ยอดหญิงสกุลเสิ่น – ตอนที่ 182-2 เจ้าอาวาสและการสะกดรอย

เสิ่นเวยไม่ได้เผยพิรุธใดๆ กลับกล่าว “ดูท่าทางท่านแล้วคงจะเป็นบัณฑิตสินะ สอบสร้างชื่อเสียงผลงานแล้วหรือยัง แล้วภรรยาลูกสาวของท่านหายไปได้อย่างไร สตรีอ่อนแอผู้หนึ่งอีกทั้งยังมีเด็กเล็ก ใครจะรู้ว่าจะยังมีชีวิตรอดอยู่อีกหรือไม่ หากพวกนางไม่อยู่บนโลกนี้แล้วก็ไม่ควรค่าให้ตามหาต่อไปเช่นนี้หรือไม่” เสิ่นเวยถามหยั่งเชิง

 

 

แม้เซียงเหมยจะบอกว่า นางกับสามีของนางรักใคร่กัน แต่ใครจะรู้ว่าผ่านไปสองปีหลี่จื้อหย่วนผู้นี้จะแต่งงานมีภรรยาใหม่ไปแล้วหรือยัง หากข้างกายเขามีภรรยาแล้ว กระทั่งมีลูกรักใหม่แล้ว เช่นนั้นเซียงเหมยจะเป็นเช่นไร ชีวิตของเซียงเหมยทุกข์ตรมพอแล้ว ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่อาจให้อีกฝ่ายไปทนรับความไม่เป็นธรรมนั้นได้อีก

 

 

ทว่าหลี่จื้อหย่วนกลับส่ายหน้าอย่างแน่วแน่ กล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว “ไม่ ไม่มีทาง ภรรยาและลูกของข้าน้อยจะต้องมีชีวิตอยู่แน่นอน เพื่อนบ้านที่บ้านเก่าบอกแล้วว่า คนที่ช่วยลูกสาวไว้เป็นคุณชายวัยหนุ่มคนหนึ่ง นายอำเภอเมืองหนิงผิงที่ต้องการแย่งภรรยาข้าน้อยไปผู้นั้นทำร้ายข้าไม่ได้ กลับถูกใต้เท้าผู้แทนพระองค์ที่ตรวจตราเจียงหนานจับจุดอ่อนได้ ตามการรายงานของเขา ภรรยาของข้าน้อยถูกคนช่วยไปแล้ว นางไม่ตาย ข้าน้อยเชื่อมั่นว่าพวกนางเพียงแค่ถูกคนใจดีช่วยไว้ พวกนางจะต้องยังมีชีวิตอยู่อย่างดี รอให้ข้าน้อยไปหาพวกนาง หนึ่งปีหาไม่เจอก็หาสองปี สองปีหาไม่เจอก็ห้าปี สิบปี กระทั่งตลอดชีวิตข้าก็จะต้องหาให้เจอ” เสียงนั้นไม่สูงมาก แต่กลับกังวานทรงพลังยิ่ง

 

 

เสิ่นเวยกล่าวหยั่งเชิงต่อ “อ้อ ที่แท้แล้วภรรยาของท่านก็ถูกนายอำเภอแย่งชิงไป ท่านไม่รังเกียจว่านางมีมลทินแล้วหรือ”

 

 

“ไม่ นี่ไม่ใช่ความผิดของภรรยาข้าน้อย เป็นความผิดของนายอำเภอหนิงผิง เป็นข้าน้อยที่ไร้ประโยชน์ ข้าน้อยทำได้เพียงรักนางให้มากขึ้น จะนึกรังเกียจได้อย่างไร” หลี่จื้อหย่วนกล่าวด้วยความจริงจังมากขึ้นกว่าเดิม เขาเองก็เป็นคนฉลาด เมื่อเห็นเสิ่นเวยถามมากเพียงนี้ จะต้องรู้แน่นอนว่าภรรยาของเขาอยู่ที่ไหน ในใจพลันตื่นเต้นขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

 

 

“คุณหนูท่านนี้ หากท่านรู้ว่าภรรยาของข้าอยู่ที่ไหนท่านก็โปรดบอกข้าน้อยเถิด ข้าน้อยไม่ใช่คนโหดเ**้ยมไร้ศีลธรรม ข้าน้อยเพียงแค่อยากอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัว มีชีวิตที่สงบสุข” บนใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความจริงใจ

 

 

เสิ่นเวยยิ้มออกมาแล้ว นางดีใจแทนเซียงเหมยจริงๆ ได้สามีที่มีศีลธรรมเช่นนี้ช่างเป็นวาสนาจริงๆ!หากวันหนึ่งนางเจอเหตุการณ์เช่นนี้ ไม่รู้เหมือนกันว่าสวีโย่วจะไม่ทอดทิ้งนางได้หรือไม่

 

 

“ท่านทายถูกแล้ว ข้ารู้ว่าภรรยาลูกสาวของท่านอยู่ที่ไหน เด็กผู้หญิงคนนั้นที่ท่านเห็นก็คือนิวหนิ่วลูกสาวของท่าน สองปีก่อนข้าพังประตูอุ้มออกมาจากในบ้านท่านด้วยตัวเอง เซวียเซียงเหมยภรรยาของท่านข้าก็เป็นคนช่วยนางออกมาจากคุกที่ว่าการ ตอนนี้พวกนางตามข้ามาพักอยู่ในเรือนเล็กหลังนั้น” เสิ่นเวยกล่าวเสียงดัง เห็นหลี่จื้อหย่วนตื้นตันจนน้ำตาแทบคลอเบ้า เสิ่นเวยกลับเปลี่ยนเรื่อง “แต่ว่าตอนนี้เซียงเหมยอยากพบท่านหรือไม่ ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน อย่างไรเสียนางก็ได้รับความยากลำบากมากมายเพียงนั้น เกือบจะตายเสียด้วยซ้ำ แบบนี้แล้วกัน ท่านกลับไปรอก่อน ข้าจะไปถามเซียงเหมยดูก่อน” นางพูดไปพลางสังเกตสีหน้าของหลี่จื้อหย่วนไปพลาง

 

 

หลี่จื้อหย่วนตื่นเต้นตกใจก่อน หลังจากนั้นสีหน้าก็ผิดหวังหลายส่วน กำปั้นของเขากำแน่น ทว่าท้ายที่สุดกลับก้มคารวะเสิ่นเวยอีกครั้ง “ข้าน้อยขอบคุณหนูผู้มีพระคุณยิ่งนัก หลังจากนี้หากคุณหนูมีงานใดให้ช่วยเหลือ ข้าน้อยมิบังอาจปฏิเสธแน่นอน คุณหนูโปรดช่วยโน้มน้าวภรรยาข้าน้อยให้ด้วยเถิด ให้ครอบครัวของข้าน้อยได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาในเร็ววัน”

 

 

เสิ่นเวยรับการคำนับของหลี่จื้อหย่วนอย่างสงบนิ่ง พาหลีฮวากลับไปที่เรือนเล็กฝั่งตะวันออก ส่วน

 

 

หลี่จื้อหย่วนก็จ้องมองแผ่นหลังของนางเดินออกไปไกล จ้องมองอย่างโง่เขลาไม่ยอมจากไปอย่างนั้น

 

 

เมื่อเสิ่นเวยเข้าไปในเรือนเล็กก็ตรงเข้าไปในห้องของเซียงเหมยทันที เซียงเหมยกำลังเย็บผ้าอยู่ นิวหนิ่วเกาะโต๊ะตัวเล็กข้างๆ กำลังกินผลไม้ เสิ่นเวยเห็นเสื้อผ้าในมือนางก็รู้แล้วว่าเป็นเสื้อที่ทำให้ตน มุมปากก็ยกขึ้นอย่างอดไม่ได้

 

 

“คุณหนูกลับมาแล้วหรือ เหตุใดถึงไปนานเพียงนั้น” เซียงเหมยวางเสื้อผ้าในมือลงรินชาหนึ่งแก้วให้เสิ่นเวย “คุณหนูหิวแล้วหรือยัง อยากกินอะไร ข้าจะไปทำให้คุณหนู” นางทำท่ากำลังจะออกไป

 

 

เสิ่นเวยหยุดนางไว้ทันที “ท่านไม่ต้องรีบร้อน ข้าไม่หิว จริงสิ มีข่าวดีมาบอก รู้หรือไม่ว่าเมื่อครู่ข้าเจอใคร พ่อของนิวหนิ่ว หลี่จื้อหย่วน” เสิ่นเวยกล่าวอย่างดีใจ

 

 

เข็มแทงลงบนมือของเซียงเหมย นางเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้ามึนงง “ใครนะ คุณหนูบอกว่าใครนะเจ้าคะ”

 

 

“หลี่จื้อหย่วน พ่อของนิวหนิ่ว สามีของท่าน หลี่จื้อหย่วนอย่างไร” เสิ่นเวยกล่าวอีกครั้ง

 

 

มือที่กำเสื้อของเซียงเหมยกำแน่น ริมฝีปากสั่นระริก เบ้าตาแดงก่ำ แต่วินาทีต่อมานางก็สงบนิ่งลงแล้ว “อ้อ เขาน่ะหรือ” น้ำเสียงนั้นคล้ายพูดถึงคนที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกันแม้แต่นิดเดียว ไม่ใช่สามีที่รักใครผูกพัน

 

 

เสิ่นเวยงุงงงเล็กน้อย “เป็นอะไรไป พี่เซียงเหมยไม่ดีใจหรือ เขาตามหาพวกท่านมานานมากนะ” ก่อนหน้านี้พี่เซียงเหมยก็พร่ำบ่นว่าจะตามหาพ่อนิวหนิ่วให้เจอไม่ใช่หรือ เหตุใดตอนนี้หาเจอแล้วถึงได้นิ่งเช่นนี้เล่า

 

 

ทว่าเซียงเหมยกลับหันหน้าหนี ปาดน้ำตาที่หางตาออกเงียบๆ ตอนที่หันหน้ากลับมากลับยิ้มน้อยๆ “คุณหนู เขาสามารถหาพวกเราแม่ลูกเจอได้ ข้าจะจดจำไมตรีจิตของเขาไว้ เพียงแต่ข้ากับเขาเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว หากเขาอยากรับนิวหนิ่วไป ข้าก็อนุญาต อย่างไรเสียอยู่กับเขาก็ดีกว่าอยู่กับแม่ที่ไร้ประโยชน์เช่นข้า”

 

 

“จะเป็นไปไม่ได้ได้อย่างไร เขายังไม่ได้แต่งงานใหม่ เห็นชัดๆ ว่าในใจยังเป็นห่วงท่านอยู่ ข้ารู้ว่าท่านเองก็คิดถึงเขามาโดยตลอด พวกท่านได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันนั้นดีอย่างยิ่ง” เสิ่นเวยกล่าวถามอย่างไม่เข้าใจ

 

 

เซียงเหมยถอนหายใจ กล่าว “คุณหนู ไหนเลยเลยจะง่ายเหมือนที่ท่านพูด ตอนนี้เขาคงจะประสบความสำเร็จมีชื่อเสียงแล้วใช่หรือไม่ แล้วข้าเป็นอะไร เป็นแค่ดอกไม้ที่ถูกย่ำยี ข้าไม่อาจเป็นตัวถ่วงเขาได้ ให้เขาถูกคนตำหนิ เขามีน้ำใจเช่นนี้ข้าก็พอใจแล้ว หลังจากนี้ข้าก็จะได้ติดตามคุณหนูอย่างสบายใจ” ไม่ใช่ว่าในใจนางไม่ลำบากใจ แต่ต่อให้ลำบากใจแล้วอย่างไร เป็นสามีภรรยากัน แต่นางกลับช่วยอะไรเขาไม่ได้ อย่างน้อยที่สุดก็คงทำได้แค่ไม่ไปเป็นตัวถ่วงของเขา

 

 

เสิ่นเวยไม่เห็นด้วยทันที “ดอกไม้ที่ถูกย่ำยีอะไรกัน นายอำเภอหนิงผิงผู้นั้นยังไม่เคยแตะท่านแม้แต่ปลายเล็บ ท่านยังบริสุทธิ์อยู่ เหตุใดถึงกลายเป็นดอกไม้ที่ถูกย่ำยีไปแล้วเล่า สามีท่านเองก็บอกแล้วว่าเขาไม่รังเกียจท่าน เหตุใดท่านถึงรังเกียจตัวเองเสียแล้วเล่า พี่เซียงเหมย ข้าจะบอกอะไรท่านให้นะ นี่ไม่ใช่ความผิดของท่าน ท่านไม่อาจเอาความผิดของคนอื่นมาลงโทษตัวเองเช่นนี้”

 

 

เสิ่นเวยยิ่งพูดก็ยิ่งฮึกเหิม สิ่งที่นางไม่ชอบที่สุดก็คือความคิดเช่นนี้ในยุคสมัยโบราณ สตรีไม่ทันระวังถูกผู้ชายเห็นแขนเห็นขาก็ถูกชี้หน้าว่ามีมลทินแล้ว กฎระเบียบเป็นใหญ่จนสามารถบีบบังคับลูกสาวแท้ๆ ไปตายได้ สงสารบุตรสาวแต่ก็ทำได้เพียงกลั้นใจให้บุตรสาวแต่งงาน ทั้งยังไม่สนว่าผู้ชายจะประพฤติตนชั่วช้าหรือไม่

 

 

“ข้าบอกท่านแล้วไม่ใช่หรือ สตรีใช้ชีวิตลำบากยิ่งกว่าผู้ชายก็ยิ่งต้องยืนหยัดด้วยลำแข้งตัวเอง ท่านก็แค่ใช้ชีวิตของตัวเองให้ดี ปากก็เป็นปากของคนอื่น จะสนที่พวกเขาพูดทำไม” เสิ่นเวยโน้มน้าวอย่างใจร้อน “อีกอย่าง ท่านยอมหย่ากับสามี เขาจะต้องแต่งงานใหม่เป็นแน่ นิวหนิ่วตกอยู่ในมือสตรีผู้อื่นท่านจะวางใจได้อย่างไร ถึงตอนนั้นหากนางรังแกนิวหนิ่วจะทำอย่างไร” นี่ล้วนแต่มีความเป็นไปได้ นางก็เป็นตัวอย่างให้เห็นอยู่ไม่ใช่หรือไร

 

 

“ไม่หรอกกระมัง นิวหนิ่วเป็นบุตรสาวแท้ๆ ของเขา ทั้งยังเป็นเด็กผู้หญิง ไม่คิดแก่งแย่งทรัพย์สิน” สีหน้าเซียงเหมยเผยความไม่แน่ใจ

 

 

“ใช่ นิวหนิ่วเป็นบุตรสาวแท้ๆ แต่ทุกวันเขาต้องยุ่งเรื่องราชสำนัก ไหนเลยจะมีจิตใจมาสนใจเรือนหลัง อุบายเรือนหลังเยอะจะตายไป คนมีเจตนาจะปิดบัง ผู้ชายเช่นเขาไม่มีทางสังเกตเห็นแน่นอน นิว

 

 

หนิ่วของพวกเราจะไม่น่าสงสารหรอกหรือ ไม่แย่งมรดกแต่นั่นก็เป็นหนามยอกอก ทุกวันนี้ท่านอยู่ในจวนโหวยังเห็นไม่ชัดอีกหรือ”

 

 

“แต่ว่า…” เซียงเหมยลังเลขึ้นมา นางกัดริมฝีปาก ดวงตามีความไม่แน่ใจแวบผ่าน “แต่ข้าไม่อาจปล่อยให้ข่าวลือเสียหายทำลายชีวิตเขาได้”

 

 

เสิ่ยเวยแทบจะโมโหจนกระทืบเท้าแล้ว “ท่านไม่อาจปล่อยให้ข่าวลือเสียหายทำลายชีวิตเขา เช่นนั้นจะทำร้ายตัวเองหรือ ช่างโง่เขลานัก! สามี สามี ชายที่อยู่ใกล้จึงจะเป็นสามี! เขาไม่ใช่สามีของท่านแล้ว ท่านจะสนใจเขาทำไม เขาเป็นข้าราชการบริหารบ้านเมือง แม้แต่ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ยังแก้ไม่ได้แล้วจะไปทำงานให้ราชสำนักได้อย่างไร พอแล้ว ฟังข้าแล้วกัน หลีฮวาเจ้าไปเชิญหลี่จื้อหย่วนมาพบหน้าพี่เซียงเหมย แล้วเจ้าก็ไปเก็บของพานิวหนิ่วตามเขาไปเสีย ท่านจะได้ไม่ต้องทำเรื่องโง่ๆ อีก เห็นท่านทำเรื่องโง่ๆ แล้วข้าปวดตา หลังจากนี้หากท่านได้รับความเดือดร้อนอะไร จำไว้ว่าให้กลับมาหาข้า ข้าจะออกหน้าแทนท่านเอง ได้ยินแล้วหรือยัง เอาล่ะ ท่านน่าจะไม่เปลี่ยนใจแล้ว ข้าจะได้ไปบอกนิวหนิ่วแล้ว”

 

 

เสิ่นเวยเองก็ไม่สนว่าเซียงเหมยจะยินดีหรือไม่ ตัดสินใจแทนนางทันที

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

เนื่องด้วยถูกมารดาเลี้ยงกลั่นแกล้ง ทำให้ เสิ่นเวย ผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอต้องตายลงด้วยความน่าเวทนา ทว่าด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้ทหารสาวในยุคปัจจุบันทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของหญิงสาวผู้ที่มีชื่อแซ่เดียวกันกับตนเอง เมื่อถูกมารดาเลี้ยงวางแผนกลั่นแกล้ง เนรเทศตนเองมาอยู่ในสถานที่รกร้างห่างไกล โดยให้เหตุผลว่าต้องการให้นาง ‘รักษาตัว’ คิดหรือว่านางจะยอมแพ้ต่อความร้ายกาจของมารดาเลี้ยงผู้นี้? ไม่เป็นไร ในเมื่อไล่นางออกมา นางก็จะใช้หนึ่งสมองและสองมือของตนนี้พลิกฟื้นพัฒนาครอบครัวของนางให้กลับมาเชิดหน้าชูตาได้อีกครั้ง!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset