ยอดหญิงสกุลเสิ่น – ตอนที่ 191-1 จวนตระกูลเหอเมืองอวิ๋นโจว

เสิ่นเวยนำคนมุ่งหน้าไปยังเมืองอวิ๋นโจว การเดินทางครั้งนี้ไม่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรเหมือนครั้งก่อนที่ไปซีเจียง นอกจากโอวหยางไน่คนขับรถที่จำเป็นต้องพามาและพ่อบ้านรองที่ปู่นางยัดเยียดเข้ามาเพื่อให้จัดการเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างทางแล้ว คนที่เหลือส่วนมากก็เป็นสาวใช้หญิงชรารับใช้ เถาจือ เหอฮวา เถอฮวา รวมถึงเย่ว์กุ้ยที่รักษาอาการบาดเจ็บดีแล้ว อ้อจริงสิ แม้แต่แม่นมมั่วยังตามนางออกมาด้วยกัน

 

 

เหตุผลยังเปิดเผยอย่างยิ่ง ‘ตามไปปรนนิบัติข้างกายคุณหนู เพื่อที่จะทำตัวเป็นแบบอย่างทั้งคำพูดและการกระทำ’ สำหรับในจวน แม่นมมั่วก็แนะนำแม่นมฝึกอบรมผู้หนึ่ง ขอเพียงแค่สอนกฎระเบียบบุตรสาวไม่ให้พัฒนาล่าช้า ฮุหยินจ้าวก็ไม่ได้คัดค้านแม้แต่นิดเดียว

 

 

ออกมาครั้งนี้เสิ่นเวยยังคงแต่งกายเป็นชาย ยังคงใช้ชื่อคุณชายสี่แซ่เสิ่น นี่ทำให้เสิ่นเวยหงุดหงิดยิ่งนัก ในยุคโบราณสตรีจะทำเรื่องอะไรหน่อยล้วนยากอย่างยิ่ง แม้แต่ออกจากจวนไปหนุนหลังท่านอายังต้องแสดงตัวเป็นผู้ชาย

 

 

ขณะที่เสิ่นเวยกำลังมุ่งหน้าไปยังเมืองอวิ๋นโจว เรือนหลังจวนตระกูลเหอเมืองอวิ๋นโจวก็กำลังเกิดสถานการณ์ตึงเครียด เหอจังหมิงไม่อ่อนโยนเหมือนแต่ก่อน ถามเสิ่นหย่าด้วยสีหน้าเกลียดชัง “สัญญาขายทาสเล่า สัญญาทาสของพวกนางสามคนเล่า” ขอเพียงแค่มีสัญญาขายทาสเขาก็สามารถขายพวกนางออกไปไกลๆ ได้ทันที ยังมีอวิ๋นหรงหญิงชั่วผู้นั้น ไม่ใช่หนีไปแล้วหรือ เช่นนั้นก็ใช้ข้ออ้างบ่าวหนีมาเจรจา ยังเพ้อฝันว่าจะกลับเมืองหลวงไปฟ้องร้อง เหอะ ไม่แน่ว่าระหว่างทางคงจะถูกคนพาไปขายเสียแล้วกระมัง

 

 

เสิ่นหย่ามองสามีที่ทั้งใบหน้าดุร้าย ในใจสับสนมากเป็นพิเศษ นี่คือสามีที่นางเลือกมาดีแล้วหรือ บางทีเมื่อก่อนนางอาจจะยังเพ้อฝัน คิดว่าสามีเพียงแค่ถูกหลอกลวง ตอนนี้นางรู้แล้วว่านางควรตื่นจากฝัน นางตายก็ดีมีชีวิตอยู่ก็ดีกลับไม่มีอะไรติดค้างแล้ว ชีวิตเช่นนี้นางใช้มาพอแล้ว ตายก็ถือว่าได้หลุดพ้นแล้ว

 

 

แต่นางยังมีหลินเจี่ยเอ๋อร์ หลินเจี่ยเอ๋อร์เพิ่งจะอายุสิบสามปี ยังไม่ถึงวัยออกเรือน ชีวิตดีๆ ของนางเพิ่งจะเริ่มต้น นางไม่อาจทำให้คนใจร้ายใจดำผู้นี้ทำลายลูกสาวที่นางทะนุถนอมราวกับของล้ำค่าได้ ต่อให้จะต้องทำเพื่อหลินเจี่ยเอ๋อร์นางก็ต้องดิ้นรนมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้

 

 

เสิ่นหย่าเบือนหน้าหนีไม่พูดจา นางกำลังคิดว่าตอนนี้อวิ๋นหรงจะถึงเมืองหลวงแล้วหรือยัง พบท่านพ่อหรือไม่ ตนจะต้องทำให้ท่านพ่อรู้สึกขายหน้าอย่างยิ่งใช่หรือไม่ ในจวนจะมีคนมาอวิ๋นโจวหรือไม่ จะเป็นพี่ใหญ่พี่รองพี่สามหรือเป็นเพียงผู้ดูแลหนึ่งคน

 

 

“พูดสิ เจ้าพูดสิ!” เหอจังหมิงเห็นความเหยียดหยามในแววตาของเสิ่นหย่า ความโกรธก็พุ่งขึ้นจากจิตใจ ก้าวขึ้นไปผลักเสิ่นหย่าหนึ่งคราอย่างอดไม่ได้ “เจ้าคิดว่าอวิ๋นหรงหญิงชั่วผู้นั้นออกจากจวนเหอแล้วจะไปถึงเมืองหลวงได้หรือ เหอะ ผู้หญิงตัวคนเดียวเช่นนาง ไม่แน่ว่าอาจจะถูกคนขายไปถึงหุบเหวไหนแล้ว เจ้ายังหวังว่านางจะขนกองทัพมาช่วยเจ้า ฝันไปเสียเถอะ!” ต่อให้จวนโหวส่งคนมาแล้วอย่างไร หลายปีมานี้ไม่มีบุตรชายให้เขาแม้แต่คนเดียว เขาไม่ขับนางออกไปก็เพราะยังเห็นแก่จวนโหวหรอกนะ

 

 

“หลายปีเพียงนี้แล้ว หากจวนจงอู่โหวคิดจะสนใจก็คงสนใจไปนานแล้ว เจ้าเป็นเพียงบุตรอนุภรรยาที่ไม่ได้รับความโปรดปราน ใครจะสนใจว่าเจ้าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร ตอนนั้นข้าตาบอดไปจริงๆ เหตุใดถึงแต่งงานกับตัวนำโชคร้ายที่ไร้ประโยชน์เช่นเจ้า มิเช่นนั้นตอนนี้ข้าก็คงจะไม่ต้องขดตัวอยู่ในเมืองเล็กๆ อย่างอวิ๋นโจวแห่งนี้ ฉลาดหน่อยเจ้าก็เอาสัญญาขายทาสของพวกนางสามคนออกมา เห็นแก่ที่เจ้าคลอดหลินเจี่ยเอ๋อร์ข้าจะยอมให้เจ้าใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบสุขในเรือนแห่งนี้ มิเช่นนั้น เหอะๆ!”

 

 

เสิ่นหย่าถูกเหอจังหมิงผลักลงบนโต๊ะ ท้องน้อยเจ็บแปลบ แต่ต่อให้เจ็บก็เทียบกับความเจ็บปวดในใจไม่ได้ นางหันหน้าเบิกตาโตมองบุรุษผู้นี้ตรงหน้าอย่างเหลือเชื่อ เขาลงมือกับนางหรือ คาดไม่ถึงว่าเขาลงมือกับภรรยาของตนเองหรือ นี่ไหนเลยจะเป็นคนดีที่มีกิริยางดงามเป็นสุภาพบุรุษที่ตนคิดในตอนแรก เห็นชัดๆ ว่าเป็นหมาป่า หมาป่าในร่างมนุษย์ เหตุใดตอนนั้นนางถึงตาบอดได้ถึงขนาดนั้น

 

 

ในที่สุดน้ำตาแห่งความเคียดแค้นก็ไหลรินลงมา ไหลอาบแก้มที่เ**่ยวย่นของเสิ่นหย่า เปียกเปื้อนส่วนหน้าของเสื้อ นางกล่าวเสียงแหบแห้ง “ไม่มี ไม่มีสัญญาขายทาส แม้จะมี ก็ไม่มีทางให้เจ้าเป็นอันขาด” นี่คือยันต์คุ้มภัยสุดท้ายของพวกนางแม่ลูก ไม่อาจถูกหมาป่าใจเ**้ยมผู้นี้แย่งไปได้เด็ดขาด

 

 

เหอจังหมิงแค่นเสียงหึหนึ่งครา จ้องมองเสิ่นหย่าแล้วกล่าว “เจ้าแทบจะเอาตัวเองไม่รอดแล้วยังคิดจะปกป้องพวกนางอยู่อีกหรือ เจ้าคิดว่าไม่มีสัญญาขายทาสแล้วข้าจะทำอะไรพวกนางไม่ได้งั้นหรือ อย่างไรเสียข้าก็เป็นนายอำเภอเมืองอวิ๋นโจวแห่งนี้!” ถึงตอนนั้นใช้อุบายเล็กน้อย ก็ยังทำได้มิใช่หรือ

 

 

“ไม่ เจ้าทำไม่ได้!” ความตื่นตระหนกแวบผ่านใบหน้าของเสิ่นหย่า นางโผเข้าไปคิดจะคว้าแขนเสื้อของเหอจังหมิงเพื่อร้องขอ ทว่ากลับถูกเขาหลบออกอย่างรังเกียจ ชั่วขณะเสิ่นหย่าหยุดฝีเท้าไม่ทัน ล้มลงบนพื้น

 

 

เหอหลินหลินที่ถูกแม่นมชรากอดไว้ภายในห้องได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว ออกแรงดิ้นจนหลุดแล้วจึงวิ่งออกมา “ท่านแม่ ท่านแม่ ท่านเป็นอะไรไป” นางมองเห็นมารดาของตนล้มอยู่บนพื้น ชั่วขณะก็ตกใจหน้าถอดสี

 

 

เหอหลินหลินเข้าไปพยุงมารดา มองเห็นฝ่ามือของแม่นางมีเส้นเลือดปูด สายตาที่มองพ่อนางก็มีประกายความดุร้าย

 

 

เหอจังหมิงขลาดกลัวภายใต้การจ้องมองของลูกสาว “หลินเจี่ยเอ๋อร์ แม่เจ้าล้มลงไปเอง เจ้าเป็นเด็กรู้ประสา โน้มน้าวนางหน่อยเถอะ พ่อวางแผนให้เจ้ามีคู่หมั้นที่ดี เจ้าแต่งเข้าไปแล้วก็มีแต่ความสุข” แม้เขาจะไม่ค่อยมีความผูกพันกับลูกสาวคนนี้ แต่อย่างไรเสียก็ยังเป็นเลือดเนื้อของเขา ยิ่งไปกว่านั้นเขายังต้องใช้ลูกสาวผู้นี้แลกผลประโยชน์ ย่อมต้องแสดงท่าทีเป็นบิดาที่เมตตา

 

 

“ท่านพี่ ท่านอย่าทำเช่นนี้ ทำเช่นนี้ไม่ได้! หลินเจี่ยเอ๋อร์เพิ่งจะอายุสิบสาม…” เสิ่นหย่าได้ยินคำพูดของเหอจังหมิงชั่วขณะก็หมดหนทางแล้ว บุตรสาวแรกแย้มที่งดงามราวกับหยกของนางจะแต่งงานกับตาเฒ่าที่ใกล้จะลงโลงได้อย่างไร

 

 

เหอหลินหลินโกรธจนกำหมัดแน่น ในดวงตาเต็มไปด้วยความโมโห นางเกลียด นางเกลียดที่สุด! เหตุใดบุรุษที่ขายลูกสาวแลกชื่อเสียงทั้งยังหน้าด้านหน้าทนผู้นี้ตรงหน้าถึงได้เป็นพ่อนาง

 

 

“ออกไป ท่านออกไป ท่านออกไปเสีย!” เหอหลินหลินพยายามกลั้นน้ำตาตนเอง นางเงยหน้าขึ้นอย่างฝืนทน มือชี้ประตูข้างหลังเหอจังหมิง “หลายปีมานี้ท่านก้าวเข้ามาในเรือนนี้นับครั้งได้ ในเมื่อสายตาท่านไม่มีพวกข้าแม่ลูกอยู่ เช่นนั้นก็หวังว่าภายหลังจะไม่มีอีก ท่านออกไป ที่นี่ไม่ต้อนรับท่าน”

 

 

ความอึดอัดแวบผ่านอยู่บนใบหน้าเหอจังหมิง สีหน้าเดือดดาล “หลินเจี่ยเอ๋อร์ มารยาทเจ้าเล่า” จากนั้นก็ตะโกนใส่เสิ่นหย่า “เจ้าสั่งสอนหลินเจี่ยเอ๋อร์เช่นนี้หรือ เจ้าดูสิว่านางไหนเลยจะมีความอ่อนน้อมอย่างสตรี เจ้า เจ้าทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ” แววตาเขามีความเสียใจอย่างถึงที่สุด

 

 

เสิ่นหย่าทำหูทวนลม นางหมดหวังในตัวชายผู้นี้มานานแล้ว ความสนใจของนางล้วนแต่อยู่ที่ลูกสาว กลัวสามีจะทำให้ลูกสาวลำบาก

 

 

“ตอนนี้เพิ่งจะมาสนใจการสั่งสอนของข้าไม่สายไปหน่อยหรือ” บนใบหน้าเหอหลินหลินเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม ดึงปิ่นบนศีรษะลงมาอย่างรวดเร็วแล้วจ่อไว้บนลำคอของตน “ท่านจะไปไม่ไป ท่านเองก็รู้ว่าอวิ๋นหรงไปเมืองหลวงแล้ว ท่านว่าหากท่านตารู้ว่าท่านบีบบังคับพวกข้าแม่ลูกจะทำอย่างไร หมวกขุนนางบนศีรษะท่านจะยังรักษาไว้ได้หรือไม่”

 

 

ไม่เพียงแต่เหอจังหมิงที่ตกใจจนสะดุ้งโหยง แม้แต่เสิ่นหย่าเองก็หวาดผวาไม่หยุด “หลินเจี่ยเอ๋อร์อย่า เจ้าอย่าได้ทำเรื่องโง่ๆ เด็ดขาด! วางลงเดี๋ยวนี้ เจ้าอย่าทำให้แม่กลัว!” นางมองลูกสาวน้ำตาไหลพราก คิดอยากจะเข้าไปก็กลัวจะเป็นการกระตุ้นลูกสาว

 

 

“หลินเจี่ยเอ๋อร์เจ้าจะทำอะไร” เหอจังหมิงขมวดคิ้วมองลูกสาว คิดอยากจะเข้าไปแย่งปิ่นในมือลูกสาว เพียงแต่พอเท้าของเขาขยับ เหอหลินหลินก็กดปิ่นปักผมลงทันที โลหิตไหลออกมาจากลำคอที่ขาวกระจ่างของนางในชั่วพริบตา “ท่านพ่อจะบีบบังคับลูกให้ตายหรือ”

 

 

เหอจังหมิงผวาแล้ว หวาดกลัวแล้ว ยืนอยู่ที่เดิมไม่กล้าขยับ “พอแล้วๆ ข้าไปแล้ว ข้าไปแล้ว หลินเจี่ยเอ๋อร์เจ้าคิดให้ดีๆ ข้าเป็นพ่อเจ้า จะทำร้ายเจ้าได้อย่างไร” เขามองลูกสาวอย่างลุ่มลึกปราดหนึ่ง แววตาสับสนมากเป็นพิเศษ

 

 

พอเหอจังหมิงไป เรี่ยวแรงทั้งร่างเหอหลินหลินก็ราวกับถูกสูบ นางล้มพับลงบนพื้น มือที่กุมปิ่นอยู่ก็ตกลงมา

 

 

เสิ่นหย่าโผเข้าไปทันที ซับผ้าเช็ดหน้าลงบนลำคอของลูกสาว ปากร้องตะโกนเรียก “แม่นม แม่นมรีบมาดูหลินเจี่ยเอ๋อร์ทีว่าเป็นอย่างไร” เสียงเด็ดขาดและแหลมเปรียว

 

 

แม่นมชราเองก็วิ่งเข้ามา เมื่อครู่นางเห็นคุณหนูน้อยถือปิ่นจ่อคอตัวเอง ตกใจอกสั่นขวัญหาย “ฮูหยินท่านหลบหน่อยเจ้าค่ะ ให้บ่าวดูแผลคุณหนูหน่อย”

 

 

เสิ่นหย่ารีบหลบออกไปทันที มือที่กุมคอลูกสาวต่างก็สั่นเทา ความเสียใจดั่งงูหนึ่งตัวที่เลื้อยอยู่ในจิตใจของนาง ความผิดนาง ความผิดนางทั้งหมด! หากนางไม่ได้อ่อนแอไร้ประโยชน์เพียงนั้น หลินเจี่ยเอ๋อร์ก็คงจะไม่ต้องมาทนรับความยากลำบากเช่นนี้ ความผิดนางทั้งหมด!

 

 

“ข้าไม่เป็นไร” เหอหลินหลินได้สติกลับมา เห็นแม่นางกับแม่นมชราต่างก็ยุ่งวุ่นวาย รีบเอ่ยปากปลอบขวัญ นางรับผ้าเช็ดหน้าในมือแม่นางมาเช็ดลงบนลำคอ บนผ้าเช็ดหน้าเต็มไปด้วยโลหิตสด นางขมวดคิ้วสูดลมหายใจเย็นเยียบ เจ็บจริงๆ

 

 

“หลินเจี่ยเอ๋อร์เจ้าอย่าขยับ!” เสิ่นหย่ารีบตะโกนหยุดลูกสาว หันหน้าสั่งแม่นมชรา “บาดแผลของหลินเจี่ยเอ๋อร์ต้องใส่ยา แม่นม ข้าจำได้ว่าเดือนก่อนอวิ๋นหรงบาดเจ็บที่มือยังเหลือยารักษาแผลอยู่เล็กน้อย เจ้ารีบไปหามา”

 

 

“เจ้าค่ะ” แม่นมชราเห็นโลหิตที่เต็มผ้าเช็ดหน้าก็หวาดกลัวแล้ว พยักหน้าถี่รับคำจากนั้นก็วิ่งไปยังห้องด้านใน ไม่ทันระวังชนขอบโต๊ะเข้าก็ยังไม่รู้ตัวแม้แต่นิดเดียว

 

 

“ท่านแม่ ข้าไม่เป็นไรจริงๆ เพียงแค่ดูน่ากลัวก็เท่านั้นเอง เมื่อครู่ข้าไม่ได้ใช้แรงเลย” เหอหลินหลิน เห็นใบหน้าของแม่นางซีดขาวหมดแล้ว จึงรีบปลอบนาง

 

 

เสิ่นหย่าไหนเลยจะเชื่อ “เลือดออกเยอะเพียงนี้จะไม่เป็นไรได้อย่างไร เจ้าลูกคนนี้เหตุใดถึงบุ่มบ่ามเช่นนี้ หากเจ้าเป็นอะไรขึ้นมา แม่จะอยู่อย่างไร!” พูดไปพูดมาน้ำตาของนางก็ร่วงลงมาอีกครั้ง ไม่กล้านึกถึงเหตุการณ์นั้น

 

 

เหอหลินหลินยิ้มเจื่อนในใจ หากนางไม่ทำเช่นนี้แล้วพ่อนางจะเลิกราหรือ หากปล่อยให้พ่อนางขายคนใช้สามคนที่เหลืออยู่ของพวกนางสองแม่ลูก เช่นนั้นก็ไม่มีใครช่วยพวกนางได้แล้วจริงๆ

 

 

ตอนนี้ความหวังเพียงหนึ่งเดียวของนางก็คืออวิ๋นหรงสามารถไปถึงเมืองหลวงได้อย่างราบรื่นแล้วขนกองกำลังมาช่วย นางคิดไว้ดีแล้ว หากถึงวันที่ไม่เหลืออะไรแล้วจริงๆ นางจะยอมตายไปพร้อมกับแม่นาง ไม่ให้แผนการของพ่อนางสำเร็จ

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

เนื่องด้วยถูกมารดาเลี้ยงกลั่นแกล้ง ทำให้ เสิ่นเวย ผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอต้องตายลงด้วยความน่าเวทนา ทว่าด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้ทหารสาวในยุคปัจจุบันทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของหญิงสาวผู้ที่มีชื่อแซ่เดียวกันกับตนเอง เมื่อถูกมารดาเลี้ยงวางแผนกลั่นแกล้ง เนรเทศตนเองมาอยู่ในสถานที่รกร้างห่างไกล โดยให้เหตุผลว่าต้องการให้นาง ‘รักษาตัว’ คิดหรือว่านางจะยอมแพ้ต่อความร้ายกาจของมารดาเลี้ยงผู้นี้? ไม่เป็นไร ในเมื่อไล่นางออกมา นางก็จะใช้หนึ่งสมองและสองมือของตนนี้พลิกฟื้นพัฒนาครอบครัวของนางให้กลับมาเชิดหน้าชูตาได้อีกครั้ง!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset