ยอดหญิงสกุลเสิ่น – ตอนที่ 169-2 ศึกใหญ่มาแล้ว

“เจวี๋ยเกอเอ๋อร์ช่วงนี้เรียนเป็นอย่างไรบ้าง การบ้านตามทันหรือไม่” เสิ่นหงเซวียนถามลูกชายด้วยสีหน้าอ่อนโยน

 

 

เสิ่นเจวี๋ยตอบเรียบง่ายอย่างถึงที่สุด “ดีขอรับ ตามทัน ฟู่ชิน[1]เรียกลูกมามีเรื่องอันใดหรือ”

 

 

นี่เองก็เป็นเรื่องจริง เขาพบว่าตั้งแต่ที่ตนตั้งสมาธิเรียนหนังสือ การบ้านเหล่านั้นก็ค่อนข้างง่ายจริงๆ เพื่อนร่วมเรียนในสำนักศึกษาที่มาหาเรื่องเขา เขาเองก็ไม่ให้ความสนใจเป็นส่วนใหญ่ ท่านพี่พูดถูก ‘เจ้าไม่สนใจ นานวันเข้าเขาก็จะรู้สึกเบื่อ ไม่มาหาเรื่องเจ้าอีกแน่นอน’ แต่หากมีคนที่ทำเกินไปเช่นนั้น เขาก็ไม่หวาดกลัว ลงมือจัดการได้ ขอเพียงแค่ตนมีเหตุผล อาจารย์ก็ไม่มีทางบอกว่าเขาผิด

 

 

เดิมเสิ่นหงเซวียนยังคิดจะถามไถ่สารทุกข์สุขดิบลูกชายอีกสักหน่อย แต่ถูกลูกชายพูดเช่นนี้ กลับพูดต่อไม่ได้แล้ว เขามองลูกชายที่ยืนอยู่ด้วยความเคารพผู้นี้ตรงหน้า ในใจก็มักจะมีความรู้สึกไม่สบอารมณ์บางอย่าง ลูกชายเชื่อฟังแล้ว เข้าใจกฎระเบียบแล้ว พัฒนาแล้ว แต่เขากลับรู้สึกไม่ชิน

 

 

โดยเฉพาะที่เจวี๋ยเกอเอ๋อร์ไม่เรียกเขาว่าเตียเตีย[2]อีก เสิ่นหงเซวียนถอนหายใจในใจหนึ่งครา เจวี๋ยเกอเอ๋อร์กำลังแค้นเคืองเขาอยู่

 

 

อันที่จริงเสิ่นหงเซวียนคิดมากไปแล้วจริงๆ เสิ่นเจวี๋ยขี้เกียจจะแค้นเคืองเขาแล้ว สิ่งที่เขาต้องเรียนทุกวันมีมากมาย ไหนเลยจะมีเวลาไปแค้นเขา เพียงแค่คนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องเท่าไรนัก มีอะไรให้แค้นเคือง

 

 

“เจวี๋ยเกอเอ๋อร์ ฟังว่าวันนี้เจ้าทะเลาะกับพี่ห้าของเจ้าหรือ” เสิ่นหงเซวียนเค้นรอยยิ้มถาม

 

 

“ข่าวท่านพ่อไวอย่างยิ่ง พี่ห้ามาฟ้องท่านหรือ” เสิ่นเจวี๋ยหัวเราะในใจ “จะบอกว่าทะเลาะก็ไม่เชิง เพียงแค่พี่ห้าอยากได้สาวใช้ของพี่สี่ ข้าไม่อนุญาตก็เท่านั้นเอง”

 

 

เสิ่นเจวี๋ยมองบิดาของเขานิ่งๆ ในใจคาดไม่ถึงว่าไม่มีความรู้สึกลำบากใจแม้แต่นิดเดียว

 

 

เสิ่นเจวี๋ยตรงไปตรงมาเช่นนี้ เสิ่นหงเซวียนกลับตำหนิไม่ออกแล้ว เขาไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง จึงกล่าว “เจวี๋ยเกอเอ๋อร์ ก็แค่สาวใช้ เสวี่ยเจี่ยเอ๋อร์อยากได้ก็ให้นางไปเถอะ คนในเรือนเวยเจี่ยเอ๋อร์เยอะแยะ เป็นพี่น้องกันแท้ๆ จะทะเลาะกันไปทำไม”

 

 

เสิ่นเจวี๋ยได้ยินแล้วสายตาก็นิ่งงัน น้ำเสียงเย็นเยียบขึ้น “เพราะว่าสินสมรสของแม่ข้ามีมากมาย ดังนั้นท่านจึงปล่อยให้ฮูหยินหลิวเอาไปใช้ได้งั้นหรือ ถือสิทธิ์อะไร ต่อให้คนในเรือนท่านพี่ข้าจะเยอะก็ไม่ได้ใช้เงินในจวนเลยสักนิดเดียวแล้วนางมีสิทธิ์อะไรมาขอตามอำเภอใจ ช่างหน้าใหญ่นัก เหตุใดนางถึงไม่ไปขอกับท่านปู่เสียเลยเล่า ขอเพียงแค่ข้าอยู่ ไม่ว่าใครก็อย่าได้คิดจะแตะต้องเรือนของพี่ข้า อย่าว่าแต่คน แม้แต่ดอกไม้ใบหญ้าก็ไม่ได้ทั้งสิ้น”

 

 

เสิ่นเจวี๋ยพูดเสียงดังกังวาน เขาไม่เข้าใจจริงๆ ท่านพ่อสมองกลับเหมือนท่านย่าเขาได้อย่างไร อยากได้ก็ต้องให้นางงั้นหรือ ฝันไปเสียเถอะ

 

 

เสิ่นหงเซวียนถูกลูกชายพูดเช่นนี้ สีหน้าก็ไม่ดีเล็กน้อยแล้ว “เจวี๋ยเกอเอ๋อร์ เสวี่ยเจี่ยเอ๋อร์เองก็เป็นพี่สาวของเจ้านะ” พี่น้องควรรักและเคารพซึ่งกันและกัน เหตุใดเด็กคนนี้ถึงได้ดื้อรั้นเช่นนี้เล่า

 

 

เสิ่นเจวี๋ยมองปราดเดียวก็เห็นความคิดของบิดาเขาแล้ว ความเหยียดหยันในดวงตายิ่งเพิ่มขึ้น “ลูกเองก็ไม่ได้บอกว่านางไม่ใช่พี่สาวข้านี่ หากนางไม่ใช่พี่สาวข้า ข้าคงจะตบนางไปนานแล้ว คนอะไร เดือนหน้าก็จะออกเรือนแล้ว ไม่ปักสินสมรสอยู่ในห้องอย่างตั้งใจ แต่กลับคิดแต่วิธีเล่นเล่ห์อุบาย”

 

 

คิ้วของเสิ่นหงเซวียนขมวดมุ่น “ก็แค่สาวใช้” ต้องทำขนาดนี้เลยหรือ ต้องทะเลาะกันจนย่ำแย่เช่นนี้เลยหรือ ครอบครัวที่ปรองดองต่างหากจึงจะเจริญรุ่งเรือง

 

 

“ใช่แล้ว ก็แค่สาวใช้หนึ่งคน ถือสิทธิ์อะไรต้องให้นาง นางเป็นใครกัน อยากได้สาวใช้ไปหาท่านป้าสะใภ้ใหญ่ก็ได้แล้ว ตั้งใจมาถึงเรือนของพี่ข้า หมายความว่าอย่างไร ไม่ใช่เห็นว่าพี่ข้าไม่อยู่หรือ สาวใช้ในเรือนนางเองนางตีนางดุด่าก็พอแล้ว อย่าคิดจะยื่นมือเข้ามาในเรือนพี่ข้าเลย”

 

 

“ท่านพ่อ ท่านคิดว่าลูกสาวคนนี้ของท่านสุภาพอ่อนโยน งดงามใจกว้างใช่หรือไม่ เหตุใดท่านถึงไม่ลองถามคนใช้ในจวนดูเล่าว่าคุณหนูห้ามีนิสัยอย่างไร ทำลายข้าวของ เฆี่ยนตีดุด่าสาวใช้ เอาปิ่นปักผมแทงร่างสาวใช้ ลูกสาวท่านร้ายกาจยิ่งนัก ไม่จำเป็นต้องให้ท่านออกหน้าแทนนางหรอก”

 

 

เสิ่นเจวี๋ยไม่สนใจว่าคนผู้นี้ตรงหน้าจะเป็นบิดาเขา เจ้าทำให้ข้าไม่มีความสุข เช่นนั้นเจ้าก็อย่าได้คิดจะเป็นสุขเลย

 

 

“เจวี๋ยเกอเอ๋อร์!” เสิ่นหงเซวียนร้องตะโกนดังหนึ่งครา สีหน้าเจ็บปวด “เจ้า เจ้าใส่ร้ายป้ายสีพี่สาวตัวเองเช่นนี้ได้อย่างไร” เด็กคนนี้เปลี่ยนไปพูดจาเกินเลยเช่นนี้ได้อย่างไร

 

 

เสิ่นเจวี๋ยหัวเราะเบาๆ หนึ่งครา “ใส่ร้ายงั้นหรือ ฮ่าๆ ในสายตาท่านพ่อลูกก็คือคนเช่นนี้เองหรือ” อันที่จริงเสิ่นเจวี๋ยเองก็ลำบากใจอย่างยิ่งเช่นกัน อย่างไรเสียนี่ก็คือบิดาของเขา บิดาที่เขาเรียกว่าท่านพ่อมาสิบกว่าปี เขาเคยปรารถนาความใส่ใจและความรักจากเขาเช่นนั้น แต่ตอนนี้เมื่อกระโดดออกจากกรอบมายืนอยู่ข้างนอกเขาจึงพบว่าท่านพี่พูดถูก พ่อเขาเป็นคนตาบอด ทั้งยังเก่งในการหลอกตัวเองอีกด้วย

 

 

“ไม่เชื่อตอนนี้ท่านก็ไปดูพี่ห้าในห้องสิ ในห้องนางจะต้องเปลี่ยนเครื่องใช้ใหม่แล้วเป็นแน่ ท่านไปดูอี่หงอี่ชุ่ยข้างกายนางด้วย ดูบาดแผลบนร่างพวกนางเสียด้วย”

 

 

สายตาที่เสิ่นหงเซวียนมองลูกชายเหลือเชื่อยิ่งขึ้นเรื่อยๆ “เจวี๋ยเกอเอ๋อร์ เจ้า เจ้าเปลี่ยนเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร” วาจาบาดลึกเสียดแทง ไหนเลยจะยังมีมาดคุณชายตระกูลใหญ่เหลืออยู่

 

 

ทว่าเสิ่นเจวี๋ยกลับสบสายตาของบิดา “ข้าเป็นเช่นนี้ไม่ดีหรือไร การเรียนก้าวหน้าไม่สร้างเรื่องสร้างปัญหา ดีกว่าคนโง่ที่เอาแต่ต่อยตีถูกเลี้ยงจนเสียคนอย่างเช่นเมื่อก่อนมิใช่หรือ ตอนนี้มีใครบ้างไม่ชมว่าข้าเป็นคนไม่เอาถ่านที่กลับตัว ท่านพ่อ นี่ต้องขอบคุณที่ท่านสั่งสอนเป็นอย่างยิ่ง” หากไม่มีไม้โบยของท่านที่ตีให้ข้าตื่น ตอนนี้ข้าก็อาจจะยังโง่เขลาเบาปัญญาอยู่ก็ได้

 

 

“เจวี๋ยเกอเอ๋อร์ เจ้าโกรธแค้นพ่อ” มีแต่สวรรค์ที่รู้ว่าเสิ่นหงเซวียนพูดประโยคนี้ออกมาด้วยความยากลำบากเพียงใด ดวงตาของเขามีประกายคลุมเครือแวบผ่าน ไม่อยากยอมรับความจริงนี้เป็นอย่างยิ่ง

 

 

“ไม่ถึงเพียงนั้น ลูกจะโกรธแค้นท่านพ่อได้อย่างไร” เพียงแค่ไม่ได้สนใจก็เท่านั้นเอง เสิ่นเจวี๋ยเสริมหนึ่งประโยคในใจ “ลูกเพียงแค่อยากจะบอกท่านว่า ฉาฮวาสาวใช้คนนี้ข้าไม่อาจอนุญาตให้พี่ห้าได้ ท่านบอกนางให้หยุดเถอะ อีกไม่ช้าก็จะออกเรือนแล้ว และลองคิดดูด้วยว่าการสมรสนั้นมาได้อย่างไร อย่าได้หาเรื่องพวกข้าพี่น้องอีก ถึงตอนนั้นคนที่เสียหน้ายังไม่แน่ว่าจะเป็นใคร”

 

 

เห็นบิดายังอยากจะพูดต่อ เสิ่นเจวี๋ยก็หรี่ตาลง ในดวงตามีประกายอันตรายกะพริบผ่าน กดเสียงต่ำกล่าว “ท่านพ่อ รู้หรือไม่ว่าพี่สาวข้าอยู่ที่ใด ลูกจะบอกท่านให้ นางไม่ได้อยู่ที่วัดต้าเจวี๋ย นางอยู่เมืองชายแดนซีเจียง ท่านปู่สั่งให้นางไปเอง บุรุษทั้งจวนยังมีประโยชน์ไม่เท่าสตรีผู้หนึ่ง ท่านไม่คิดว่าน่าอับอายหรอกหรือ นางสู้รบเอาเป็นเอาตายอยู่ในสนามรบ ในจวนยังมีคนคิดแผนร้ายในเรือนนาง น่าเป็นเกียรติยิ่งนักว่าหรือไม่ อ้อยังมี เรื่องนี้อย่าได้พูดออกไปเชียวเล่า มิเช่นนั้นท่านเชื่อหรือไม่ว่าท่านปู่สามารถตีขาท่านหักได้”

 

 

เห็นสีหน้าเหลือเชื่อบนใบหน้าบิดาแล้ว ในใจเสิ่นเจวี๋ยก็สบายใจยิ่งนัก “ท่านพ่อ ท่านพักเถอะ ลูกขอตัวก่อน”

 

 

เห็นแผ่นหลังที่ออกไปช้าๆ ของลูกชาย เสิ่นหงเซวียนก็ยื่นมือคิดจะเรียกเขา แต่ก็รู้สึกว่าลำคอถูกอะไรบางอย่างอุดไว้ ไม่ว่าอย่างไรก็ส่งเสียงไม่ออก ครู่ใหญ่ มือของเขาก็ตกลงอย่างไร้เรี่ยวแรง ร่างทั้งร่างนั่งลงบนเก้าอี้ ใบหน้าคล้ายเศร้าโศกคล้ายตกใจ ปากส่งเสียงคล้ายหัวเราะคล้ายร้องไห้

 

 

เวยเจี่ยเอ๋อร์สู้รบอยู่ที่ซีเจียง อีกทั้งท่านปู่ยังเป็นคนเรียกให้นางไปอีกด้วย ข่าวสองข่าวนี้ปะทุออกมาจนเขาดึงสติกลับมาไม่ได้ ตอนนี้ในสมองเขาขาวโพลน ในใจมีความรู้สึกต่างๆ ผสมปนเปไปหมด

 

 

ในที่สุดศึกใหญ่ที่ซีเจียงก็มาถึงแล้ว

 

 

ฝุ่นละอองตลบ ม้าศึกร้องดัง ธงรบโบกสะบัด

 

 

กองทัพซีเหลียงบุกเข้ามาอย่างโหดเ**้ยม เลื่องชื่อว่ากองทัพยิ่งใหญ่เกรียงไกร กำลังจะโจมตีเมืองชายแดน

 

 

เสิ่นเวยยืนอยู่บนกำแพงเมือง นางเองก็ไม่แน่ใจว่ากองทัพใหญ่ซีเหลียงแท้จริงแล้วมีกี่คน เพียงแค่มองเห็นพวกเขาวิ่งบุกเข้ามาที่เมืองชายแดนราวกับเมฆดำ ต่อให้สวีโย่วจะปลอบใจนางว่ากองทัพ

 

 

ซีเหลียงมีอย่างมากที่สุดห้าหมื่นนาย หัวใจของนางก็ยังจมดิ่งลงอย่างอดไม่ได้

 

 

ขอเพียงแค่มีสงครามก็จะต้องมีคนตาย แม้ว่าก่อนหน้านี้จะทำการป้องกันนับไม่ถ้วนแล้ว แต่ก็ยังคงต้องมีคนตายอย่างเลี่ยงไม่ได้ ตอนนี้คนที่ยังยืนพูดคุยหัวเราะอยู่ข้างกายนาง หลังจากสงครามครั้งนี้อาจจะไม่อยู่แล้วก็เป็นได้

 

 

นี่ก็คือเหตุผลหลักที่เสิ่นเวยเกลียดสงคราม นางไม่ชอบให้มีคนตาย นางหวังว่าทหารและประชาชนทั้งหมดในเมืองชายแดนจะมีชีวิตอยู่อย่างสงบสุข แต่ว่านี่คือสงคราม สงครามที่โหดร้ายอย่างยิ่ง…เสิ่นเวยกำหมัดแน่น แววตาเย็นเยียบ

 

 

ท่านเสิ่นโหวเองก็อยู่บนยอดกำแพงเมือง ดวงตาทั้งคู่ของเขาราวกับสายฟ้า ประหนึ่งต้นสนอายุยืนที่ทรงพลังต้นหนึ่ง เขามองกองทัพใหญ่ซีเหลียงที่ทะลักเข้ามา ในใจสงบนิ่ง ก่อนหน้านี้เขาได้รับข่าวแล้ว ตอนนี้กองทัพใหญ่ซีเหลียงไม่ได้มีองค์ชายใหญ่หลี่หยวนเผิงเป็นแม่ทัพ เดิมคิดว่าเป็นเรื่องเท็จ แต่ตอนนี้เห็นขบวนของกองทัพใหญ่ซีเหลียง กลับมั่นใจได้เจ็ดส่วน ทว่าเขารอบคอบจนเคยชินแล้ว ยังคงไม่กล้าชะล่าใจ

 

 

“คุณชายใหญ่ อันตรายอยู่รอบด้าน ท่านกลับจวนโหวไปก่อนเถอะ” ท่านเสิ่นโหวโน้มน้าวอีกครั้ง แม้เขาจะรู้ว่าเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างหลานสาวตนผู้นี้จะเป็นวรยุทธ์ แต่เขาก็ยังหวังว่าเขาจะกลับจวนโหว อีกประเดี๋ยวกองทัพใหญ่ซีเหลียงโจมตีเมืองแล้วใครจะรู้ว่าจะได้รับบาดเจ็บหรือไม่ ทางองค์จักรพรรดิไหนเลยจะชี้แจงได้ง่ายเพียงนั้น

 

 

“ท่านโหววางใจ มีน้องสี่อยู่ ข้าไม่เป็นอะไรหรอก” สวีโย่วกล่าวอีกครั้ง

 

 

คนทั้งหมดที่ได้ยินประโยคนี้ รวมถึงเสิ่นเวยต่างก็กระตุกมุมปาก โดยเฉพาะท่านเสิ่นโหว ใครจะสนว่าเจ้าจะเป็นอะไรหรือไม่ ผู้ชรากลัวเจ้าจะเป็นภาระเจ้าสี่ต่างหากเล่า

 

 

กองทัพใหญ่ซีเหลียงเข้ามาใกล้แล้ว ใกล้กว่าเดิมแล้ว ในตอนที่กำลังจะเข้าสู่รัศมีการยิงพวกเขากลับหยุดลง พยุงเครื่องยิงหินขึ้นเตรียมถล่มเมือง

 

 

เสิ่นเวยโมโหจะแย่แล้ว นางยังคิดจะใช้ธนูเปิดฉากสังหารก่อนอยู่เลย เหอะ มีแค่พวกเจ้าที่มีเครื่องยิงหินหรือไร ฝั่งข้าก็มีเหมือนกัน ฝั่งข้ารับรองว่าชั้นสูงกว่าพวกเจ้าแน่นอน ข้าอยู่ที่สูง สะดวกกว่าพวกเจ้าเยอะ

 

 

เครื่องยิงหินของซีเหลียงเพิ่งจะตั้งเสร็จดี เครื่องยิงหินของต้ายงก็ยิงออกมาแล้ว ที่ส่งออกมาไม่ใช่หินก้อนใหญ่ แต่เป็นลูกไฟลูกเล็กๆ นี่คือแนวคิดที่เสิ่นเวยขบคิดออกมาใหม่กับคนอื่นๆ ‘ห่อเศษผ้าเศษฝ้ายบนหินก้อนใหญ่ แล้วราดน้ำมันข้างบนอีกที’

 

 

ฤดูหนาว อากาศแห้งสิ่งของก็แห้ง ลูกไฟตกลงกลางกองทัพใหญ่ซีเหลียง ชั่วขณะไฟก็ลามทั่ว ไม่ถูกทับตาย ก็ถูกไฟเผาตาย กองทัพใหญ่ซีเหลียงสับสนอลหม่านในชั่วพริบตา ดับไฟอย่างสุดชีวิต เสียงร้องโอดครวญดังออกมาไม่หยุด

 

 

เหล่าทหารต้ายงบนยอดกำแพงเมืองมองเห็นแล้ว พากันหัวเราะร่าฮ่าๆ ศึกแรกประสบความสำเร็จจะไม่ดีใจได้อย่างไร

 

 

“เร็วเข้าๆ ให้สุนัขซีเหลียงกินลูกไฟอีกหลายๆ ลูก ให้พวกมันได้เห็นความร้ายกาจของพวกเรา” หวังต้าชวนตะโกนเสียงดัง

 

 

ลูกไฟบนยอดกำแพงเมืองขว้างไปยังกองทัพใหญ่ซีเหลียงแต่ละลูกๆ บนร่างทหารซีเหลียงจำนวนมากติดไฟ “ถอยๆ รีบถอย!” ผู้บังคับบัญชาซีเหลียงเห็นสถานการณ์ไม่ดีก็ออกคำสั่งทันที

 

 

บนยอดกำแพงมีเสียงโห่ร้องยินดีสั่นสะเทือนฟ้าดังออกมา “สุนัขซีเหลียงถอยแล้ว สุนัขซีเหลียงหวาดกลัวแล้ว!”

 

 

ประโยคนี้ทำให้องค์ชายรองในกองทัพซีเหลียงโมโหเดือดดาล “ห้ามถอย บุกเข้าไป บุกเข้าไปเดี๋ยวนี้!” แค่เครื่องยิงหินไม่กี่เครื่องเช่นนั้นจะไปทำอะไรได้ พวกเขามีคนเยอะ ไม่เชื่อว่าบุกเข้าไปไม่ได้

 

 

ในใจแม่ทัพซีเหลียงไม่ยินยอม แต่ก็ไม่อาจคัดค้านคำสั่งขององค์ชายรองได้ ทำได้เพียงบัญชาการกองทัพใหญ่ให้บุกขึ้นไปข้างหน้าต่อ

 

 

ลูกไฟฝั่งต้ายงอย่างไรเสียก็มีจำกัด ขัดขวางกองทัพใหญ่ซีเหลียงได้พักหนึ่ง ท้ายที่สุดก็ยังมีทหารซีเหลียงไม่น้อยบุกข้ามเขตปิดล้อมได้แล้ว ยกบันไดโจมตีเมืองมาข้างล่างกำแพงเมือง

 

 

ในที่สุดมือธนูก็ลงสนาม ลูกธนูที่แน่นขนัดราวกับห่าฝนบินไปยังทหารซีเหลียง แต่ละคนยิงห้าดอก ยิงเสร็จแล้วก็เปลี่ยนคนทันที ผ่านไปหนึ่งรอบทหารซีเหลียงล่างกำแพงเมืองก็บาดเจ็บล้มตายไปหนึ่งกลุ่ม

 

 

ตอนนี้ เครื่องยิงหินของซีเหลียงตั้งเสร็จเรียบร้อยแล้ว ยังมีทหารซีเหลียงส่วนหนึ่งมาถึงประตูกำแพงเมืองแล้ว ทหารชายแดนบนยอดกำแพงเมืองเริ่มมีคนบาดเจ็บล้มตาย สงครามที่ดุเดือดครั้งนี้กำลังเปิดฉากอย่างเป็นทางการ

 

 

 

 

[1] ฟู่ชิน (父亲) แปลว่าบิดา พ่อ เป็นคำเรียกที่แสดงถึงความเคารพ

 

 

[2] เตียเตีย (爹爹) แปลว่าพ่อ เป็นคำเรียกที่ค่อนข้างสนิทสนมเป็นกันเองมากกว่าคำว่า ฟู่ชิน (父亲) ทั้งนี้สองคำนี้แปลว่าพ่อทั้งคู่ แต่ฟู่ชินจะค่อนข้างเป็นทางการมากกว่า ในที่นี้จึงจะขอแทนคำเรียกที่เสิ่นเจวี๋ยใช้เรียกเสิ่นหงเซียนว่า ‘ท่านพ่อ’ เพื่อให้เข้าใจง่ายและไม่สับสน

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

เนื่องด้วยถูกมารดาเลี้ยงกลั่นแกล้ง ทำให้ เสิ่นเวย ผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอต้องตายลงด้วยความน่าเวทนา ทว่าด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้ทหารสาวในยุคปัจจุบันทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของหญิงสาวผู้ที่มีชื่อแซ่เดียวกันกับตนเอง เมื่อถูกมารดาเลี้ยงวางแผนกลั่นแกล้ง เนรเทศตนเองมาอยู่ในสถานที่รกร้างห่างไกล โดยให้เหตุผลว่าต้องการให้นาง ‘รักษาตัว’ คิดหรือว่านางจะยอมแพ้ต่อความร้ายกาจของมารดาเลี้ยงผู้นี้? ไม่เป็นไร ในเมื่อไล่นางออกมา นางก็จะใช้หนึ่งสมองและสองมือของตนนี้พลิกฟื้นพัฒนาครอบครัวของนางให้กลับมาเชิดหน้าชูตาได้อีกครั้ง!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset