ยอดหญิงอันดับหนึ่ง – ตอนที่ 105-4 ผ่าพิสูจน์ศพ กระทำรุนแรง

อวี้เฉิงกังถูกตาแก่ที่มีนิสัยเหมือนเด็กเล่นงานจนหน้าแดงก่ำ พอได้ยินเหยากวงเหย้าสั่งให้คนนำศพของหลินลั่วหนานมา โดยไม่ผ่านการอนุญาตจากตน ก็ชี้หน้าเหยากวงเหย้า พลางตวาดเสียงดัง

 

 

“เหลวไหล! เหลวไหลสิ้นดี! ใครอนุญาตให้เจ้าแตะต้องศพผู้ตายในคดีความตามอำเภอใจ! เจ้ามีสิทธิ์อะไรมายุ่งกับเรื่องนี้ เจ้า…เจ้า…ข้าจะไปฟ้องร้องฝ่าบาท! ดูซิว่าเจ้าจะแก้ตัวยังไง!”

 

 

เหยากวงเหย้ายิ้มตาหยี

 

 

“ไม่ต้องรีบ รอให้ข้าชันสูตรศพเสร็จเรียบร้อย ค่อยไปฟ้องก็ได้! ข้าอยากเรียนรู้จากศพแล้วไง จะตัดหัวข้าหรือ อย่างมากก็ไล่ข้าออกจากตำแหน่ง พอดีเลย ข้าส่งหนังสือขอเกษียณไปหลายรอบแล้ว ไทเฮากับฝ่าบาทก็ยังไม่ยอมให้ข้าออกจากวังสักที ถ้าเป็นเช่นนั้นล่ะก็ ข้าคงต้องเลี้ยงเหล้าขอบคุณเจ้าแล้วล่ะ!”

 

 

“เจ้า…เจ้า!” อวี้เฉิงกังโมโหจนก้อนเลือดจุกอยู่ที่อก

 

 

ขณะเดียวกัน หมอหนุ่มสองคน ผู้ช่วยเหยากวงเหย้า ก็ใช้เปลสนามแบกศพคลุมผ้าขาวเข้ามา

 

 

แม้ศพของหลินลั่วหนานถูกผ้าขาวคลุมอยู่ แต่เพิ่งย้ายมาจากห้องเย็น จึงมีไอเย็นกระจายออก ทำให้ห้องหนาวเย็นลง พอเฉาหนิงเอ๋อร์กับหานเซียงเซียงสูดอากาศเย็นเข้าไป ก็กอดกันกลม แล้วหันหน้าไปอีกทาง ไม่กล้ามองนาน

 

 

เหยากวงเหย้าหันมองซ้ายขวา ก่อนบอกให้ผู้ช่วยยกโต๊ะยาวที่อยู่ในห้องมาตัวหนึ่ง แล้ววางศพขึ้นไป จากนั้นจึงเปิดกล่องเครื่องมือแพทย์ออก

 

 

อวี้เฉิงกังได้สติ รีบเข้าไปขวาง “เจ้าจะทำอะไรกันแน่!”

 

 

“ทำอะไรน่ะหรือ” เหยากวงเหย้ายิ้มกว้างยิงฟันขาวแล้วว่า “ข้าเห็นศพแล้วก็รู้สึกว่า คล้ายถูกพิษอยู่บ้าง เลยจะผ่าดู ว่าใช่หรือไม่กันแน่!

 

 

อวี้เฉิงกังประเมินแล้วว่า ลำพังตนเองคงเอาหมอบ้านี่ไม่อยู่แน่ จึงกลอกตามองด้านข้าง แล้วถอยออกมา กระซิบเข้าข้างหูเจ้าหน้าที่ตุลาการคนหนึ่ง

 

 

“ไป รีบไปบอกหลินต้าเย่ให้มาเร็ว!”

 

 

เจ้าหน้าที่รับคำ แล้วรีบวิ่งออกไป

 

 

พออวิ๋นหว่านชิ่นเห็นเหยากวงเหย้าคิดเห็นเช่นเดียวกับตนว่าถูกพิษ ก็มั่นใจเพิ่มขึ้น จึงก้าวเข้าหา

 

 

“ข้าช่วยท่านอีกแรง”

 

 

แม้ไม่สามารถเรียกอาจารย์เมื่ออยู่ต่อหน้าคนนอก แต่น้ำเสียงก็เปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยนและเคารพรัก

 

 

เหยากวงเหย้าหัวเราะ ก่อนหันไปพูดกับอวี้เฉิงกัง

 

 

“ดีเลย ผู้ตายเป็นเพศหญิง ข้าลงมือคนเดียวไม่สะดวก เพราะต้องเคารพผู้ตาย ให้คุณหนูอวิ๋นถอดเสื้อผ้าผู้ตายแทนข้าก็แล้วกัน”

 

 

ว่าแล้วก็หยิบมีดที่ใช้ทางการแพทย์ชุดหนึ่งออกจากกล่องเครื่องมือแพทย์             

 

 

อวี้เฉิงกังกัดฟันกรอด พยายามถ่วงเวลาด้วยการเดินกร่างเข้าไป ยืนขวางอยู่หน้าโต๊ะที่วางศพ

 

 

“หมอหลวงเหยาคิดให้ดีๆ หน่อย จะได้ไม่เสียใจในภายหลัง! ข้าเพิ่งบอกให้หมอหลวงชันสูตรศพแล้ว และไม่พบว่าร่างผู้ตายมีพิษ ถ้าท่านตรวจไม่พบพิษ ข้าต้องฟ้องท่านแน่ ให้ท่านมีจุดจบที่ไม่สวยเท่าไหร่!”

 

 

“โอ๊ยโย้ยโย๋ ข้าก็บอกแล้วไง รอให้ข้าตรวจดูให้ถ้วนถี่ก่อนค่อยว่ากัน ดูเจ้าก็ไม่ได้แก่เท่าข้า ทำไมถึงได้ย้ำคิดย้ำทำจัง…” เหยากวงเหย้าแกว่งมีดในมือไปมา ‘ชิ้ว’ แสงวาบ อวี้เฉิงกังรีบหลบ

 

 

ขณะจ้องมองเหยากวงเหย้าแกะผ้าขาวออก ม่านประตูก็ถูกเลิกขึ้น พร้อมเสียงคร่ำครวญ

 

 

“น้องข้า น้องสาวของข้า…”

 

 

อวี้เฉิงกังปิติยินดีทันที

 

 

หลินต้าเย่ หัวหน้าทหารรักษาพระองค์ และเป็นหนึ่งในผู้รักษาความปลอดภัยให้ขบวนเสด็จในครั้งนี้

 

 

เช้านี้พอทราบข่าวร้ายของหลินลั่วหนาน เขาก็รู้สึกเหมือนสายฟ้าฟาดลงกลางกระหม่อม ได้ยินแต่เพียง กองกิจการภายในกำลังสอบสวนอยู่ เมื่ออวี้เฉิงกังเรียกให้มา บอกว่าศพของหลินลั่วหนานกำลังจะถูกคนใช้มีดผ่าออก โดยให้เขามาดูร่างสมบูรณ์เป็นครั้งสุดท้าย เขาจึงรีบรุดมาทันที

 

 

พอมาถึง หลินต้าเย่ก็เห็นหมอหลวงเหยาถือมีดไว้ในมือ กำลังจะกรีดลงบนท้องของน้องสาวตัวเองจริงๆ จึงร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหลอย่างเจ็บปวด พลางก้าวเข้าไปแย่งมีดมา

 

 

“หมอหลวงเหยา ที่ผ่านมา ข้ากับท่านไม่มีความแค้นใดๆ ต่อกัน หมู่นี้ก็ไม่เคยโกรธเกลียดกัน เหตุใดท่านถึงต้องล่วงเกินศพน้องสาวข้าด้วย…”

 

 

อวี้เฉิงกังพูดอย่างเย็นชา “เมื่อเช้าก็ตรวจดูชัดเจนแล้วว่าคุณหนูหลินเสียชีวิตเพราะขาดอากาศหายใจ กระทั่งพบตัวผู้ต้องสงสัยแล้ว แต่หมอหลวงเหยาให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอม ต้องล่วงเกินศพผู้ตายให้ได้ องครักษ์หลิน ข้าจนปัญญาจริงๆ ท่านจัดการเองก็แล้วกัน!”

 

 

หลินต้าเย่เห็นน้องสาวตายอย่างน่าอนาถ พอได้ยินเช่นนี้ ก็ยิ่งไม่มีทางคืนมีดให้หมอ เพราะจะทำให้ร่างของน้องสาวมีรอยมีดเพิ่มขึ้นมาอีก จึงจับมีดแน่นไม่ยอมปล่อย

 

 

“ถึงต้องตาย ข้าก็ไม่มีทางยอมให้ท่านกรีดน้องสาวข้าแม้แต่แผลเดียว”

 

 

เหยากวงเหย้าถุยออกมาคำหนึ่ง “ช่างบิดาเจ้าปะไร หลินต้าเย่ นี่เป็นการให้ความยุติธรรมแก่น้องสาวเจ้าต่างหาก…เจ้าน่ะโตแต่ตัว หัวสมองไม่โตตาม คืนมีดมาให้ข้า!”

 

 

ตอนนี้หลินต้าเย่กำลังโศกเศร้าอย่างถึงที่สุด จึงไม่ฟังอะไรทั้งสิ้น ถือมีดไว้แล้วเดินรอบศพของน้องสาว พอเหยากวงเหย้าไล่ตาม หลินต้าเย่ก็ก้าวหนี อย่างไรการเป็นทหารรักษาพระองค์ที่ยังอายุน้อย ก็ทำให้หลินต้าเย่ แข็งแรงมาก จับมีดไว้ในมือได้อย่างมั่นคง

 

 

วิ่งไล่ไปมาสองรอบ ทั้งสองก็หอบแฮ่กๆ จึงนั่งลงตรงข้ามกัน ต่างคนต่างไม่ยอมกัน

 

 

มีหลินต้าเย่คอยเฝ้าดูอยู่ อย่างน้อยตาแก่บ้าเหยากวงเหย้าก็ไม่สามารถผ่าศพแล้ว อวี้เฉิงกังค่อยวางใจ

 

 

ลง ใบหน้าปรากฏรอยยิ้ม ดวงตาไปหยุดอยู่บนร่างอวิ๋นหว่านชิ่น เมื่อครู่เขาเกิดแรงปรารถนาขึ้นชั่วขณะ และตอนนี้ก็กลับมารู้สึกขึ้นอีก จึงก้าวเข้าหาอวิ๋นหว่านชิ่น แล้วหารือเสียงต่ำ

 

 

“คุณหนูอวิ๋น รายละเอียดเกี่ยวกับคดีนี้ เจ้าเข้าไปคุยกับข้าในห้องหน่อย”

 

 

พอเข้าสู่ห้องด้านใน อวี้เฉิงกังก็บอกให้ขันทีรับใช้ออกไป

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นจ้องมองเขาอย่างเย็นชา

 

 

อวี้เฉิงกังนั่งลงบนเก้าอี้พนักทรงกลม แววตาเคร่งขรึมลง แต่น้ำเสียงกลับอ่อนโยนขึ้น

 

 

“คุณหนูอวิ๋น เรื่องนี้ จำเป็นด้วยหรือที่ต้องแข็งกร้าวเช่นนี้ จริงๆ แล้วคดีนี้ ถ้าอยากให้ง่าย ก็ง่ายดายยิ่ง ถ้าคุณหนูอวิ๋นไม่อยากถูกกักขัง เรื่องก็ขึ้นอยู่กับคำพูดประโยคเดียวจากปากข้า…”

 

 

ชายวัยกลางคนใช้สายตามิดีมิร้ายจ้องมองตน ทำให้ตนนึกถึงตอนที่บิดาจัดงานเลี้ยงที่บ้าน และพาตนไปแนะนำให้ฉินลี่ชวนรู้จัก สายตาแบบนี้ เป็นสายตาแบบเดียวกันกับตาเฒ่าอายุเจ็ดสิบที่มองตนไม่มีผิด ทั้งสกปรก บ้ากาม หื่น ต่ำทราม

 

 

มุมปากอวิ๋นหว่านชิ่นปรากฏรอยยิ้มเย็นชา ด้วยเคยได้ยินมานานแล้วว่า กองกิจการภายในแผ่อิทธิพลปกคลุมทั่วฟ้า เกิดมลภาวะควันดำ ครอบงำนางใน ข่มเหงขันที กินสินบาทคาดสินบนกับสนมในวังเย็นและองค์ชายองค์หญิงซึ่งไม่เป็นที่โปรดปราน โดยมีเรื่องเช่นนี้อยู่บ่อยๆ แต่ไม่คาดคิดว่า เรื่องสกปรกของข้าราชการที่แฝงมากับกฎระเบียบ จะเกิดขึ้นกับตนจนได้

 

 

จึงหันกาย ขณะจะก้าวข้ามธรณีประตู ก็มีลมพัดวูบขึ้นที่ด้านหลัง พร้อมกับกลิ่นหื่นกามอันน่าสะอิดสะเอียนของผู้ชายโชยมา แขนของตนถูกเขาดึงให้เข้าไปอยู่ในอ้อมอกอวี้เฉิงกัง

 

 

และในตอนนี้เอง เสียงตะโกนของขันทีหน้าห้องโถงก็ดังขึ้น “ฉินอ๋องเสด็จ…”

 

 

ได้ยินเสียงฝีเท้าบีบเข้ามาเรื่อยๆ แทรกด้วยเสียงถวายบังคมของกลุ่มคน ตามด้วยเสียงดุดันและหมองหม่นเล็กน้อยของชายหนุ่ม

 

 

“อวี้เฉิงกังล่ะ?”

 

 

“สอบสวนคนอยู่ด้านในพะย่ะค่ะ เชิญท่านอ๋องนั่งลงก่อน เดี๋ยวเขาก็ออกมาแล้ว” มีคนตอบเสียงเบา

 

 

เป็นเวลาเดียวกันกับที่อวิ๋นหว่านชิ่นตกอยู่ในอ้อมอกอวี้เฉิงกัง นางจึงฉวยจังหวะที่เขาตะลึงงันกับการมาของฉินอ๋อง ไม่พูดพล่ามทำเพลง ตบเข้าที่ใบหน้าของเขาหนึ่งฉาดอย่างไม่ออมแรงดัง  ‘เพี๊ยะ’

 

 

“ยัยเตี้ย เบื่อชีวิตแล้วหรือไง! ถึงได้กล้าตบข้า!”

 

 

อารามตกใจ ทำให้อวี้เฉิงกังคำรามเสียงต่ำออกมา

 

 

ตั้งแต่เกิดมา ใครบ้างไม่ประจบประแจงเขา นางในที่กระทำความผิดหรือนักโทษหญิงที่เขาถูกใจ ใครบ้างไม่เสนอตัวขึ้นเตียงกับเขา ใครบ้างที่กล้าทำรุนแรงกับหัวหน้ากองกิจการภายใน หลานท่านสมุหนายก!

 

 

อวี้เฉิงกังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ จึงบีบเข้าที่ต้นคอของอวิ๋นหว่านชิ่น แล้วนิ้วก็ออกแรงกดเข้าไป!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset