ยอดหญิงอันดับหนึ่ง – ตอนที่ 152.4 สักใบหน้าแก้แค้น กับ ไขความลับ (4)

ฉิงเสวี่ยรีบดึงมุมชายแขนเสื้อของเจินจู  

 

 

สีหน้าของเกาจ๋างสื่อเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินประโยคที่ว่าพระชายาร่วมมือกับล่ามผู้ติดตามของต้าสือ  

 

 

พอเจินจูพูดถึง อวิ๋นหว่านชิ่นก็นึกถึงบางอย่าง “ใช่สิ เรื่องนี้ผ่านไปอย่างราบรื่นก็เพราะความช่วยเหลือของใต้เท้าเฟิ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะท่านถ่วงเวลาฝั่งทูตต้าสือให้ เรื่องนี้คงถูกป่าวประกาศไปนานแล้ว ข้าก็คงไม่มีโอกาสไปตรวจสอบก่อน เกาจ๋างสื่อ ช่วยเตรียมของที่ระลึกท้องถิ่นประจำเย่ว์จิงหลายๆ อย่างหน่อย ห่อให้สวยงาม ส่งไปให้ใต้เท้าเฟิ่งที่ที่พักแล้วขอบคุณแทนข้าทีนะ”  

 

 

เฟิ่งจิ่วหลังเดินทางไปยังอาณาจักรต่างๆ เป็นผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกล ได้ข่าวว่าลูกหลานคนชั้นสูงที่นับถือเขาเป็นพี่เป็นน้องในอาณาจักรต่างๆ มีอยู่เต็มไปหมด คนแบบนี้ มีของดีอะไรบ้างที่ยังไม่เคยเห็น หากให้พวกเพชรพลอยไพลินก็คงดูไร้รสนิยมเกินไป เขาอาจดูถูกได้ สู้ให้ของที่ระลึกประจำท้องถิ่นน่าจะดีกว่า  

 

 

แม้เกาจ๋างสื่อจะไม่ยินดีเป็นธุระให้ก็ตาม แต่เขาก็เอ่ยปากตอบรับอย่างจำใจ  

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นท่าทีไม่อยากไปของเขา นางอดยิ้มไม่ได้และกล่าวว่า “มันเป็นมารยาทพื้นฐานเพื่อการดำรงอยู่ของคนก็เท่านั้นเอง มีอะไรไม่ถูกต้องอย่างนั้นหรือ”  

 

 

เกาจ๋างสื่อรีบตอบกลับว่า “ไม่ได้หมายความว่าพระชายาทำไม่ถูกขอรับ ถึงแม้พระชายาต้องใกล้ชิดกับใต้เท้าเฟิ่งเพราะหน้าที่ ปฏิบัติงานด้วยความเที่ยงตรงอย่างสุดใจ แต่…คนนอกเช่นเขาเป็นคนมีนิสัยแปลกประหลาด เอะอะหอมมืออ้างว่าเป็นประเพณี ใกล้ชิดกับหญิงสาวคล้ายว่าเป็นเรื่องถูกต้อง ข้าคิดว่า ต่อแต่นี้ไปพระชายาควรจะหลีกเลี่ยงสักหน่อยนะขอรับ เรื่องการพาณิชย์หากมีปัญหาอันใดอีก ท่านปล่อยให้หลี่ฝานย่วนไปทำเถอะขอรับ ไม่ต้องทำด้วยตัวเองทุกเรื่องก็ได้ขอรับ”  

 

 

เอาอีกแล้วนะ ช่างเป็นคนหัวโบราณเสียจริง อวิ๋นหว่านชิ่นมองหน้าเกาจ๋างสื่อด้วยแววตาจริงจังและพูดว่า “เกาจ๋างสื่อสบายใจเถิด ต่อแต่นี้ไปจะไม่มีแล้วล่ะ ใต้เท้าเฟิ่งไม่ใช่คนต้าเซวียน หลังจากการพาณิชย์เสร็จสิ้น เขาก็กลับแล้ว”  

 

 

เกาจ๋างสื่อคิดตาม ก็จริงตามที่ว่า จึงรู้สึกโล่งอกไปทีนึง  

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นป้องกันไม่ให้เขาคิดมากอีก จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “แล้วหลังจากที่ท่านหญิงหย่งจยาออกจากวัง นางไปอยู่ที่ใด”  

 

 

เกาจ๋างสื่อนึกคิดพร้อมกับขมวดคิ้วอยู่ครู่หนึ่ง “ได้ยินว่า วันนั้น หลังจากที่ออกจากประตูเจิ้งหยางแล้ว นางไปล้างหน้าล้างตาก่อนที่คูเมือง พอล้างเสร็จ นางเดินไปที่ประตูตัวคนเดียว น่าจะออกจากเมืองไปแล้วขอรับ คนเฝ้าประตูก็คอยมองอยู่ คล้ายว่าจะไปทางทิศเหนือขอรับ”  

 

 

ทางเหนือ? อวิ๋นหว่านชิ่นนึกขึ้นได้บางอย่าง “บุตรคนโตของลี่หยางอ๋องกับภรรยา ยังคงต่อสู้อยู่กับชนเผ่ามองโกลที่อยู่ทางเหนือจนถึงทุกวันนี้ใช่หรือไม่”  

 

 

พอพระชายาถามเช่นนี้ เกาจ๋างสื่อก็เข้าใจทันที ท่านหญิงหย่งจยาซย่าโหวเซวียนคงไปพึ่งพี่ชายคนโตสินะ  

 

 

หรือคิดว่าไม่ใช่ล่ะ ถูกเปลี่ยนสถานะเป็นชาวบ้าน จากที่เคยอยู่อาศัยอย่างสุขสบาย นางจะไปที่ไหนได้อีกเล่า  

 

 

เมื่อก่อน ไล่ออกจากวังอย่างไรก็ไล่ไม่ออก คงรู้ถึงความศิวิไลซ์ของเมืองหลวง ทางเหนือเป็นถิ่นทุรกันดาร แต่วันนี้ไม่มีที่ให้ไปแล้ว ก็คงต้องรีบไปหาพี่ชายอยู่แล้วล่ะ  

 

 

เกาจ๋างสื่อขานตอบ “ขอรับ บุตรคนโตลำดับชั้นซื่ออ๋อง ชื่อเจิน ของลี่หยางอ๋องกับภรรยา ปัจจุบันอยู่ที่เมืองเจียงเป่ยทางเหนือของชิงเหอ ทำหน้าที่รักษาความสงบสุขในแถบเจียงเป่ย เพื่อไม่ให้พวกมองโกลมาราวีและข้ามแดน ด้วยความที่เจียงเป่ยมีชื่อย่อว่าอี๋ ฝ่าบาทจึงทรงสถาปนาพระราชอิสริยศักดิ์ว่าอี๋ขอรับ”  

 

 

บรรดาศักดิ์ชั้นอ๋อง ราชสำนักกำหนดไว้อย่างชัดเจนตั้งแต่ชั้นสูงถึงชั้นล่าง ชั้นเอกคือชินอ๋อง ผู้ซึ่งมีฐานะเป็นพระราชโอรสหรือพระเชษฐา พระอนุชาของฮ่องเต้ ชั้นรองคือซื่ออ๋อง ผู้ซึ่งเป็นบุตรชายผู้สืบทอดในชินอ๋อง ชั้นสามคือท่านชาย โดยรวมถึงบุตรชายในชินอ๋องและอ๋องต่างแซ่ที่มีผลงานยอดเยี่ยมตามเขตเฝ้าระวังต่างๆ   

 

 

อี๋ซื่ออ๋องมีฐานะเป็นบุตชายในอ๋อง ไม่ได้สืบทอดเป็นท่านชาย แต่ได้รับศักดิ์เป็นซื่ออ๋องโดยการสถาปนาพระราชอิสริยศักดิ์โดยตรงจากฮ่องเต้ เห็นได้ชัดว่าได้รับความสำคัญมากเพียงใด  

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นหรี่ตาลง ดูท่าทีแล้วท่านหญิงหย่งจยาอาจจะไปขอพึ่งพี่ชายคนโตจริงๆ  

 

 

คนที่ถูกลดสถานะลงเป็นสามัญชน ก็คือบุคคลที่ขาดความสัมพันธ์กับเชื้อพระวงศ์ ในแผนผังราชวงศ์จะไม่มีบุคคลนี้ดำรงอยู่อีกต่อไป แล้วท่านหญิงหย่งจยาเป็นผู้มีความผิดติดตัว แม้ว่าอี๋ซื่ออ๋องจะไม่รังเกียจในตัวน้องสาว แต่ก็จะรับไว้ดูแลอย่างเป็นทางการมิได้ มิฉะนั้นจะเป็นการกระทำผิดต่อกฎหมายของราชอาณาจักร อย่างมากก็ทำได้เพียงเลี้ยงดูอย่างลับๆ ไม่ให้น้องสาวอดตายเท่านั้น  

 

 

เพียงแต่ว่า ของมีค่าติดตัวท่านหญิงถูกองค์หญิงฉางเล่อยึดไปหมด บนหน้าผากมีร่องรอยการทำโทษแบบสักใบหน้าอีก ระยะทางจากเมืองหลวงถึงเมืองเหนือเจียงเป่ยห่างกันหลายร้อยลี้ หนทางยาวไกล อากาศยิ่งอยู่ก็ยิ่งหนาว ยิ่งใกล้ทางเหนือเท่าไหร่ ลมน้ำค้างยิ่งคมเหมือนมีด อากาศก็ยิ่งหนาวเหน็บไปถึงกระดูกเท่านั้น  

 

 

ทั้งเนื้อทั้งตัวไม่มีเงิน มีเพียงสองขาที่เอาไว้เดินไปยังเจียงเป่ย——ไม่หิวตาย ไม่แข็งตายก็ถือว่าโชคดีแล้ว  

 

 

ท่านหญิงหย่งจยาท่านนี้ ลำบากไม่เบาทีเดียว  

 

 

ภายหลังหนึ่งวันหลังจากมอบของที่ระลึกไปยังที่พักต้าสือแล้ว ก็มีคนมาเยือนที่จวน  

 

 

บริเวณกลางของจวนอ๋อง ภายในห้องโถง อวิ๋นหว่านชิ่นกำลังพูดคุยอยู่กับหมออิง กำลังพูดถึงเรื่องหนูทดลองยาในสวนแอปริคอต  

 

 

และในตอนนั้น เจินจูวิ่งเข้ามาพรวดพราดด้วยใบหน้าที่แดงระรื่อ คล้ายว่าตื่นเต้นมาก “พระชายา แย่แล้วเจ้าค่ะ แย่แล้ว มีแขกมาที่จวนเจ้าค่ะ”  

 

 

อวิ๋นหว่าชิ่นขำ “มีแขกก็มีแขกสิ แย่อะไรกัน เจ้าแห่งสวรรค์เสด็จหรืออย่างไร”  

 

 

เจินจูปาดเหงื่อหนึ่งที “ไม่ใช่เจ้าค่ะ ใต้เท้าเฟิ่งจากต้าสือเจ้าค่ะ พาบ่าวใช้มาด้วย บอกว่าได้รับของขวัญจากพระชายาแล้ว จะขอมามอบของขวัญให้เจ้าค่ะ”  

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นตะลึง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ไม่มีอะไรนิ นางจึงลุกขึ้น “อ่อ งั้นรีบเชิญใต้เท้าเฟิ่งไปที่ห้องรับแขกเร็ว ดูแลให้ดีล่ะ ข้าจะตามไปเดี๋ยวนี้แหละ”  

 

 

เจินจูอ้ำอึ้ง “พระชายา แต่เกาจ๋างสื่อบอกว่าเขาจะเป็นคนไปรับแขกเองเจ้าค่ะ ขอให้พระชายาอย่าออกไปรับด้วยตัวเอง”  

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นหัวเราะ “พูดเป็นเล่น! ในจวนมีเจ้านายแต่ไม่ให้พบแขก หมายความว่าอย่างไร คนภายนอกเห็น อาจคิดว่าคนต้าเซวียนแล้งน้ำใจน่ะสิ”  

 

 

หมออิงหัวเราะแล้วกล่าวว่า “เจินจู เจ้าอายุยังน้อย เหตุใดถึงเป็นคนล้าหลังเหมือนพ่อบ้านแก่เล่า ท่านอ๋องสามไม่อยู่ พระชายาก็คือนาย มีหน้าที่รับผิดชอบทั้งในจวนและนอกจวน วันนี้มีแขกมาเยือน พระชายาหลบซ่อนอยู่ข้างในไม่ยอมพบแขก คนอื่นจะไม่มองว่าคนของจวนฉินอ๋องไม่มีมารยาทเอาหรือ”  

 

 

เจินจูห้ามไม่ไหว ทำได้เพียงมองอวิ๋นหว่านชิ่นเดินกลับเข้าห้องนอนไปเปลี่ยนชุดเพื่อออกไปรับแขก แล้วนางก็พาชูซย่าออกไปยังห้องรับแขก  

 

 

ห้องรับแขกของจวนฉินอ๋องตั้งอยู่ชั้นที่สองของจวนอ๋อง เป็นห้องที่เงียบสงบและตกแต่งอย่างสวยงาม ถือว่าเป็นห้องโถงที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาห้องต่างๆ ของจวนอ๋อง ในวันอภิเษก ฉินอ๋องอยู่รับแขกที่ห้องนี้  

 

 

ก้าวข้ามประตูพระจันทร์แล้ว อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นว่ามีคนต้าสือสันจมูกสูงโด่งยืนอยู่ตรงลานกว้าง ใบหน้าของเกาจ๋างสื่อคล้ำราวกับถูถ่านดำไว้ กำลังยืนมองด้านในอยู่ตรงหน้าประตูห้องรับแขก มีท่าทีอยากจะพูดแต่ก็ไม่พูด คล้ายว่ามีความยากลำบากมาก  

 

 

ชูซย่าส่งเสียงแจ้งออกไป เกาจ๋างสื่อหันมาเห็นอวิ๋นหว่านชิ่น ด้วยใบหน้าที่ตกใจมาก หากจะพูดแบบนั้นก็คงไม่มากเกินไปเท่าไหร่ เขาเดินเข้ามาหาอย่างรวดเร็วและพูดเสียงต่ำว่า “พระชายามาได้อย่างไรขอรับ”  

 

 

วันนี้อวิ๋นหว่านชิ่นคงต้องอบรมนิสัยดื้อรั้นของพ่อบ้านแก่คนนี้เสียแล้วกระมัง “เกาจ๋างสื่อ ถอยออกไป”  

 

 

ถอยออกไป? เป็นไปได้อย่างไร! ถ้าอย่างงั้นจะไม่ทำให้เขาอกสั่นขวัญแขวนหมดหรือ! แค่เฟิ่งจิ่วหลังที่มีรูปร่างต่างจากคนในต้าเซวียน เกาจ๋างสื่อก็รู้สึกไม่เป็นตัวเองมากพอแล้ว หากพูดถึงหน้าตา หน้าตาของเขานั้นน่ากลัวราวกับปีศาจ ท่านอ๋องสามของตนก็สง่างามอยู่เหมือนกัน แต่ท่านอ๋องเก็บเนื้อเก็บตัว มั่นคงกว่าเขามาก ไม่เหมือนชายผู้นี้ ลูกกะตามีสีฟ้าเหมือนอุ้มน้ำเอาไว้ กวัดแกว่งไปมา หากแกว่งสักสองที คงสามารถเกี่ยวเอาใจของหญิงสาวไปได้เลย  

 

 

อย่างไรแล้วก็ไม่เหมือนคนที่น่าไว้ใจ หากใช้พูดแบบชาวฮั่น ชายหนุ่มที่มีหน้าตาแบบนี้ ควรจะมีชื่อว่า คนมักมาก  

 

 

หรือจะมีใครว่าไม่ใช่ พระชายาส่งของที่ระลึกเพื่อแสดงความมีมนุษย์สัมพันธ์ เขามามอบของขวัญตอบแทน หากพระชายารู้สึกเกรงใจ ไม่อยากให้เขารู้สึกเสียเปรียบ ก็ให้คืนอีก แล้วเขาก็จะให้อีก——วนเวียนกันอยู่แบบนี้ แล้วความสัมพันธ์ของสองคนนี้ยังตัดได้อยู่หรือไม่  

Recommended Series

Comment

Options

not work with dark mode
Reset