือ” เขาอายุสิบสามแล้ว แม่เขายังทำเหมือนเขาเป็นเด็กๆ อายคนอื่นจะแย่

 

 

“เจ้าเด็กนี่ เมินแม่หรือ” ฮูหยินเฉิงเห็นลูกชายคนเล็กสบายดีก็วางใจลงเช่นกัน ตบหลังมือลูกชายเบาๆ พลางกล่าวเอ็ด

 

 

“หลี่เกอเอ๋อร์กินข้าวมาแล้วหรือยัง เดี๋ยวแม่จะไปทำอาหารให้เจ้า ทำขาหมูที่เจ้าชอบกินที่สุด” ฮูหยินเฉิงเป็นห่วงเรื่องอาหารการกินของลูกชาย

 

 

ฟังจงหลี่รั้งมารดาไว้ “ท่านแม่ไม่ต้องลำบากแล้ว ลูกกินข้าวที่จวนโหวมาแล้ว ยังอิ่มอยู่เลย” กับข้าวที่จวนโหวดีอย่างยิ่ง ดีกว่าที่เขากินที่บ้านเสียอีก

 

 

เขามองไปในลานบ้าน “พี่รองเล่า เหตุใดถึงไม่เห็นเขาออกมาเลย”

 

 

“พี่รองเจ้าอยู่ที่ค่าย เจ้าหาเขาทำไมหรือ” ฟังต้าฉุยกล่าวอย่างงุนงงเล็กน้อย

 

 

ฟังต้าฉุยมีลูกชายสามคน ได้แก่ลูกชายคนโตฟังจงเหริน ลูกชายคนรองฟังจงอี้และลูกชายคนที่สามฟังจงหลี่ ชื่อตั้งตามหลักคำสอนเหริน อี้ หลี่ จือ ซิ่น[1] ความเสียดายที่สุดในชีวิตนี้ของเขาก็คือไม่สามารถมีลูกชายห้าคนได้ มิเช่นนั้นจะได้ใช้ชื่อเหริน อี้ หลี่ จือ ซิ่นทั้งหมด

 

 

ปีนี้ลูกชายคนโตฟังจงเหรินอายุสิบเก้าปีแล้ว ตามฟังต้าฉุยเข้าค่ายทหารมานานแล้ว ปีนี้ลูกชายคนรองก็อายุสิบห้าปีแล้ว ไม่กี่วันก่อนก็เพิ่งเข้าค่ายทหาร ลูกชายคนที่สามก็คือลูกชายคนเล็กฟังจงหลี่ผู้นี้ ปีนี้เพิ่งจะอายุสิบสามปี

 

 

ไม่ผิดที่ฟังต้าฉุยจะรู้สึกแปลก ความจริงแล้วลูกชายคนรองและลูกชายคนเล็กเป็นคู่รักคู่แค้นที่สุด เมื่ออยู่ด้วยกันก็ทะเลาะต่อยตีกันทั้งวัน ไม่มีเวลาสงบสุขเลยสักครั้งเดียว

 

 

“แน่นอนว่าหาพี่รองเพื่อที่จะประลองอย่างไรเล่า หึๆ ครึ่งเดือนนี้ข้าเรียนกระบวนท่าต่อสู้ที่มีประโยชน์ไปไม่น้อย คอยดูข้าจะตีพี่รองให้ฟันร่วงเลย” ฟังจงหลี่กล่าวด้วยความมั่นใจ

 

 

เขากับพี่รองเดิมทีก็อายุห่างกันไม่มาก แน่นอนว่าสามารถเล่นด้วยกันได้ ด้วยความที่พี่รองโตกว่าเขาสองปี พละกำลังจึงมากกว่าเขา ทุกคนล้วนแต่ชนะเขา เขาอัดอั้นอยู่นานแล้ว

 

 

ครั้งนี้เขาเข้าไปฝึกฝนที่จวนโหวแล้ว พี่รองคิดว่าตัวเองอายุมากแล้ว รู้สึกขัดเขิน ไม่อยากตามไปคลุกคลีอยู่กับเด็กน้อยจึงไม่ได้ไปด้วย

 

 

ในจวนโหวเขาได้เปิดโลกทัศน์ อย่าว่าแต่ฝีมือของคุณชายสี่ แม้แต่ลูกน้องของคุณชายสี่ สุ่มเลือกมาหนึ่งคนล้วนแต่เก่งกาจทั้งหมด ในขณะที่เขาอิจฉาก็ตัดสินใจว่าจะต้องตั้งใจร่ำเรียน ไม่เห็นหรือว่า เมื่อกลับบ้านมาก็เรียกหาพี่รอง อยากแก้แค้นอย่างทนรอไม่ได้

 

 

ฮูหยินเฉิงได้ยินแล้ว นิ้วมือก็จิ้มหน้าผากของลูกชายคนเล็กไปทีหนึ่ง “ตีๆๆ รู้จักแต่จะทะเลาะ เพิ่งจะกลับมาถึงบ้านก็เริ่มก่อเรื่องอีกแล้ว แม่ไม่อนุญาต เจ้าเล่ามาตามตรงดีกว่าจวนโหวสอนอะไรบ้าง”

 

 

ทว่าฟังจงหลี่กลับไม่ยอมแพ้ “ท่านแม่ ข้าอยากแลกเปลี่ยนความรู้กับพี่รอง แลกเปลี่ยนศิลปะการต่อสู้ต่างหาก” เหอะ คราวนี้เขาจะต้องชนะพี่รองให้ได้ “ท่านแม่ ท่านไม่รู้ ลูกเรียนที่จวนโหวเยอะอย่างยิ่ง ครั้งนี้ข้าจะต้องชนะพี่รองได้แน่” เอ่ยถึงการฝึกฝนที่จวนโหวเขาก็ร่าเริงเบิกบาน แม้ว่าจะเหนื่อยอย่างยิ่ง แต่ก็ได้ประโยชน์เยอะอย่างยิ่งเช่นกัน

 

 

คราวนี้แม้แต่ฟังต้าฉุยบิดาเขาก็ยังสนใจ มองประเมินลูกชายอย่างละเอียด ลูกชายดูผอมลงเล็กน้อย แต่ร่างทั้งร่างกลับดูมีกำลังวังชามากเป็นพิเศษ คล้ายต้นอ่อนเล็กๆ ที่ทรงพลังต้นหนึ่ง กิริยาท่าทางก็ต่างจากเมื่อก่อนมาก นี่ทำให้ฟังต้าฉุยรู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง เพียงแค่เวลาครึ่งเดือนสั้นๆ ลูกชายเปลี่ยนไปมากเพียงนี้ได้อย่างไร

 

 

“พี่รองเจ้าไม่อยู่บ้าน มาๆๆ เดี๋ยวพ่อจะประลองเป็นเพื่อนเจ้า ดูว่าครึ่งเดือนนี้เจ้าเรียนอะไรมาบ้าง” ฟังต้าฉุยตบบ่าลูกชายคนเล็กแล้วกล่าว

 

 

“จริงหรือ ดียิ่งนัก ท่านพ่อ ดูนะ” ฟังจงหลี่ตะโกนอย่างดีใจ ชิงโจมตีบิดาของเขาก่อน

 

 

สองพ่อลูกผลัดกันประลองกระบวนท่าอยู่ในลานบ้าน ฮูหยินเฉิงชี้สองพ่อลูกคู่นี้อย่างไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี พ่อลูกห้าคนในครอบครัวสี่คนต่างก็ชอบต่อยตีฆ่าฟัน ดังนั้นนางจึงหวังจะมีลูกสาวคนเล็กน่ารักได้สักคน เมื่อเห็นว่าทำอะไรไม่ได้ ฮูหยินเฉิงก็ถือโอกาสเข้าไปในห้องคนเดียว ทิ้งพวกเขาสองพ่อลูกกลิ้งตลบกันอยู่ในลานบ้าน

 

 

สองพ่อลูกแลกเปลี่ยนความรู้กันเพียงแค่ช่วงเวลาหนึ่งก้านธูป แม้ว่าท้ายที่สุดจะจบลงด้วยการที่ฟังจงหลี่ถูกบิดาเขาจับตัวไว้ แต่ฟังต้าฉุยก็ดีใจอย่างยิ่ง มือใหญ่ๆ ของเขาตบลงบนหลังของลูกชาย กล่าวชม “เด็กดี พัฒนาขึ้นแล้วจริงๆ” กระบวนท่าที่ง่ายๆ นั้นแม้ว่าจะยังไม่ถึงขั้นชำนาญ แต่ก็เกิดผลอย่างยิ่ง มีสองครั้งที่เขาถูกลูกชายโจมตีจนรับมือไม่ทัน หากไม่ใช่ว่าเขาแก่ประสบการณ์ก็คงจะจับลูกชายไว้ไม่ได้

 

 

“มาๆๆ รีบบอกพ่อมา คุณชายสี่สอนพวกเจ้าอย่างไร” ฟังต้าฉุยเองก็ไม่ไปค่ายหทารแล้ว เขาอยากรู้อย่างยิ่งว่าคุณชายสี่ทำให้ลูกชายของเขาก้าวหน้ามากเพียงนี้ภายในระยะเวลาครึ่งเดือนสั้นๆ ได้อย่างไร เพียงแค่ลูกชายเขาที่เป็นเช่นนี้ หรือว่ากองทหารเด็กทั้งหมดล้วนเป็นแบบนี้

 

 

พ่อลูกเข้าไปในห้อง คนหนึ่งก็พูดน้ำไหลไฟดับด้วยความเริงร่าเบิกบาน อีกคนหนึ่งก็ฟังด้วยความตื่นเต้น

 

 

ฟังต้าฉุยยิ่งฟังก็ยิ่งตกใจ อดไม่ได้ถามแทรก “คุณชายสี่สอนตำราพิชัยสงครามเจ้าด้วยหรือ”

 

 

“แน่นอนอยู่แล้ว เคลื่อนพลสู้รบจะไม่รู้ตำราพิชัยสงครามได้อย่างไร คุณชายสี่บอกแล้วว่า เพียงแค่สังหารโหดต่อสู้ได้โหดแต่ไม่รู้จักใช้สมอง เช่นนั้นก็จะเป็นคนไร้ปัญญา สังหารศัตรูได้เยอะก็เป็นได้เพียงทหารไม่อาจเป็นแม่ทัพ” ฟังจงหลี่แสยะปากกล่าวอย่างมีเหตุผล “ช่องทางนำทัพสู้รบมีเยอะ ไม่เพียงแต่ใช้แผนการ ยังต้องดูตามสถานการณ์จริงด้วย บางครั้งก็ดูตำแหน่งที่ตั้ง การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ กระทั่งทิศทางกระแสน้ำก็ล้วนแต่ส่งผลกระทบต่อผลแพ้ชนะของการต่อสู้” ฟังจงหลี่เลียนแบบคำพูดคุณชายสี่ของพวกเขาได้อย่างเป็นระเบียบแบบแผน

 

 

เห็นใบหน้าเล็กๆ ที่ดีใจจนเปล่งประกายของลูกชาย ในใจฟังต้าฉุยก็มีความรู้สึกแปลกๆ ราวกับโชคหล่นทับ ลูกคนเล็กวาสนาดีจริงๆ

 

 

ลูกชายอาจจะยังไม่ค่อยเข้าใจความหมายในคำที่เขาพูด แต่เขาผู้มีประสบการณ์ในการนำทัพสู้รบโชกโชนกลับเข้าใจถึงความสำคัญของคำพูดนี้ได้เป็นอย่างดี มีเพียงคนที่เคยผ่านมาด้วยตัวเองจึงจะเข้าใจได้

 

 

มีครั้งหนึ่งเขานำทัพคนร้อยกว่าคนถูกกองทัพศัตรูล้อมอยู่บนเขา กองทัพศัตรูวางเพลิงเผาภูเขา ชั่วพริบตากองเพลิงก็ใกล้จะลามขึ้นมา เขาคิดว่าจะต้องสละชีวิตลงที่นี่แล้ว ใครจะรู้ว่าฟ้าที่แจ่มใสจะมีพายุฝนตกลงมาได้ กองเพลิงถูกฝนดับจนหมด ในที่สุดก็ทำให้เขารอจนได้พบกองกำลังหนุน

 

 

ในช่วงเวลายี่สิบกว่าปีที่เขานำทัพสู้รบ เรื่องต่างๆ ก็พบมาหลายต่อหลายครั้ง เหมือนอย่างที่ลูกชายพูดเลยมิใช่หรือ เพียงแต่แม้ว่าในใจเขาจะเข้าใจ แต่กลับไม่อาจสรุปได้ครบรอบด้านเช่นนั้น พูดได้ฉลาดหลักแหลมอย่างเช่นคุณชายสี่

 

 

“เด็กดี เจ้ามีวาสนา ตั้งใจเรียนกับคุณชายสี่ให้ดีๆ รู้หรือไม่ เจ้าเรียนรู้จากคุณชายสี่ในภายหน้าก็แข็งแกร่งกว่าข้าแล้ว ตระกูลฟังของพวกเราก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว” ฟังต้าฉุยตั้งใจกล่าวกับลูกชายคนเล็กมากเป็นพิเศษ แอบเสียดายที่ไม่ได้ยืนกรานให้ลูกชายคนรองเข้าจวนโหวไปฝึกฝนด้วย มิเช่นนั้นอนาคตของลูกชายทั้งสองของเขาก็ไม่ต้องกลัดกลุ้มแล้ว

 

 

 

 

 

 

[1] หลักคำสองเหริน อี้ หลี่ จือ ซิ่น เป็นหลักคำสอนของขงจื่อ ได้แก่ความเมตตา ความเที่ยงธรรม ความสุภาพ สติปัญญา ความจริงใจ

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

เนื่องด้วยถูกมารดาเลี้ยงกลั่นแกล้ง ทำให้ เสิ่นเวย ผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอต้องตายลงด้วยความน่าเวทนา ทว่าด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้ทหารสาวในยุคปัจจุบันทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของหญิงสาวผู้ที่มีชื่อแซ่เดียวกันกับตนเอง เมื่อถูกมารดาเลี้ยงวางแผนกลั่นแกล้ง เนรเทศตนเองมาอยู่ในสถานที่รกร้างห่างไกล โดยให้เหตุผลว่าต้องการให้นาง ‘รักษาตัว’ คิดหรือว่านางจะยอมแพ้ต่อความร้ายกาจของมารดาเลี้ยงผู้นี้? ไม่เป็นไร ในเมื่อไล่นางออกมา นางก็จะใช้หนึ่งสมองและสองมือของตนนี้พลิกฟื้นพัฒนาครอบครัวของนางให้กลับมาเชิดหน้าชูตาได้อีกครั้ง!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset