ยอดหญิงอันดับหนึ่ง – ตอนที่ 119-2 หลายสกุลชอบ หลายสกุลกลัดกลุ้ม

 

 

คลื่นคำพูดซัดมาครั้งแล้วครั้งเล่า หนิงซีฮ่องเต้จะไม่กล่าวอะไรเลยก็ไม่ได้ เขามองไปที่องค์ชายสาม ซึ่งบัดนี้นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวใหญ่เบื้องล่าง ชายหนุ่มสวมชุดคลุมขนสัตว์ ท่าทางสง่างาม ดูสุขุมลุ่มลึก เครื่องหน้าหล่อเหลาสมวัยหนุ่ม บัดนี้ชายหนุ่มดูหนักแน่นนัก แม้จะเห็นทุกคนพูดกันไปต่างๆ นาๆ แต่ก็ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย ราวกับรู้แล้วว่าจะเกิดเรื่องนี้ขึ้น

 

 

ตั้งแต่ออกตัวไปล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ผลิ ไปจนถึงรับหน้าที่ล่าหมี และขอรางวัลเป็นทองหยกแล้ว ทั้งยังมอบของรางวัลให้อวิ๋นหว่านชิ่น ทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งที่องค์ชายสามคิดมาอย่างละเอียดทุกขั้นตอน

 

 

หนิงซีฮ่องเต้หายใจหอบหนัก เขาเคยเห็นลูกชายคนนี้มาตั้งหลายครั้ง แต่วันนี้กลับเหมือนเห็นเป็นครั้งแรก ช่างไม่คุ้นตาเอาเสียเลย

 

 

ท่ามกลางเสียงโน้มน้าวมากมาย หนิงซีฮ่องเต้มองไปยังเงาร่างที่คล้ายกับคนรักเก่าของตนในกระโจมที่นั่ง เด็กสาวผู้นั้นเหมือนจะรู้ตัว นางผินหน้ามา ในอกของฮ่องเต้เหมือนมีบางอย่างทิ่มแทง ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่ใช่ชิงเหยา และยังมีนิสัยต่างกับชิงเหยาโดยสิ้นเชิงอีกต่างหาก…

 

 

ถึงแม้จะเป็นชิงเหยาแล้วอย่างไร เขาจดจำนางไปตลอดชีวิตอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นที่ใดล้วนเต็มไปด้วยความทรงจำของนาง สตรีที่เขารักมาหลายปีนี้ ครองพื้นที่ในใจเขาเสมอมา ทว่าชิงเหยากลับตัดผ้าเช็ดหน้าสลักรักที่เขามอบให้จนเสียหายแล้ว

 

 

หัวใจของหนิงซีฮ่องเต้ป่นปีจนเป็นเถ้าถ่าน เขาไอหนักสองเสียง เหยาฝูโซ่วรู้ว่าฝ่าบาทป่วยหนัก จึงรู้สึกไม่สบายใจ กล่าวเสียงเบาว่า “ฝ่าบาท เสียงโน้มน้าวของเหล่าขุนนางเงียบลงแล้วพะยะค่ะ”

 

 

ผ่านไปนานทีเดียว งานลิ้มรสอาหารป่าแทบจะได้ยินเสียงลมพัดหวีดหวิว หลายคนกำลังตื่นตระหนก แต่กลับได้ยินเสียงกล่าวมาจากด้านบน “ฉินอ๋องกับคุณหนูอวิ๋นเหมาะสมกันเหมือนกิ่งทองใบหยก คุณหนูอวิ๋นเป็นบุตรสาวของเสนาบดีอวิ๋น ชื่อเสียงดีงาม ทั้งยังเป็นที่ชื่อชอบของไทเฮา ในเมื่อสวรรค์บัญชาเช่นนี้ ข้า…”

 

 

หลายคนกลั้นหายใจ ในใจมีความคิดแตกต่างกันไป ต่างรอคอยให้ฝ่าบาทพูดจบ

 

 

เจี่ยงฮองเฮารู้ดีอยู่แล้วว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น นางมั่นใจเต็มเปี่ยม ทว่าหย่งเจียจวิ้นจู่กลับจิกเล็บลงกับมือของตน

 

 

“หากคุณหนูอวิ๋นได้เป็นชายาคนใหม่ ข้าก็ยินดีนัก”

 

 

‘ชายาใหม่’ ที่ฮ่องเต้กล่าว หมายความว่าจะประทานอวิ๋นหว่านชิ่นให้เป็นชายาเอกของฉินอ๋อง

 

 

เหยาฝูโซ่วลอบถอนใจ แม้อวิ๋นเสวียนฉ่างจะเป็นเสนาบดี แต่ก็เพิ่งได้รับตำแหน่งใหม่ ยังไม่มีตำแหน่งบรรดาศักดิ์ คุณหนูอวิ๋นได้แต่งเข้าจวนอ๋องเป็นชายาเอก อย่างไรก็ช่วยผลักดันบิดาให้สูงขึ้นได้บ้าง ดูท่าทางฝ่าบาทจะลืมสวี่ชิงเหยาไม่ลง และไม่ยอมให้ทายาทของนางได้รับความไม่เป็นธรรม

 

 

หย่งเจียจวิ้นจู่จิกเล็บแหลมคมที่ทาน้ำมันทาเล็บลงในเนื้อ เกือบจะฉีกทึ้งเนื้อจนขาดแล้ว ชายาเอกอย่างนั้นหรือ?

 

 

หากวันหน้าท่านพี่ได้ราชาภิเษก คุณหนูอวิ๋นมิต้องเป็นฮองเฮาเลยหรืออย่างไร

 

 

ฮองเฮาในอนาคตสกุลอวิ๋นอย่างนั้นหรือ อวิ๋นหว่านชิ่น สตรีที่เกิดจากบ้านนอกคอกนา จะได้ขึ้นเป็นฮองเฮาในวัง เคียงคู่กับฮ่องเต้จริงหรือ!?

 

 

หย่งเจียวจวิ้นจู่คับแค้นใจนัก ทั้งยังไม่ยอมแพ้

 

 

ไม่ ในเมื่อสวรรค์จัดการพานางข้ามเสวลามาครั้งหนึ่ง นางจะไม่ยอมให้ตนเองใช้ชีวิตเรียบง่ายไปตลอดชีวิต

 

 

แต่สตรีโบราณจะเสนอความเห็นได้อย่างไรกัน

 

 

เกลียดนักที่ชาติก่อนนางไม่ได้มีความสำคัญอะไรต่อประวัติศาสตร์ แม้จะมีชื่อเสียงอยู่บ้าง แต่ส่วนมากก็มาจากการทำงานราชการ เรื่องของบุรุษและสตรีมีกฎเกณฑ์มากมายต้องรักษาไว้ ไม่มีข่าวเสียหายใดแพร่งพรายออกไป แม้แต่วังหลังมีสนมอะไรบาง ก็ไม่ได้บันทึกไว้

 

 

แต่เช่นนั้นก็ดี! หย่งเจียจวิ้นจู่ปลอบใจตนเอง ประวัติศาสตร์ไม่ได้บันทึกไว้ เช่นนั้นทุกอย่างก็มีความเป็นไปได้ ไม่จำเป็นต้องสกุลอวิ๋นก็ได้!

 

 

ฝ่ายเจี่ยงฮองเฮาเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก นางไม่สนว่าฮ่องเต้จะประทานตำแหน่งชายาเอกหรือชายารอง ขอเพียงใส่พานมอบให้องค์ชายสามไปได้ ก็นับเป็นเรื่องดี แม้ฝ่าบาทจะไม่ได้กล่าวคำว่าพระราชทานอภิเษกอย่างเป็นทางการ แต่ก็ไม่ต่างจารกการพระราชทานอภิเษกอย่างเป็นทางการเลย คำพูดของฝ่าบาทนับเป็นประกาสิทธิ์ ตรัสแล้วไม่อาจคืนคำ คุณหนูสกุลอวิ๋นผู้นั้น นอกจากจะเป็นโรคร้ายรักษาไม่ได้ หรือทำความผิดใหญ่หลวงเช่นอวี้โหรวจวง ทำลายชื่อเสียงป่นปี้ ก็คนหนีจากการเป็นคนขององค์ชายสามไม่พ้น ฮ่องเต้เป็นผู้ที่ต้องการเกียรติยศและชื่อเสียงมากที่สุด คงจะไม่ดีหากไปแย่งลูกสะไภ้มาเป็นของตนเอง ควรจะยอมแพ้ได้แล้ว!

 

 

เจี่ยงฮองเฮาถอนหายใจแรงครั้งหนึ่ง ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อปักลายหงส์ด้วยดิ้นทอง “ฝ่าบาททรงพระกรุณา ฉินอ๋องยังไม่ขอบคุณอีก”

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงค้ำไม่เท้า ยืนขึ้นอย่างมั่นคงภายใต้การช่วยเหลือของเยี่ยนอ๋องและซือเหยาอัน “ขอบพระทัยเสด็จพ่อ ที่พระราชทานการอภิเษก”

 

 

ขุนนางอาวุโสหลายมีปฏิกิริยาเร็วที่สุด ตามมาด้วยผู้ที่นั่งอยู่ด้านหลัง

 

 

บรรยากาศในงานเลี้ยงลิ้มรสอาหารป่าคึกครื้นขึ้นมาแล้ว

 

 

หลังจากวันนั้น ชุมนุมล่าสัตว์ฤดูใบไม้ร่วงก็มาถึงช่วงสุดท้าย ทหารกองเกียรติยศได้รับบัญชา เริ่มเก็บของเตรียมเดินทางกลับในวันรุ่งขึ้น

 

 

 

 

ขบวนชุมนุมล่าสัตว์ฤดูใบไม้ร่วงยังไม่กลับ จดหมายพระราชทานอภิเษกของหนิงซีฮ่องเต้ก็กลับที่เมืองเย่จิงแล้ว

 

 

อวิ๋นเสวียนฉั่งกลับมาบอกที่จวนทันทีที่ได้ข่าวตั้งแต่วันนั้น ถงซื่อดีใจจนไม่อาจเก็บงำ เนางมือสั่นไม่ยอมหยุด หลานสาวในบ้านรองแต่งออกไปแล้วสองคน คนหนึ่งสิ้นเกียรติ คนหนึ่งก็ไม่ต่างจากหมาป่า เขาไม่หวังให้นางดูแลครอบครัวของมารดา ไม่แว้งกัดหรือทำให้ครอบครัวมารดาเสียหน้าก็ดีถมเถแล้ว นางเกือบจะทำให้ครอบครัวฝ่ายแม่เดือดร้อนเพราะเรื่องของเว่ยอ๋อง ลูกสาวคนนี้ มีก็เหมือนไม่มี

 

 

บัดนี้หวังแต่จะให้ชิ่นเอ๋อร์เป็นฝั่งเป็นฝา

 

 

ถงซื่อไม่ได้หวังให้ชิ่นเอ๋อร์โชคดีอย่างอวิ๋นหว่านถง ได้ท่านอ๋องมาเป็นสามี คิดแค่เพียงมีคุณชายสกุลสูงส่งชอบพอนางหลังจากงานเลี้ยงก็พอแล้ว

 

 

ทว่าคิดไม่ถึง ชิ่นเอ๋อร์กลับได้รับพระราชทานอภิเษกจากฮ่องเต้ด้วยตัวเอง อีกฝ่ายไม่ใช่เพียงองค์ชายที่ได้รับตำแหน่งอ๋อง ชิ่นเอ๋อร์เองก็ได้รับตำแหน่งชายาเอกด้วย!

 

 

ถงซื่อไม่กล้าเชื่อโดยสิ้นเชิง จึงรบกวนคนสนิทของบุตรชายไปสอบถามอยู่นานว่าจริงหรือเท็จ อวิ๋นเสวี่ยนฉั่งตอบอยู่หลายรอบ ถึงทำให้ท่านย่าเชื่อได้

 

 

หลายสกุลชอบ หลายสกุลกลัดกลุ้ม

 

 

จวนกุยเต๋อโหว ฝั่งตะวันตก

 

 

เมื่อมู่หรงไท่ทราบเรื่อง เขาก็นิ่งงันเป็นท่อนไม้อยู่นาน ผ่านไปพักใหญ่ถึงยกเท้าข้างหนึ่งเตะเก้าอี้จนล้มคว่ำ

 

 

ฮัวฟ่านเพิ่งประคองเก้าอี้ขึ้น กำลังคิดจะไปปลอบใจ ทว่าด้านนอกประตูหลับมีเสียงเรียกคุ้นหูดังมาจากข้างนอก นางจึงออกไปก่อนพร้อมสีหน้ารีบร้อน

 

 

นางเห็นปี้อิ้งมีสีหน้าเป็นกังวลอยู่ที่หน้าประตู จึงขมวดคิ้วมุ่น “เจ้าถ่อมาที่นี่ด้วยเหตุใด ข้าบอกไปแล้ว ว่าช่วงนี้คุณชายรองยุ่งนัก ข้าให้เจ้าเข้าไปไม่ได้! ให้ท่านอาอวิ๋นรอก่อนเถิด วันไหนคุณชายรองว่างแล้วจะไปหาเอง”

 

 

“พี่ฮัวฟ่าน” ปี้อิ้งขอร้อง นางรู้ว่าฮัวฟ่านกำลังผลักไส “ตอนที่นายหญิงของข้าเพิ่งเข้าบ้าน ก็เพราะท่านเหล่าโหวกำลังโมโห แต่ผ่านมานานถึงเพียงนี้ ท่านเหล่าโหวไม่ได้บอกว่าไม่ให้คุณชายรองไปหา ท่านให้คุณชายรองไปดูนายหญิงบ้านข้าหน่อยไม่ได้หรือ นายหญิงของข้าเข้าบ้านมาหลายวันแล้ว แต่ถูกขังอยู่เรือนสันโดษก็ช่างเถิด แต่คุณชายรองไม่เคยไปหานางแม้สักครั้งเลย!”

 

 

“นายหญิงของเจ้านายหญิงของข้าอะไรกัน ก็แค่ท่านอาเท่านั้น แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ไม่มีกฎเกณฑ์อะไรทั้งนั้น!” ฮัวฟ่านปัดมือของปี้อิ้งที่จับตนไว้ “คุณชายรองไปแล้วอย่างไร นางยังคิดหาโอกาสจับคุณชายรองอีกหรือ สานสัมพันธ์กับคุณชายรองอีกครั้ง แล้วเข้าจวนโหวอย่างนั้นหรือ? อย่าคิดว่าข้าไม่รู้จักท่านอาของพวกเจ้านะ!” ฮัวฟ่านเคยเป็นที่รองรับอารมณ์ของอวิ๋นหว่านเฟย วันนี้ได้เอาคืนบ้างแล้ว นางรู้สึกสบายใจยิ่งไหน ไหนเลยจะยอมให้อวิ๋นหว่านเฟยมีโอกาสได้คืนดีกับคุณชายรอง

 

 

ทันใดนั้น เสียงรำคาญใจของมู่หรงไท่ก็ดังขึ้นจากด้านใน “ฮัวฟ่าน! ฮัวฟ่าน! ไปอยู่ที่ไหนแล้ว!”

 

 

ฮัวฟ่านรีบหันไปตอบ “มาแล้วเจ้าค่ะ คุณชายรอง!” จากนั้นนางก็ลดเสียงยิ้ม ยิ้มเยือกเย็นพลางทำลายความคิดของอวิ๋นหว่านเฟยเป็นครั้งสุดท้าย “อย่ามาหาว่าข้าไม่เคยเตือนเจ้านะ หลายวันมานี้คุณชายรองอารมณ์ไม่ดี คุณหนูใหญ่อวิ๋นกลับเมืองหลวงแล้ว ฝ่าบาทก็มีคำสั่ง พระราขทานอภิเษกให้กับฉินอ๋องอย่างเป็นทางการ ข่าวนี้ดังมาก เจ้าอย่าได้มาเอะอะอีกเลย หากยั่วโมโหคุณชายรองจนไม่สบายใจเข้า อย่าว่าแต่ไปอยู่เรือนสันโดษเลย ไล่ท่านอาของเจ้าออกก็พอจะเป็นไปได้!”

 

 

ปี้อิ้งจนใจ จำต้องออกจากจวนกุยเต๋อโหวไปก่อน นางอ้อมตรอกเล็กๆ สองสามตรอก กลับมาที่เรือนสันโดษ

 

 

หลังจากเข้าไปในเรือน ปี้อิ้งก็นำอาหารที่ได้กลับมาออกจากในตะกร้า ครั้นเห็นอวิ๋นหว่านเฟยเหมือนกับเมื่อวันวาน ยังคงนั่งเหม่อลอยอยู่ริมหน้าต่าง นางก็ทอดถอนใจ “ท่านอา กินข้าวก่อนเถิดเจ้าค่ะ ท่านไม่ได้กินอะไรมาหนึ่งวันแล้ว อาหารวันนี้ไม่เลวเลยทีเดียว มี…”

 

 

อวิ๋นหว่านเฟยผินหน้ามา เห็นบ่าวกลับมาจากจวนโหว ดวงตาหม่นหมองพลันสดใส นางพุ่งเข้าไปหาอีกฝ่าย “เป็นอย่างไร วันนี้ได้พบคุณชายรองหรือไม่ เขาบอกหรือไม่ว่าจะมาหาข้าเมื่อใด”

 

 

ปี้อิ้งไม่พูดจา เอาแต่กัดริมฝีปาก

 

 

อวิ๋นหว่านเฟยมองสีหน้าของอีกฝ่ายก็รู้แล้ว มู่หรงไท่ยังคงไม่ยอมมาพบนาง นางสะบัดมือครั้งหนึ่ง “ไม่มีประโยชน์ ไม่มีประโยชน์เลยสักนิด! เชิญตั้งหลายครั้งแล้วก็ยังเชิญไม่ได้!” นางกวาดอาหารเหลือที่อยู่บนโต๊ะ ก่อนจะฟุบลงร้องไห้ยกใหญ่ ตั้งแต่ที่ได้มาอยู่ยังโจนสันโดษ มู่หรงไท่ก็ไม่เคยมาหานางเลยแม้แต่วันเดียว!

 

 

หลังจากร้องไห้อยู่ครู่ใหญ่ ในที่สุดอวิ๋นหว่านเฟยก็ใจเย็นลงได้ นางหยัดตัวลุกขึ้น แล้วเดินไปด้านนอก “ไม่ได้การแล้ว ข้าต้องไปพบเขาด้วยตนเอง…”

 

 

ปี้อิ้งกำลังเก็บเศษชามกระเบื้องที่อยู่บนพื้น นางรีบคว้าเอวของอีกฝ่ายไว้ “ท่านอา อย่าไปเลยเจ้าค่ะ ท่านเข้าไปในจวนโหวไม่ได้ หากท่านเหล่าโหวรู้เข้า ท่านจะไม่มีโอกาสได้เข้าจวนอีกเลยนะเจ้าคะ! อดทนไว้ก่อนนะเจ้าคะ! อีกอย่างช่วงนี้คุณชายรองอารมณ์ไม่ค่อยดี ท่านรอเขาอารมณ์ดีสักหน่อยค่อยไปหาก็ยังไม่สาย…”

 

 

อวิ๋นหว่านเฟยชะงักงัน สงบสติอารมณ์ได้ชั้วคราว “อารมณ์ไม่ดีหรือ เหตุใดเขาถึงอารมณ์ไม่ดี”

 

 

ปี้อิ้งเล่าเรื่องที่ฮัวฟ่านบอกกล่าวให้ท่านอาฟัง

 

 

อวิ๋นหว่านเฟยทรุดตัวลง ราวกับถูกดึงวิญญาณออกไปก็ไม่ปาน นางกลับไปนั่งลงบนตั่ง ในใจรู้สึกร้อนรุ่ม ไม่อาจสงบใจได้ อวิ๋นหว่านชิ่นผู้นั้นจะได้เป็นชายาเอกแล้ว สวรรค์ นี่มันอะไรกัน! นางได้รับความเอ็นดูที่สุดในตระกูลอวิ๋น เป็นคนที่ควรจะได้เป็นหงส์!

 

 

นางจะได้เป็นใหญ่เหนือผู้คนมากมาย แต่ตนเองกลับเป็นทาสที่ถูกกักขังเช่นนี้ แม้แต่ประตูจวนของสามีก็เข้าไปไม่ได้ ต้องกินอาหารเหลือที่บ่าวนำมาให้อยู่ทุกวัน!

 

 

สามีในทางกฎหมายสนใจแต่พี่สาวที่กำลังแต่งงาน แต่ไม่มาดูดำดูดีนางสักหน!

 

 

หลังจากสิ้นหวังอย่างถึงที่สุด อวิ๋นหว่านเฟยก็อยากจะจับอวิ๋นหว่านชิ่นผู้นั้นมาฉีกทึ้ง ถึงจะระบายความแค้นเคืองได้ ทว่าในใจกลับมีแสงสว่างฉายชัด…

 

 

จดหมายนี้ เหมือนจะเป็นโอกาสพลิกผันและฟางเส้นสุดท้ายของนาง

 

 

ครั้นระงับความแค้นในใจได้แล้ว อวิ๋นหว่านเฟยก็ปาดน้ำตาทิ้ง บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มแปลกประหลาด “ปี้อิ้ง พรุ่งนี้ตอนเจ้าไปที่จวนโหวอีกครั้ง คิดหาวิธีพบกับการคุณชายรองตามลำพัง แล้วบอกว่าข้ามีวิธีทำลายงานอภิเษกของพี่สาวข้า”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset