ยอดหญิงอันดับหนึ่ง – ตอนที่ 156.4 ใกล้เพียงเอื้อมมือ (4)

เว่ยเสียวเถี่ยฉีกยิ้มเห็นฟันขาวใสแล้วหัวเราะออกมา แล้วก็สงสัยอีก อดไม่ได้ที่จะชี้ผมกระจุกหนึ่ง “แล้วผมนี่ ทั้งที่เดิมทีผมดกหนา ทำไมถึงได้บางเพียงนี้”  

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นหัวเราะเล็กน้อย “ผ้าคลุมหัวโปร่งใสใช้ได้เชียวล่ะ!”  

 

 

“ผ้าคลุมหัวหรือ จวนนายอำเภอเจียงมีของสิ่งนี้ด้วยหรือ”  

 

 

“ใช้ผ้าตาข่ายในหมวกขุนนางของเขาแกะออกมา ใช้สีย้อมเป็นสีเนื้อ สวมไว้บนผมให้แน่น แล้วใช้ผมปลอมของฮูหยินเจียงซอยให้บางแล้วสวมลงไป”  

 

 

เช่นนี้นี่เอง เว่ยเสียวเถี่ยวเดาะลิ้น ถึงว่าเปลี่ยนเป็นคนละคนอย่างสิ้นเชิง คนตรงหน้านี้ ไม่เหมือนกับขุนนางน้อยหน้าตาขาวสะอาดที่เจอกันครั้งแรกเลยสักนิด  

 

 

“จริงสิ” ความประหลาดใจของเว่ยเสียวเถี่ยยังไม่หมด เกาหลังคอ สายตาจ้องมองไปที่หน้าอกของอวิ๋นหว่านชิ่น “อย่างอื่นยังพอเข้าใจได้ เนื้อสองสามก้อนตรงหน้าอกหญิงสาวนี้ เจ้าไปเอาจากไหนมากองไว้กัน เหมือนจริงเสียจริง เหมือนจะนุ่มนิ่มด้วย…” พูดอยู่ก็ยกมือขึ้นมา อยากจะยื่นมือเข้าไป ลองเนื้อสัมผัสสักหน่อย ต่างก็เป็นชายกันทั้งนั้น ไม่เป็นอะไรหรอก!  

 

 

เพียะ!  อวิ๋นหว่านชิ่นตีมือเขาอย่างเยือกเย็น “ยัดลูกท้อ!” พูดจบก็หันหลังเดินออกนอกห้องไป  

 

 

ลูกท้อหรือ ฤดูนี้มีลูกท้อด้วยหรือ อีกอย่าง…ลูกท้อตั้งโด่งโค้งนุ่มนิ่มเช่นนี้ด้วยหรือ เว่ยเสียวเถี่ยสงสัย เบะปาก แล้วเดินตามออกไป  

 

 

*  

 

 

เมื่อออกจากเรือนเล็ก เว่ยเสียวเถี่ยไม่รอช้า ตรงไปหาลุงหนิวคนข้างกายหลี่ว์ปา  

 

 

ลุงหนิวได้ยินดังนั้น คาดคิดไว้อยู่แล้ว ก็ส่ายหน้า “จัดเตรียมคนเอาไว้แล้ว พวกเจ้าเพิ่งเข้ามา ไม่ให้พวกเจ้าไปกันหรอก”  

 

 

เว่ยเสียวเถี่ยเติบโตขึ้นได้เพราะมีฟ้าดินเป็นผู้เลี้ยงดู เป็นคนเจ้าเล่ห์เฉลียวฉลาด ย่อมต้องมีวิธีอยู่แล้ว เขาดึงลุงหนิวไว้ “ลุงหนิว ในเมื่อพวกข้ามาหากินกับลูกพี่หลี่ว์ อย่างแรกก็เพื่อกินข้าวอิ่มใส่เสื้อผ้าอุ่น อย่างที่สองก็เพื่ออยากเปิดหูเปิดตาเห็นโลกภายนอก ได้ยินว่าพรุ่งนี้จะได้เจอบุตรของฮ่องเต้ นั่นเป็นบุตรแห่งมังกรเชียวนะ ข้ากับชิ่งเอ๋อร์ชาตินี้ก็คงไม่ได้พบเห็นหรอก อยากจะเห็นเสียหน่อย ลุงหนิวก็ให้พวกข้าตามอยู่ข้างหลัง ไม่เกะกะ คนยิ่งเยอะก็ย่อมยิ่งดีแน่นอน พวกเราคนเยอะ ไปถึงที่นั่นก็เพิ่มพลังอำนาจได้!”  

 

 

ลุงหนิวหัวเราะกล่าว “เด็กน้อยอย่างพวกเจ้าสองคนนี่หรือจะเพิ่มพลังอำนาจได้ เกรงว่าถึงเวลาจะทำพวกเจ้าตกใจจนฉี่ราดละสิ” ถึงจะพูดเช่นนั้น แต่เมื่อคิดดูแล้วก็จริงดังว่า ยิ่งคนเยอะก็ยิ่งเพิ่มความเอิกเกริก อย่างไรเสียก็แค่เพิ่มคนติดตามอีกเพียงสองคน ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ไตร่ตรองอยู่ไม่นาน ลุงหนิวก็กล่าว “ได้ เช่นนั้นพรุ่งนี้พวกเจ้ามาหาข้า ตามอยู่ด้านหลังเป็นพอ”  

 

 

เว่ยเสียวเถี่ยดีใจใหญ่ จิบเหล้าเป็นเพื่อนลุงหนิวสองสามอึกแล้วกลับไป  

 

 

เช้าวันรุ่งขึ้น อวิ๋นหว่านชิ่นตามเว่ยเสียวเถี่ยไปที่ห้องโถงหลักในจวน ถึงแม้จะยังแต่งตัวเป็นชุดผ้าหยาบของหญิงสาว แต่ก็ใส่หมวกน้อยใบหนึ่ง เกล้าผมขึ้น เพื่อสะดวกแก่การเดินเท้า เห็นกลุ่มผ้าเหลืองที่ติดตามไปกำลังฟังคำสั่งของหลี่ว์ปาอยู่ในห้องโถง ก็เข้าไปยืนอยู่ในกลุ่มคนนั้นด้วย  

 

 

เมื่อตะวันลอยขึ้น ชายฉกรรจ์สองคนกุมตัวชายวัยกลางคนคนหนึ่งออกมา ชายผู้นั้นสวมชุดนวมปุยฝ้าย หน้าอกมีลายชุดขุนนาง สวมหมวกสี่เหลี่ยม ผิวขาวสะอาด มองดูก็รู้ว่าเป็นขุนนางรับใช้ในจวนผู้ว่าที่หนีไปไม่ทัน และเป็นตัวประกันที่นำมาแลกกับเสบียงในวันนี้ด้วย  

 

 

เมื่อชายวัยกลางคนถูกกุมตัวมา เห็นหน้าอันโหดร้ายของหลี่ว์ปาก็ขาอ่อนสั่นเทา แล้วก็คุกเข่าลง “ไว้ชีวิตด้วย ไว้ชีวิตด้วย!”  

 

 

หลี่ว์ปาหัวเราะออกมา แล้วก็เพิ่มความฮึกเหิมของกองทัพตนไปด้วย “พวกเจ้าดูสิ ขุนนางราชสำนัก สภาพเป็นเช่นนี้แหล่ะ!” แล้วมองไปทางชายผู้นี้ที่ตกใจจนฉี่ราด กล่าวอย่างเหยียดหยาม “เจ้าวางใจได้ พวกข้าไม่ฆ่าเจ้าหรอก วันนี้พวกข้ายังจะต้องเอาเจ้าไปแลกกับเสบียงห้าสิบหาบ!”  

 

 

ทุกคนในห้องโถงต่างก็หัวเราะขึ้นมา  

 

 

ชายวัยกลางคนโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็เหมือนว่าจะไม่กล้าเชื่อ “ฉินอ๋อง…จะใช้เสบียงมาแลกกับข้าจริงหรือ”  

 

 

หลี่ว์ปาเห็นสภาพน่าสมเพชของเขา ยิ่งหัวเราะใหญ่ “เจ้าวางใจได้! องค์ชายสามของพวกเจ้า ก็ไร้ความสามารถพอๆ กับเจ้านี่ล่ะ แค่เพียงเสนอไปก็ตอบตกลงแล้ว!”  

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นแอบเอ่ยถาม จึงได้รู้ว่าชายผู้นี้เป็นปลัดเมืองชีข้างกายข้าหลวงสวีแห่งเมืองเยี่ยนหยาง  

 

 

ปลัดเมืองเป็นขุนนางผู้ช่วยข้างกายข้าหลวง ช่วยเหลือผู้ว่าการเมืองในการขนส่งเสบียง การเพาะปลูก การชลประธาน การฟ้องร้องคดีต่างๆ ของเมือง ทั้งยังมีหน้าที่เป็นหัวหน้าผู้ตรวจการ ขุนนางระดับห้า ในท้องถิ่นก็ถือว่าเป็นตำแหน่งที่สำคัญ อำนาจใหญ่ มิน่าล่ะถึงถูกนำมาแลกกับเสบียง  

 

 

ขุนนางระดับห้า แลกกับข้าวสารกับแป้งห้าสิบหาบ ก็ถือว่าคุ้มค่า  

 

 

เพียงแต่ ไม่คิดว่าปลัดชีจะใจเสาะดั่งหนูเช่นนี้  

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นสายตาคร่ำเครียด การกลัวความตายเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ เพียงแต่อย่างไรเสียเขาก็เป็นขุนนางในราชสำนัก ในเมื่อบนบ่าต้องแบกรับความรับผิดชอบมากกว่าชาวบ้านทั่วไป ในเวลาเช่นนี้แม้ไม่ออกมาต่อต้านกลุ่มผ้าเหลือง แต่อย่างน้อยก็จะเป็นสภาพน่าสมเพชเช่นนี้ไม่ได้ ช่างน่าขายหน้านัก  

 

 

เมื่อใกล้ถึงเวลาแล้ว หลี่ว์ปาก็นำขบวนออกจากประตูใหญ่จวนผู้ว่า เดินไปทางพื้นที่ว่างชานเมืองทางเหนือ  

 

 

…  

 

 

ณ พื้นที่ว่างชานเมืองทางเหนือ อากาศหนาวเหน็บ พื้นที่กว้างขวาง บรรยากาศดูน่ากระวนกระวายใจ  

 

 

เมื่อพวกหลี่ว์ปามาถึง บนพื้นที่ว่างเปล่านั้นก็มีคนของค่ายบัญชาการประจำการอยู่แล้ว  

 

 

ทหารของราชสำนักกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ในพื้นที่ว่างนั้น นายพลทหารที่ฐานะสูงกว่าอย่างเห็นได้ชัดนั่งอยู่บนม้า  

 

 

บนอานม้าตรงกลางนั้น มีชายหนุ่มเสื้อกั๊กปุยฝ้ายสีม่วงทอง บนไหล่คลุมด้วยเสื้อคลุมสีเข้ม ผมดกดำมัดไว้บนศีรษะอย่างเรียบง่าย นั่งอยู่บนอานดิ้นทอง มือกุมบังเหียน สายตาเพ่งไปด้านหน้า  

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นยืนอยู่หลังกลุ่มคนฝั่งหลี่ว์ปา เห็นเพียงโครงหน้า แต่กลับรู้ได้ว่านั่นคือฉินอ๋อง ในใจก็อดไม่ได้ที่จะหวั่นไหว เขย่งเท้ามองออกไป ได้ยินเว่ยเสียวเถี่ยกล่าวเสียงแผ่วเบา “…คนนั้นก็คือองค์ชายสามหรือ”  

 

 

ยังไม่ทันได้ตอบกลับ ก็ได้ยินเสียงหลี่ว์ปาลอยมาจากด้านหน้า “ใครก็ได้ คุมตัวออกไป!”  

 

 

กลุ่มผ้าเหลืองสองคนลากตัวปลัดชีออกมา หลี่ว์ปาใช้ปลายด้ามดาบทิ่มหลังปลัดชี แล้วกล่าวว่า “เป็นอย่างไร ข้าวสารและแป้งเตรียมมาพร้อมหรือยัง พร้อมแล้วข้ายื่นคน เจ้ายื่นของได้เลย”  

 

 

ปลัดชีรู้สึกว่ามีของแข็งเย็นเยือกดันเอวของตนอยู่ ตกใจจนขาอ่อน ถึงแม้จะอยู่ต่อหน้าองค์ชายและขุนนาง ไม่กล้าที่จะคุกเข่าลงร้องขอชีวิตอีก แต่ก็เนื้อตัวสั่นเทา ท่าทางหวาดกลัว คนทั้งสองฝั่งนั้นต่างก็เห็นกัน  

 

 

เสียงเรียบๆ ของผู้เฒ่าเถียนดังขึ้น เยาะเย้ยว่า “ปลัดชียังเดินได้อยู่หรือไม่”  

 

 

“ฮ่าๆ ปลัดชี ไม่ต้องกลัวแล้ว จะได้กลับบ้านแล้ว! เด็กดี!” หลี่ว์ปาหัวเราะขึ้นมา กลุ่มผ้าเหลืองก็หัวเราะเสียงกึกก้องตาม  

 

 

เหล่าแม่ทัพทหารของฝั่งค่ายบัญชาการชั่วคราวสีหน้าแดงก่ำ โมโหสุดขีด เงยหน้าไปมองฉินอ๋องบนอานม้า  

 

 

สีหน้าซย่าโหวซื่อถิงไม่ได้มีความหวั่นไหวใด มือที่กำบังเหียนยกขึ้น กีบม้าขยับเล็กน้อย ส่ายกับที่ไปสองรอบ ชักกระบี่ติดตัวออกมา ปลายกระบี่ชี้ไปทางด้านหน้า น้ำเสียงเรียบสงบ “ข้าวสาร แป้ง ห้าสิบหาบ”  

 

 

บนพื้นด้านหน้า มีข้าวสารและแป้งห้าสิบหาบวางอยู่ ใช้ลังไม้สีเข้มลังสูงใหญ่ใส่เอาไว้  

 

 

รอยยิ้มของหลี่ว์ปาค้างชะงักไป องค์ชายสามผู้นี้ช่างนิ่งสงบนัก หัวเราะเยาะเย้ยเช่นนี้ยังไม่มีการตอบสนองใด ยิ่งเห็นว่าเขาพูดง่ายเช่นนี้ ไม่ต่อรองใดๆ กลับคิดสงสัยขึ้นมา มองดูข้าวสารและแป้งห้าสิบหาบนั้น ขมวดคิ้ว แล้วหันไปมองตากับผู้เฒ่าเถียน  

 

 

ผู้เฒ่าเถียนรู้ทันทีถึงความกังวลของหลี่ว์ปา กล่าวเสียงแผ่วเบา “ระวังมีกับดัก”  

 

 

ฝั่งตรงข้าม ซย่าโหวซื่อถิงเหมือนว่าจะคาดเดาความคิดของฝั่งตรงข้ามได้ บนโครงหน้าที่งดงามเย็นชาดั่งรูปปั้นเหล็ก ยกริมฝีปากอันเรียวบางเล็กน้อย “ไม่วางใจหรือ ต้องการส่งคนมาตรวจของก่อนหรือไม่”  

Comment

Options

not work with dark mode
Reset