ยามดอกวสันต์ผลิบาน – ตอนที่ 10 พี่สาวน้องสาว

โจวเสาจิ่นเลือกจะไม่สนใจอู๋เป่าจาง  

 

 

อู๋เป่าจางกลับไม่ได้ใส่ใจ  

 

 

เด็กสาวจากตระกูลผู้ดีที่ยังไม่เคยเห็นโลกกว้างมาก่อนยามอยู่ต่อหน้าคนแปลกหน้ามักจะขี้อาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณหนูรองโจวที่อาศัยอยู่ใต้ชายคาผู้อื่นเช่นนี้ เกรงว่ายิ่งขลาดกลัวและระมัดระวัง ไม่กล้าก้าวพลาดแม้สักก้าวเดียว  

 

 

นางพูดกับโจวเสาจิ่นต่อ “คุณหนูรอง ข้าเพิ่งมาจากบ้านเดิมที่เหมียนหยางแห่งซื่อชวน เป็นครั้งแรกที่ข้าได้ออกนอกเมือง เห็นอะไรก็ล้วนรู้สึกตื่นตาตื่นใจทั้งยังแปลกใหม่ ข้าได้ยินเกี่ยวกับธรรมเนียมเก่าแก่ของจินหลิงมาว่า ในช่วงเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่างจะนำกระเทียมใส่ลงไปในหม้อต้มจนสุกแล้วให้เด็กกิน เด็กหนึ่งคนกินหนึ่งหัว กินแล้วจะไม่เป็นโรคบิดในฤดูร้อน และไม่มีพยาธิในท้อง จริงหรือไม่”  

 

 

โจวเสาจิ่นแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน  

 

 

หัวคิ้วของอู๋เป่าจางขมวดขึ้นเล็กน้อย  

 

 

คุณหนูรองผู้นี้เป็นอะไรกันแน่?  

 

 

ตั้งแต่ที่นางเดินเข้าประตูมาจนถึงตอนนี้นางยังไม่ได้ยินเสียงพูดของคุณหนูรองผู้นี้แม้สักประโยคเดียว หรือว่าจะเป็นใบ้?  

 

 

แต่ว่านางไม่เคยได้ยินใครพูดมาก่อน…  

 

 

อู๋เป่าจางคิดแล้วคิดอีก กล่าวขึ้นอีกว่า “ตอนที่ข้าเข้าประตูมานั้นเห็นต้นไม้ลำต้นขนาดสองคนโอบรอบปลูกอยู่ข้างภูผาไท่หู กิ่งก้านใบเขียวชอุ่มอุดมสมบูรณ์ ยอดต้นไม้นั้นเกรงว่าจะสูงถึงหนึ่งจั้ง  [1]  ของพื้นดิน เจ้าทราบหรือไม่ว่านั่นคือต้นอะไร”  

 

 

โจวเสาจิ่นไม่สนใจนางเช่นเดิม  

 

 

อู๋เป่าจางมึนงงเล็กน้อยและไม่รู้จะทำอย่างไรต่อดี  

 

 

นางไม่เคยพบเจอคนเช่นนี้มาก่อน  

 

 

ทันใดนั้นก็มีเสียงหัวเราะอย่างไม่ปิดบังดังมาจากด้านหลัง  

 

 

อู๋เป่าจางหน้าเขียวครึ้ม  

 

 

นางหันศีรษะกลับไป พบว่าเป็นน้องสาวต่างมารดาของตนเอง น้องสามอู๋เป่าจือ  

 

 

ใบหน้าของอู๋เป่าจือเต็มไปด้วยการเยาะเย้ยถากถาง เอ่ยเสียงเบา “พี่ใหญ่ ผู้อื่นเขาไม่อยากสนทนากับท่าน ท่านก็อย่าฝืนเลย จะได้ไม่เป็นการทำลายชื่อเสียงอันดีงามของท่าน”  

 

 

เส้นเลือดตรงขมับของอู๋เป่าจางนูนชัดขึ้น ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้ายังคงอ่อนโยนเช่นเดิม กล่าวอย่างขุ่นเคืองว่า “เป่าจือ ดูเจ้าสิกล่าวถ้อยคำอะไรออกมา ช่างไม่กลัวคนอื่นจะหัวเราะเยาะเอาได้” จากนั้นก็ยืดคอหันไปมองทางฮูหยินผู้เฒ่ากวนและฮูหยินอู๋ กล่าวขึ้นว่า “ท่านแม่และนายหญิงผู้เฒ่าเดินไปเกือบจะถึงศาลาริมน้ำแล้ว พวกเราเองก็ต้องรีบสักหน่อยถึงจะถูก” กล่าวจบ ก็รีบเดินผ่านโจวเสาจิ่น แล้วก้าวเท้ามุ่งหน้าไปทางฮูหยินผู้เฒ่ากวนและฮูหยินอู๋อย่างรวดเร็ว  

 

 

อู๋เป่าจือร้อง ‘เฮอะ’ อย่างเย็นชาเสียงหนึ่ง หันหน้ากลับมาที่โจวเสาจิ่นด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร กล่าวขึ้นว่า “เจ้าไม่ต้องสนใจนาง นางก็เป็นเช่นนี้ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร มักจะคิดว่านางให้ความสนใจผู้อื่น ผู้อื่นก็จะต้องให้ความสนใจนางเช่นกัน” จากนั้นถามนางอย่างอยากรู้อยากเห็นว่า “ปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่หรือ ดูแล้วเหมือนกับว่าจะอ่อนกว่าข้าอย่างไรอย่างนั้น”  

 

 

นางและพี่สาวแท้ๆ ของนาง อู๋เป่าหวานั้นคล้ายกันราวกับออกมาจากพิมพ์เดียวกัน หน้าตา รูปร่าง ท่าทางล้วนถอดแบบมาจากฮูหยินอู๋ ธรรมดาสามัญยิ่ง ทว่าสีผิวกลับเหมือนกับของอู๋เป่าจาง ขาวราวหิมะ ขาวใสและเนียนละเอียด เห็นได้ชัดว่าได้รับถ่ายทอดมาจากคนตระกูลอู๋ ส่วนนี้ทำให้พวกนางดูงดงามกว่าฮูหยินอู๋อยู่หลายส่วน พ้นจากการถูกเข้าใจว่าเป็นรูปโฉมของคนวัยกลางคน  

 

 

อย่างไรก็ตาม พี่น้องตระกูลอู๋นี้ก็ไม่ใช่คนดีอะไร  

 

 

ในชาติก่อน พวกนางเปิดศึกซึ่งหน้ากับอู๋เป่าจางไม่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นอู๋เป่าจางยังต้องเจ็บช้ำน้ำใจอยู่ภายใต้เงื้อมมือของพวกนางสองพี่น้องหลายต่อหลายครั้ง  

 

 

โจวเสาจิ่นไม่อยากจะสนใจนางเช่นกัน  

 

 

ทว่าเมื่อนางพบว่าอู๋เป่าจางที่เดินอยู่ด้านหน้าของพวกนางนั้นกำลังเงี่ยหูฟังนางกับอู๋เป่าจือคุยกัน นางพลันเปลี่ยนความคิด หันไปยิ้มให้อู๋เป่าจือ กล่าวเสียงเบาว่า “ข้าเกิดปีเจี่ยเซิน”  

 

 

รอยยิ้มนั้นราวกับแสงแดดอบอุ่นในฤดูใบไม้ผลิ ที่ค่อยๆ เติมความมีชีวิตชีวาแก่มุมตาและหัวคิ้วของนาง ทำให้นางราวกับลมในฤดูใบไม้ผลิที่โบกพัดต้นหลัวให้พลิ้วอ่อนขึ้นมาอย่างคาดไม่ถึง  

 

 

อู๋เป่าจือตะลึงงัน อุทานขึ้นมาว่า “เจ้างดงามยิ่งนัก!”  

 

 

จริงหรือ  

 

 

โจวเสาจิ่นอดไม่ได้ขมวดคิ้วขึ้น  

 

 

เฉิงสวี่…ตอนที่ดื่มเหล้าเมามายนั้นก็เพ้อเช่นนี้  

 

 

นางในภายหลังจึงรังเกียจความงามของตัวเองนัก  

 

 

หากว่านางไม่งดงาม คงจะไม่ต้องพบเจอกับเรื่องเลวทรามเช่นนั้นใช่หรือไม่  

 

 

นางมักจะถามตัวเองบ่อยๆ หลังจากที่ตื่นขึ้นมาจากฝันร้าย แต่ก็ไม่อาจหาคำตอบได้ ทำได้เพียงไม่แต่งหน้าทาปากอีกนับจากนี้เป็นต้นไป หนีให้ไกลจากเครื่องแป้งประทินโฉมเหล่านั้น  

 

 

โจวเสาจิ่นก้มหน้าก้มตาลงเล็กน้อย ในใจพลันหนาวเยือก ไม่มีความอยากจะสนทนาอีก หมุนตัวเดินไปข้างหน้า  

 

 

อู๋เป่าจือจ้องตาไม่กระพริบพูดไม่ออก ไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรให้โจวเสาจิ่นไม่พอใจ  

 

 

นางอยู่ที่บ้านก็เป็นที่รักและโปรดปราน นึกถึงว่านี่เป็นครั้งแรกที่ตนเองชื่นชมรูปโฉมของผู้อื่นอย่างจริงใจเช่นนี้ ฝ่ายตรงข้ามไม่เพียงไม่ชอบ ยังเดินหนีไปอีก พลันรู้สึกไม่พอใจยิ่ง คิ้วขมวดจนเป็นปม ตัดสินใจว่าจะต่างคนต่างเดินกับโจวเสาจิ่น แต่เมื่อหางตาเหลือบไปเห็นอู๋เป่าจางที่หันศีรษะกลับมาชำเลืองมองนางอย่างรวดเร็วครั้งหนึ่ง ในใจนางร้องเตือน ครุ่นคิด จึงข่มอารมณ์โกรธไว้ก่อน แล้วหัวเราะร่าไล่กวดโจวเสาจิ่นไป ฝืนดึงแขนของโจวเสาจิ่นเอาไว้ แสร้งทำท่าทีกระโดดโลดเต้นอย่างยินดีพลางยิ้มและเอ่ยขึ้นว่า “พี่สาว ข้าพูดอะไรผิดไปทำให้ท่านไม่พอใจใช่หรือไม่ ข้าต้องขออภัยพี่สาวด้วย! พี่สาวอย่าโกรธข้าเลย!” ไม่รอให้โจวเสาจิ่นได้พูด ก็เอ่ยขึ้นมาอีกว่า “พี่สาว ข้าเกิดปีอี๋โหย่ว อ่อนกว่าท่านหนึ่งปี พี่รองของข้าเกิดปีกุ่ยเว่ย แก่กว่าพี่สาวหนึ่งปี พวกข้าเพิ่งมาถึงจินหลิงเมื่อเดือนสิบเอ็ดของปีก่อน ท่านแม่รั้งให้อยู่แต่ในจวนทำงานเย็บปักถักร้อยทุกวัน น่าเบื่อยิ่งนัก หากว่ามีตรงไหนที่ข้าไร้มารยาท พี่สาวอย่าถือสาข้าเลย”  

 

 

คำพูดของอู๋เป่าจือทั้งร้อนรนทั้งรีบร้อน ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ากวนและคนอื่นๆ ที่เดินอยู่ข้างหน้าหันศีรษะกลับมาทีละคน  

 

 

สีหน้าของโจวชูจิ่นดูเป็นกังวล ทั้งกังวลว่าคุณหนูโจวเสาจิ่นจะระเบิดอารมณ์โกรธออกมาโดยไม่คำนึงถึงสถานการณ์ ทำให้แขกขุ่นเคืองใจ ทั้งกังวลว่านางนั้นไม่เก่งเรื่องการใช้ถ้อยคำ ถูกคุณหนูสามของตระกูลอู๋ผู้นี้รังแก ทว่ากลับถูกคนอื่นหวดตีอีกหนึ่งรอบ  

 

 

โจวเสาจิ่นอดไม่ได้รู้สึกขุ่นเคืองอู๋เป่าจือที่ชอบกวนน้ำให้ขุ่นผู้นี้ แต่ว่านางเป็นคนที่ไม่เก่งโต้เถียงกับผู้คน โดยเฉพาะในยามที่กำลังร้อนรน นางยิ่งพูดอะไรไม่ออก ขอบตาของนางแดง ดูแล้วดวงตาเกือบจะหลั่งน้ำตาออกมา ทว่าใบหน้าที่ดูน่าเอ็นดูและแววตาของอู๋เป่าจือมีความพึงพอใจพาดผ่าน ทำให้นางฝืนดึงน้ำตากลับไป ใบหน้าแดงก่ำอย่างโกรธเคือง  

 

 

ในชาติก่อน นางก็โต้เถียงไม่เป็น ถึงได้ถูกเฉิงเจียข่มทุกอย่าง  

 

 

ชาตินี้ยังจะเดินบนทางเดิมของชาติที่แล้วอีกหรือ  

 

 

ยิ่งไปกว่านั้นเด็กสาวตรงหน้าผู้นี้อ่อนกว่านางหนึ่งปี หากว่านางถูกเด็กสาวเพียงคนเดียวทำให้โกรธจนพูดไม่ออกเช่นนี้ จะมีหน้าไปสู้หน้าพี่สาวที่ใส่ใจและรักนางมาตลอดได้อย่างไร  

 

 

นางกัดริมฝีปาก พอรู้สึกดีขึ้นสักหน่อยแล้วถึงหาเสียงของตัวเองเจอ กล่าวขึ้นว่า “ข้าจะโกรธเจ้าได้อย่างไร หากเจ้ามีอะไรที่ไม่ประสา ข้าย่อมจะบอกกล่าวเจ้า เจ้าไม่ต้องเกรงใจข้าเช่นนี้!” กล่าวจบ รู้สึกว่าคำพูดของตัวเองครั้งนี้นับได้ว่าพูดได้อย่างมีเหตุผลและมีความอดทนอดกลั้น ยังตอบกลับไปอีกประโยคอย่างใจกล้าว่า “เจ้ากล่าวเช่นนี้ ทำให้รู้สึกว่าระหว่างเจ้าและข้าห่างเหินเกินไปแล้ว!”  

 

 

ดวงตาของอู๋เป่าจือเบิกกว้างขึ้น  

 

 

เด็กสาวตรงหน้าผู้นี้ดูอ่อนแอราวกับดอกไม้ก็ไม่ปาน ใครจะรู้ว่าพูดแต่ละคำทำแต่ละอย่างออกมากลับราวกับเข็มที่ซ่อนอยู่ในเนื้อผ้าไหม ทิ่มแทงนางอย่างสาหัส  

 

 

นางอ้าปากหมายจะโต้เถียงกับโจวเสาจิ่นสักครั้ง แต่เมื่อเห็นพี่สาวอู๋เป่าหวาดูดุดันพร้อมด้วยสายตาที่แฝงไว้ด้วยสัญญาณเตือนอยู่หลายส่วนแล้ว นางจำต้องรีบถอยทัพออกมาก่อนอย่างไม่ยินดี ประดิษฐ์รอยยิ้มเสแสร้งหันไปทางโจวเสาจิ่นแล้วยิ้มกว้างขึ้น ในที่สุดก็จบเรื่องนี้ลงได้  

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนหัวเราะร่าสองทีราวกับไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นอย่างไรอย่างนั้น  

 

 

ทว่าหลังจากที่ส่งฮูหยินอู๋จากไปแล้ว ท่านยายกลับดึงมือของโจวเสาจิ่นเอาไว้ แล้วกล่าวชมว่า “ต่อจากนี้ก็ควรทำเช่นนี้! เจอเรื่องอะไรก็ต้องส่งเสียงดังออกมา เด็กสาวไม่ว่าบ้านไหน ตนเองต้องเจ็บช้ำน้ำใจ หากยังยอมกล้ำกลืนฝืนทนคำดูถูกอยู่ตลอดเวลา บางครั้งถูกฉีกกระดูกเขมือบเข้าท้องไปแล้ว ยังโดนรังเกียจว่ารสชาติไม่ดีอีก”  

 

 

น้ำตาของโจวเสาจิ่นรื้นขึ้นสักครู่ก็ไหลออกมา  

 

 

คำพูดของท่านยายสะกิดใจของนาง  

 

 

ในชาติก่อน ทั้งๆ ที่เป็นนางที่ถูกเฉิงสวี่ทำลายเกียรติ แต่มารดาของเฉิงสวี่กลับกล่าวหาว่าเป็นนางที่ยั่วยุและล่อลวงเฉิงสวี่ คนจากจวนสองและจวนสามล้วนเงียบไม่พูดอะไร มีเพียงท่านยายที่ตั้งแต่ต้นจนจบไม่ได้ถามนางแม้สักประโยค ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบล้วนไม่เคยสงสัยในตัวนาง  

 

 

นางคุกเข่าหมอบอยู่บนตักของฮูหยินผู้เฒ่ากวน ร้องไห้โฮออกมาอย่างหนัก  

 

 

ความเศร้าสุดจะพรรณนาได้เอ่อออกมาจากใจของโจวชูจิ่น สะอึกสะอื้นน้ำตาไหลตามไปด้วย  

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนเองก็ขอบตาชื้น ลูบโจวเสาจิ่นพลางกล่าวว่า “เด็กดี ไม่ต้องร้องแล้ว! ชีวิตของคนบนโลกนี้ไม่ง่ายดายนัก พวกเราที่เป็นผู้หญิงยิ่งไม่ง่าย หากเจ้าไม่ลุกขึ้นมาด้วยตัวเอง ใครช่วยเจ้าก็ไม่มีประโยชน์ เจ้าต้องจำคำประโยคนี้ของยายเอาไว้ให้ดี!”  

 

 

โจวเสาจิ่นสะอื้นไห้จนไม่อาจเปล่งคำพูดออกมา พยักหน้ารับด้วยน้ำตานองใบหน้า  

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดน้ำตาให้นาง พลางกล่าว “เอาล่ะๆ ไม่ร้องแล้ว ดูใบหน้าเล็กงดงามนี้สิ ร้องไห้เลอะจนไม่น่าดูแล้ว” จากนั้นหยิบขนมหวานชิ้นหนึ่งยัดส่งให้นาง “เด็กดี เชื่อฟัง!”  

 

 

โจวเสาจิ่นถือขนมหวานเอาไว้ ร้องไห้หนักยิ่งกว่าเดิม  

 

 

บ่าวรับใช้ในห้องทุกคนต่างซ่อนใบหน้า  

 

 

โจวชูจิ่นรีบขยับขึ้นไปด้านหน้าปลอบโยนน้องสาว สักครู่ใหญ่ โจวเสาจิ่นถึงได้ค่อยๆ หยุดเสียงร้องไห้ลง ดวงตาจมูกแดงก่ำกล่าวขอโทษฮูหยินผู้เฒ่ากวน “…เป็นเหตุให้ท่านยายต้องเจ็บปวดใจตามไปด้วย!”  

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนไม่เห็นด้วย หัวเราะพลางกล่าว “ได้ร้องไห้แล้ว อารมณ์ดีขึ้นบ้างแล้วหรือยัง รีบกลับห้องไปนอนสักตื่น ตื่นขึ้นมาอะไรก็ลืมหมดแล้ว”  

 

 

โจวเสาจิ่นพยักหน้า ดวงตาจมูกที่แดงก่ำยังคลอไปด้วยน้ำตา กลับเรือนหว่านเซียงไปกับพี่สาว  

 

 

โจวชูจิ่นเอ่ยถามนาง “เหตุใดเจ้าถึงร้องไห้อย่างหนักเช่นนี้”  

 

 

“ข้าก็ไม่ทราบเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นกล่าวขณะที่ซือเซียงกำลังใช้ไข่ไก่ต้มสุกช่วยนางประคบดวงตา “เพียงได้ฟังท่านยายกล่าวเช่นนั้น ก็ร้องไห้ออกมาเจ้าค่ะ”  

 

 

โจวชูจิ่นเห็นว่าถามไปก็ไม่ได้อะไรออกมา คิดว่าต่อไปตนเองเพียงต้องดูแลน้องสาวให้มากขึ้นหน่อย ย่อมสามารถทราบได้ว่าสิ่งที่น้องสาวบอกมานั้นจริงหรือไม่  

 

 

กลางคืนนางนอนเป็นเพื่อนโจวเสาจิ่น  

 

 

กลางดึกสงัด โจวเสาจิ่นกลับไปยังอดีต  

 

 

หยวนซื่อเลิกคิ้วขึ้น ใบหน้าดุดัน เกลียดชังถึงขนาดสามารถเขมือบนางลงไปได้ในคำเดียว เค้นถามนางเสียงดุดันว่า “ใครให้เจ้าทำเช่นนี้ เจ้าทำเช่นนี้แล้วเจ้าได้ประโยชน์อะไร บิดาของเจ้าดีชั่วก็เป็นถึงเจ้าเมืองยศผิ่นชั้นสี่ขั้นเจิ้ง ทำไมแม้แต่เกียรติสักนิดเจ้าก็ไม่รักษาไว้ ข้ากับบิดาของเขาได้ตกลงกับนายท่านหมิ่นเอาไว้ตั้งนานแล้ว ให้คุณชายใหญ่ของพวกข้าได้ทำความรู้จักกับคุณหนูใหญ่ของพวกเขา เจ้าทำเช่นนี้ ไร้ซึ่งธรรมเนียมที่ถูกต้อง ทำลายวาสนาชีวิตคู่ของผู้อื่น”  

 

 

ท่านป้าใหญ่เหมี่ยนกระโดดพรวดขึ้นมา ใบหน้ากลมนั้นเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ ชี้หยวนซื่อพลางกล่าว “ท่านกล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร เสาจิ่นของพวกข้าเป็นคนเช่นไร ผู้อื่นไม่ทราบ ไม่คิดว่าคนตระกูลเฉิงเองก็ไม่ทราบเช่นนั้นหรือ ท่านกล่าวถ้อยคำไร้เหตุผลเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร หลอกให้ข้ายกย่องท่านว่าเป็นคุณหนูจากตระกูลเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองมาทุกวัน ทว่าแท้จริงแล้วแววตาสักนิดก็ไม่มี! เป็นคุณชายใหญ่ของพวกเจ้าขืนใจทำลายเกียรติเสาจิ่นของพวกข้าหรือเป็นเสาจิ่นของพวกข้าล่อลวงคุณชายใหญ่ของพวกเจ้า หากวันนี้ไม่พูดกันให้ชัดเจน ข้ากับเจ้าก็ไม่อาจปล่อยให้มันจบลงได้”  

 

 

เฉิงสวี่ที่ถูกเรียกว่า ‘คุณชายใหญ่’ ถูกมามาสองคนของหยวนซื่อจับเอาไว้ สายตาเซื่องซืม ปากพึมพำไม่หยุดว่า “ท่านหลอกข้า! ท่านหลอกข้า! ท่านบอกว่าหากข้าสอบได้เจี้ยหยวนแล้ว ท่านจะสู่ขอเสาจิ่นให้ข้า ข้าไม่ต้องการใครทั้งนั้น ข้าต้องการเพียงเสาจิ่น”  

 

 

คนรอบข้างล้วนมองพวกนางอย่างเย็นชาไม่แยแส  

 

 

สายตาราวกับหนามแหลม  

 

 

ราวกับกำลังดูละครตลกฉากหนึ่ง  

 

 

ละครเปลี่ยนฉากไป  

 

 

นางนั่งอย่างเงียบเชียบอยู่บนตั่งทรงกระบอกกลมทาด้วยน้ำมันเคลือบสีดำสลักลายดอกเหมยบานต้อนรับฤดูใบไม้ผลิเลี่ยมเงินตัวหนึ่ง สายตาที่หยวนซื่อมองนางนั้นราวกับนางเป็นตัวโสโครกที่ไม่อาจทนได้ ต้องฝืนทนอย่างอดกลั้นและรังเกียจ น้ำเสียงเย็นชาราวกับลูกเห็บ บดขยี้หัวใจของนางคำแล้วคำเล่า “…ในเมื่อเจ้าทะเยอทะยานอยากจะแต่งเข้ามาในจวนพวกข้า เช่นนั้นก็ต้องทำตามกฎของจวนพวกข้า เรื่องอื่นข้าจะไม่กล่าวถึงแล้ว ทว่า ‘บริสุทธิ์และสะอาด’ สองคำนี้ต้องพูดกับเจ้าให้เข้าใจ…เจ้าไม่สามารถนำบ่าวรับใช้ข้างกายของตัวเองแม้สักคนเข้ามาได้ บ่าวรับใช้เฝ้าเรือนต่างๆ ข้าจะจัดเตรียมให้เอง…หากไม่ได้รับอนุญาตจากข้า จะเข้าออกจากเรือนที่เจ้าอาศัยอยู่อย่างตามใจชอบไม่ได้ หากไม่ได้รับอนุญาตจากข้า จะพูดคุยกับบ่าวรับใช้คนอื่นภายในเรือนไม่ได้…หลับนอนร่วมกันได้ไม่เกินสามครั้งในหนึ่งเดือน…คุณชายใหญ่อายุยังน้อย ดูท่าทางขี้ประจบสอพลอของเจ้าเช่นนั้น ไม่สุภาพเรียบร้อย แต่ว่าก็ช่วยเจ้าไม่ได้ ไม่อาจให้เจ้ายั่วยวนและล่อลวงทำลายสมาธิของเขาได้…คุณชายดีๆ ทั้งหลายกี่คนแล้วที่ต้องเสียคนเพราะแบบนี้…”  

 

 

ละครเปลี่ยนฉากอีกครั้ง  

 

 

ภายในห้องมืดสนิทจุดไว้เพียงเทียนหนึ่งเล่ม ใบหน้าของฝานหลิวซื่อหวาดกลัวทั้งตื่นตระหนกอยู่ภายใต้แสงเทียนริบหรี่ นางร้องวิงวอนอย่างข่มขื่น “คุณหนูผู้แสนดี ท่านออกแรงอีกนิดนะเจ้าคะ เด็กใกล้จะออกมาแล้วเจ้าค่ะ…ไม่ง่ายเลยกว่าพวกเราจะหนีออกมาจากจวนตระกูลเฉิงได้อย่างปลอดภัย ท่านไม่อาจเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่นะเจ้าคะ ไม่เช่นนั้นข้าจะอธิบายต่อหน้านายท่านว่าอย่างไร ท่านจะทำให้คุณหนูใหญ่ผิดหวังอีกครั้งได้อย่างไร…”  

 

 

นางทั้งเปียกชื้นทั้งหนาว ภายในลมหายใจล้วนคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือด ราวกับว่ากำลังเดินอยู่ใต้ขุมนรก ร่างกายเจ็บปวดจนเหมือนกับว่าจะตายลงในบัดดล  

 

 

ใครก็ได้มาช่วยข้าด้วย!  

 

 

ใครก็ได้มาช่วยข้าด้วย!  

 

 

นางร้องตะโกนขึ้นด้วยน้ำเสียงดุดัน ลุกขึ้นมานั่งด้วยเหงื่อท่วมศีรษะ มือลูบลงไปภายใต้ร่างกายอย่างห้ามไม่อยู่  

 

 

 

 

 

——  

 

 

[1]  จั้ง  (丈) หน่วยความยาวเท่า 3.333 เมตร  

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ในยามที่ โจวเสาจิ่น เด็กสาวจากตระกูลโจวผู้แสนอ่อนหวานและว่านอนสอนง่ายถูกชายคนรักที่นางไว้ใจหักหลังคร่าชีวิต นางได้แต่ภาวนาร้องขอโอกาสที่จะได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง หากนางสามารถย้อนเวลากลับไปได้ นางจะหนีไปให้ห่างไกลจากบุรุษจอมเสแสร้งอย่างเขา นางจะไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกย่ำยีอย่างน่าอดสู จะไม่ทำให้ตระกูลต้องอับอายขายขี้หน้า ไม่มีวันทำให้พี่สาวผู้แสนอ่อนโยนหัวใจแตกสลาย ขอแค่โอกาสอีกเพียงสักครั้ง… ดูเหมือนสวรรค์จะสดับฟังคำอธิษฐานก่อนสิ้นใจของนาง ท่ามกลางค่ำคืนอันแสนสงบปราศจากเค้าลางของพายุ โจวเสาจิ่นสะดุ้งตื่นขึ้นจากฝันร้ายและพบว่าตนได้ย้อนเวลากลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งราวปาฏิหาริย์ในร่างเดิมวัยสิบสองปี! ด้วยประสบการณ์อันขื่นขมที่นางได้เผชิญมาในชาติก่อน หญิงสาวตั้งปณิธานว่าจะต้องหาทางแก้ไขชะตาชีวิตของตนเองและของตระกูลในชาตินี้ให้ได้ ไม่มีอีกแล้วเด็กสาวที่ขี้ขลาดและอ่อนแอ แม้แต่ดอกไม้ก็ยังไม่กล้าเด็ดคนนั้น ได้เวลาที่นางต้องยืนหยัดลุกขึ้นสู้เพื่อตัวเองแล้ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset