ยอดหญิงอันดับหนึ่ง – ตอนที่ 142-2 ขนมนมไส้สาเก กับ ห้องแห่งความรักใคร่อันแสนอบอุ่น

คลังเก็บของของจวนอ๋องอยู่เรือนหลัง คลังเก็บของที่สำคัญเช่นนี้สร้างได้เงียบสงบและลับตาคนนัก ปกตินอกจากพ่อบ้านเกาและคนทำบัญชีคนหนึ่งแล้ว แทบไม่มีใครมาเลย เดินตามทางเล็กๆ นี้ไปยิ่งเงียบสงบขึ้น และเงียบเหงาขึ้นเรื่อยๆ ชูซย่าดึงเสื้อคลุมบนไหล่อวิ๋นหว่านชิ่นให้แน่นขึ้นแล้วกล่าว “พระชายาเพคะ อีกสักครู่รีบเสด็จกลับห้องก่อนเถิดนะเพคะ หากทรงประชวรไปจะไม่ดีนะเพคะ เห้อ อากาศแย่ๆ นี่”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นกลับไม่คิดเช่นนั้น อากาศยิ่งหนาว กิจการน้ำพุร้อนเมาเหยี่ยนร้านเซียงอิ๋งซิ่วก็ยิ่งดี ตอนแรกเริ่มนั้นหลายคนก็แค่อยากลองของใหม่ ตอนนี้ลูกค้าประจำมีมาก ไม่พอต่อความต้องการของลูกค้าแล้ว อย่างไรเสียน้ำพุร้อนต้องกั้นแล้วจึงสร้าง แต่สระน้ำมีจำกัด

 

 

เมื่อกิจการน้ำพุร้อนรุ่งเรือง ก็กระตุ้นกิจการของร้านไปด้วย

 

 

ในระยะเวลาอันสั้น ร้านอื่นๆ ที่ทำกิจการเดียวกันหรือคนเห็นโอกาสก็เห็นแล้วตาร้อน อยากได้ขึ้นมา จึงเริ่มคิดหาวิธีใช้ความสัมพันธ์กับทางการ อยากจะได้น้ำพุร้อนในที่อื่นๆ เช่นกัน

 

 

ในเมื่อเป็นธุรกิจ ก็เลี่ยงการแข่งขันมิได้ ขอเพียงไม่ทำเหมือนตอนเดิมที่อยู่บ้านสวนโย่วเสียน ที่ร้านเทียนเซียงจ้างคนมาคอยสอดส่อง ทำการแข่งขันการค้าในเชิงลบ อวิ๋นหว่านชิ่นไม่ปฏิเสธคนที่เข้ามา ใช้เพียงความสามารถเท่านั้น ทำเพียงให้ชูซย่าไปบอกหงเยียน จัดการบริหารเป็นขั้นเป็นตอนตามเดิมก็พอ

 

 

ทั้งสี่คนเมื่อถึงคลังเก็บของแล้ว เจินจูหยิบกุญแจพวงหนึ่งที่เอามาจากพ่อบ้านเกาออกมา เปิดประตูเหล็กที่หนาและหนัก

 

 

ในคลังเก็บของมีบรรยากาศความเงียบเหงาที่เป็นเอกลักษณ์ลอยอยู่ ตู้สูงสองสามตู้จัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ บางตู้เก็บโฉนดซื้อขายตัวของคนทั้งจวนและโฉนดที่ดินต่างๆ บางตู้ก็เก็บสิ่งของของเล่นของประดับที่ฮ่องเต้พระราชทานให้

 

 

เมื่อเดินลึกเข้าไปข้างใน มีสินเดิมร้อยกว่า**บจัดวางอยู่ ยังคงลงกลอนอยู่ ผ้าไหมสีแดงสดก็ยังไม่ได้แก้ออก

 

 

ทองหยกแก้วก็แยกใส่ไว้ในตู้เหล็กด้านข้าง เห็นได้ชัดว่า ตั้งแต่วันก่อนแต่งงานที่ยกเข้ามาในจวนอ๋อง ก็ไม่ได้แตะอีกเลย

 

 

“สินเดิมพวกนี้ยกเข้ามาแล้ว องค์ชายสามไม่ได้ให้คนมาเปิดกล่องตรวจนับ อีกยังไม่ได้แบ่งประเภทใส่ในตู้อื่นๆ ของคลังเก็บของหรือ” อวิ๋นหว่านชิ่นชี้ไป เมื่อท่านแม่เสีย ท่านพ่อก็ยกออกมาไว้แยกต่างหาก

 

 

เจินจูกล่าวตามความเป็นจริง “พ่อบ้านเกาบอกว่า องค์ชายสามเคยเตือนไว้ สินเดิมนี้ในเมื่อเป็นทรัพย์สินของพระชายา ไม่ว่าจะมากจะน้อยหรือล้ำค่าเพียงใด ก็ล้วนแต่เป็นของพระชายาเพคะ ท่านเพียงเรียกให้คนเว้นที่ให้วางไว้ ในห้องด้านในเอาไว้ให้พระชายาเก็บของส่วนพระองค์ ให้พระชายาจัดการได้เองเพคะ องค์ชายสามยังรับสั่งอีกว่า พระชายารักทรัพย์สินยิ่งนัก ห้ามแตะต้องของเด็ดขาด ระวังพระชายากริ้วแล้วจะ…” เดิมทีอวิ๋นหว่านชิ่นก็รู้สึกซาบซึ้งเล็กน้อย เมื่อได้ยินประโยคหลังสีหน้าก็ดูเก้งกัง อะไรคือรักทรัพย์สิน ตนไม่ใช่เทพเซียนที่จะละเรื่องทางโลกได้ ถึงเป็นฉินอ๋องเอง ก็ต้องเฝ้าคอยเงินบำนาญมาเลี้ยงดูคนในจวนพวกนี้ ยังมีที่นาโอสถอันมีค่าอย่างสวนแอปริคอต ต้องให้เงินอุดหนุนคนสิบกว่าครอบครัวอีก

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นเดินออกไป และในเวลานี้ ฉิงเสวี่ยเปิดลิ้นชักที่เปิดอยู่ข้างนอกทุกชั้น แล้วนำสมุดบัญชีในจวนยกมาให้พระชายาทอดพระเนตร

 

 

ตรวจตราอยู่สักพัก พูดได้เพียงว่า จวนฉินอ๋องนี้ใช้ชีวิตอย่างขัดสนเสียจริง ในบรรดาพระราชนิกูลทั้งหลายนั้น ฉินอ๋องไม่นับว่าร่ำรวยนัก อีกอย่าง นอกจากเครื่องหยกที่พระราชทานให้ในวันเทศกาลต่างๆ แล้ว กลับไม่มีทรัพย์สินเหลือเก็บสักแดงเดียว

 

 

“จะว่าไปแล้ว องค์ชายสามได้รับการประดับยศอ๋องก็หลายปีแล้วกระมัง” อวิ๋นหว่านชิ่นส่ายหน้า ปิดสมุดบัญชีลง “ถึงแม้ว่าค่าใช้จ่ายประจำวันในจวนอ๋องนั้นสูงนัก ยากที่จะเก็บเงินได้ แต่อย่างไรก็ต้องมีเงินเก็บบ้างไม่มากก็น้อย ไม่มีเงินสำรอง หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นจะทำอย่างไร”

 

 

ฉิงเสวี่ยและเจินจูมองตากัน เจินจูจึงกล่าวอย่างระมัดระวังว่า “ที่จริงเดิมทีมีเงินสะพัดก้อนใหญ่ก้อนหนึ่ง เพียงแต่ภายหลัง…องค์ชายสามทรงทำการโยกย้ายแล้วเพคะ”

 

 

“หืม” อวิ๋นหว่านชิ่นสงสัย “ย้ายไปไหนกันเล่า”

 

 

ฉิงเสวี่ยกล่าวเสียงแผ่วเบา “องค์ชายสามรับสั่งว่าจะซื้อร้าน จึงได้ไปเอาจากพ่อบ้านเกาเพคะ”

 

 

ชูซย่าอดไม่ได้ที่จะใช้มือปิดปาก แล้วมองดูอวิ๋นหว่านชิ่น

 

 

ที่แท้ร้านเซียงอิ๋งซิ่วนั้นใช้เงินเก็บทั้งหมดในตอนนี้ของจวนฉินอ๋องซื้อมาหรือ อวิ๋นหว่านชิ่นอึ้งเงียบไป ยังไม่ทันได้พูดอะไร ก็มีบ่าวจากเรือนหลักไม่เห็นพระชายาจึงได้มาตามหา ตะโกนเรียกอยู่นอกคลังเก็บของ “พระชายาขอรับ องค์ชายสามกลับมาจากค่ายทหารแล้วขอรับ”

 

 

พวกเขาลงกลอนคลังเก็บของแล้วกลับมายังเรือนหลัก เมื่อเข้าไปในห้องก็พบว่านายของตนได้ถอดเสื้อคลุมออกแล้วนั่งอยู่ในห้องโถง ความหนาวเหน็บทั่วทั้งตัวที่เพิ่งกลับมาจากข้างนอกนั้นยังไม่หายไป กำลังพูดคุยสนทนาอยู่กับพ่อบ้านเกา

 

 

หรุ่ยจือก็เพิ่งติดตามองค์ชายสามกลับมาจากค่ายทหารเช่นกัน ถือเตาเดินเข้าห้องมาวางไว้ตรงกลางห้อง เมื่อเห็นว่าอวิ๋นหว่านชิ่นมา ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มนั้นก็หายไปในทันใด คำนับเล็กน้อยแล้วถอยไปยืนหลังองค์ชายสาม

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงเมื่อเห็นว่าอวิ๋นหว่านชิ่นกลับมา ถอดเสื้อคลุมขนแกะออก ชุดกระโปรงผ้าต่วนสีแดงสดลายงูสีเข้มดิ้นทอง ทำให้ใบหน้าอันงดงามนั้นคล้ายกับตะวันยอแสง แก้มทั้งสองถูกลมหนาวข้างนอกพัดจนแดงระเรื่อ เขาอดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นแล้วเดินไปหา ยกมือขึ้นจับหน้าของนาง แล้วใช้มือประกบไว้สักครู่ ความเหนื่อยล้าที่ฝึกทหารมาทั้งวันก็ประหนึ่งว่าจะหายไปครึ่งหนึ่ง

 

 

ความรักใคร่ของชายหญิงอบอวนเต็มห้อง ไม่ต้องใช้เตาไฟก็ร้อนขึ้นมาได้ องค์ชายสามผู้นี้ ทำเหมือนคนรอบข้างนั้นโปร่งใสหรืออย่างไร…พ่อบ้านเกาเห็นเช่นนั้น ก็หน้าแดง จึงกำมือขึ้นมากระแอมเบาๆ ส่งสัญญาณให้ชูซย่า ฉิงเสวี่ยและเจินจูถอยออกไป

 

 

หรุ่ยจือยังคงยืนอยู่ด้านหลังเก้าอี้ สวมเสื้อกั๊กยาวตัวตรงคอแหลมสีดอกพุดตาน ดูร่างผอมบางสะสวย ก็ถือว่าเป็นสาวงามวัยย่างรุ่นคนหนึ่ง มองดูคู่ข้าวใหม่ปลามันนั้น บนใบหน้าก็สับสนซับซ้อนนัก ปากเม้มจนเป็นเส้นเดียว ทำเอาคนเดาอารมณ์ความรู้สึกของนางไม่ออก

 

 

หลายวันมานี้คอยรับใช้อยู่ต่อหน้าองค์ชายสาม ถึงแม้เวลาที่อยู่เคียงข้างองค์ชายสามจะมากกว่าพระชายา แต่ทว่า ไม่ว่าจะประทับอยู่ที่ค่ายทหารหรือในห้องหนังสือ นางจะดูไม่ออกได้อย่างไรว่าองค์ชายสามแม้กายอยู่ที่หนึ่งแต่ใจกลับลอยไปยังอีกที่หนึ่ง ฝีพระบาทที่เดินเสด็จกลับจวนในแต่ละวันก็รีบร้อนนัก…ในที่สุดนายก็มีหญิงสาวคอยเคียงข้างแล้ว อีกยังเป็นคนที่เขาหมายปองอีก นางเคยคิดว่าจะยินดีกับนาย แต่จนถึงตอนนี้ ตั้งแต่พระชายาแต่งเข้าเรือนวันแรก นางเพิ่งจะได้รู้ว่า ตนไม่ดีใจเลยสักนิด

 

 

วันนั้นพ่อบ้านเกาได้ทิ้งคำพูดเด็ดขาดเอาไว้ ให้นางกลับไปคิดทั้งคืน พูดจนจิตใจที่สับสนโง่เขลามาตลอดของนางได้สติขึ้นมา

 

 

ตอนนางเข้าจวนฉินอ๋องมาอายุได้เพียงเก้าปี การได้เข้าจวนอ๋องสำหรับตัวนางนั้นเป็นเรื่องที่เกินฝันอย่างยิ่ง

 

 

เหล่าคนรับใช้ในจวนองค์ชาย ปกติแล้วจะเป็นกองกิจการภายในคัดเลือกแล้วส่งตัวมาให้ แต่บ้านนางนั้นกลับเป็นครอบครัวเกษตรกรนอกเมืองหลวงที่เข้ามาจากเมืองติดทะเลทางใต้ อาศัยการทำไร่ทำสวนเลี้ยงชีพ ที่ภูมิลำเนานั้นยากจนข้นแค้นนัก ย้ายเข้ามาชานเมืองหลวงกันทั้งครอบครัวไม่นาน โชคไม่ดี บังเอิญประสบภัยโรคระบาดใหญ่ คนในบ้านติดโรคแล้วตายไปทีละคนจนหมดเหลือเพียงนางผู้เดียว เพียงเรื่องปากท้องนั้นก็เป็นปัญหาแล้ว เนื่องจากอายุไม่มากพอ ถึงแม้จะอยากไปเป็นสาวใช้บ้านครอบครัวใหญ่หรือจะไปล้างจานยกอาหารในโรงเหล้าก็ไม่มีใครเอา

 

 

ในขณะเดียวกันนั้น ทางการก็จับคนในเมืองหลวงที่ติดเชื้อไปไว้ชานเมืองนอกเมืองทุกวัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset