ยามดอกวสันต์ผลิบาน – ตอนที่ 119 ถุงเท้า

รับสินบนของผู้อื่นแล้ว ย่อมไม่สามารถทำตัวเป็นกลางได้

 

 

หลังจากทานเกี๊ยวไส้กุ้งที่จี๋อิ๋งนำมาให้แล้ว สายตาของซือเซียงและคนอื่นๆ ที่มองจี๋อิ๋งก็เป็นมิตรมากขึ้นหลายส่วน

 

 

เมื่อก่อนตนเข้าใจว่าจี๋อิ๋งเป็นคนที่หยิ่งยโสและเย็นชา ไม่รู้จักปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นไปได้อย่างไร

 

 

โจวเสาจิ่นลอบถากถางอยู่ในใจ นำผ้าไหมซงเจียงสีขาวพระจันทร์ที่จี๋อิ๋งทิ้งเอาไว้เมื่อวานขึ้นมากางเอาไว้บนโต๊ะก่อน จากนั้นหยิบแท่งสีกับกรรไกรออกมา แล้วถามจี๋อิ๋งว่า “ตัวอย่างเล่า”

 

 

จี๋อิ๋งงุนงง ถามนางกลับว่า “ตัวอย่างอะไรหรือ”

 

 

โจวเสาจิ่นกระพริบตาปริบๆ กล่าวขึ้นว่า “เจ้าจะให้ข้าช่วยสอนเจ้าว่าการทำถุงเท้าให้ท่านน้าฉือต้องทำอย่างไรบ้าง แต่เจ้ากลับไม่นำตัวอย่างมาให้ข้าด้วย แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าขนาดความกว้างยาวเป็นเท่าไหร่”

 

 

สีหน้าของจี๋อิ๋งดำครึ้มขึ้นเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “เจ้ารอสักครู่ ข้าจะไปหาถุงเท้าเก่ามาให้คู่หนึ่ง”

 

 

โจวเสาจิ่นพูดไม่ออก

 

 

จี๋อิ๋งเดินออกจากประตูไปอย่างรวดเร็ว เผอิญสวนทางกับซือเซียงที่กำลังยกชาและของทานเล่นเข้ามาพอดี

 

 

ซือเซียงมองจี๋อิ๋งที่เดินสวนกับนางไปพอดีนั้น กล่าวขึ้นอย่างไม่เข้าใจว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ เหตุใดแม่นางจี๋อิ๋งเพิ่งมาถึงก็จะออกไปแล้ว”

 

 

“ไม่มีอะไร” โจวเสาจิ่นค่อยๆ นำกล่องเล็กๆ ที่บรรจุแท่งสีเอาไว้ไปวางข้างๆ โต๊ะ พลางกล่าว “ประเดี๋ยวก็กลับมา”

 

 

ซือเซียงตอบ “อ่า” ออกมาเสียงหนึ่ง นำน้ำชาและของทานเล่นไปวางบนโต๊ะที่อยู่ข้างๆ กล่าวขึ้นว่า “คุณหนูรอง เชิญดื่มชาเจ้าค่ะ”

 

 

โจวเสาจิ่นพยักหน้า จิบชาคำหนึ่ง ครุ่นคิดว่าเช่นนั้นเช้าวันนี้ก็ถือเสียว่าพักผ่อนเอ้อระเหยเสียครั้งหนึ่ง หากว่าเช้าวันพรุ่งนี้จี๋อิ๋งก็ยังมาหาอีก ตนค่อยเร่งทำของขวัญวันเกิดให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวตอนกลางคืนก็แล้วกัน เมื่อคำนวณเวลาแล้ว เวลาน่าจะไม่พอ พวกรองเท้าหรือถุงเท้าน่าจะทำไม่ทันแล้ว เช่นนั้นก็ทำผ้าโพกศีรษะส่งไปให้สักสองเส้นก็แล้วกัน อีกอย่างฝีมือเย็บปักของตน ก็ไม่ค่อยได้ทำเพื่อมอบเป็นของขวัญให้ผู้อื่นสักเท่าใดนัก ก่อนหน้านี้มีหยวนซื่อมาขอให้นางช่วยร่างภาพเด็กน้อยวิ่งเล่นให้ ส่วนตอนนี้ก็มีจี๋อิ๋งมาขอให้นางช่วยทำถุงเท้าอีก ใครจะรู้ว่าพรุ่งนี้จะดึงดูดผู้ใดมาอีกบ้าง นางไม่ใช่ช่างเย็บปักเสียหน่อย นอกจากนี้พี่สาวก็ใกล้จะออกเรือนแล้ว ชาติก่อน พี่สาวมีบุตรชายยากนัก นางจึงอยากจะปักลายองค์พระโพธิสัตว์กวนอิมประทานบุตรสักผืนให้พี่สาวนำติดตัวไปเป็นสินเจ้าสาว งานเย็บปักที่ค่อนข้างเป็นงานชิ้นใหญ่เช่นนี้ นางต้องใช้เวลาทำอย่างน้อยครึ่งปี หากมีเรื่องเข้ามาทำให้ล่าช้า เวลาในการเย็บปักอาจยาวนานไปถึงหนึ่งปี เมื่อทบทวนอย่างละเอียดแล้ว คงต้องรีบเตรียมการตั้งแต่ตอนนี้เสียแล้ว

 

 

ยิ่งคิดนางก็ยิ่งรู้สึกว่าเวลาของตนมีไม่พอเสียแล้ว

 

 

นางเรียกซือเซียงเข้ามาด้วยน้ำเสียงกังวานใส ให้นางช่วยเตรียมกระดาษขนาดค่อนข้างใหญ่ให้ตนหนึ่งแผ่น “…ให้มีความยาวสี่ฉื่อทั้งสี่ด้าน”

 

 

กระดาษแผ่นเล็กๆ ล้วนตัดออกมาจากกระดาษแผ่นใหญ่ เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องง่ายดายยิ่งนัก

 

 

ซือเซียงขานตอบแล้วเดินออกไป ระหว่างนั้นก็สวนทางกับจี๋อิ๋งอีกครั้งพอดี

 

 

โจวเสาจิ่นร้อง “เอ๋” ออกมาเสียงหนึ่งอย่างอดไม่ได้ กล่าวขึ้นว่า “เจ้ากลับมาเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร”

 

 

สีหน้าของจี๋อิ๋งไม่น่าดูสักเท่าไหร่นัก ไม่ตอบข้อสงสัยของนาง แต่ใช้สองนิ้วดึงรองเท้าคู่หนึ่งออกมาทิ้งลงตรงหน้าโจวเสาจิ่น “เอ้านี่…รองเท้าของท่านน้าฉือของเจ้า”

 

 

โจวเสาจิ่นมองรองเท้าผ้าฝ้ายสีดำเข้มปักลายเมฆมงคลที่วางตั้งตรงข้างหนึ่งและวางกลับด้านข้างหนึ่งบนพื้น กล่าวขึ้นอย่างประหลาดใจว่า “ไม่ใช่ว่าเจ้าจะให้ข้าช่วยสอนเจ้าทำถุงเท้าหรอกหรือ แล้วเจ้าเอารองเท้ามาทำไม หรือว่าแม่นางหนานผิงให้เจ้าช่วยทำรองเท้าให้ท่านน้าฉือด้วยอย่างนั้นหรือ”

 

 

จี๋อิ๋งดูตะลึงพรึงเพริดยิ่งกว่านางเสียอีก นัยน์ตาเบิกกว้างพลางกล่าวขึ้นว่า “ไม่ใช่ว่าต้องทำตามขนาดความกว้างยาวของรองเท้าหรอกหรือ”

 

 

“ใครบอกเจ้ากัน!” ดวงตาของโจวเสาจิ่นเบิกกว้างขึ้น

 

 

“ตอนข้าอยู่ที่บ้าน หมัวมัวที่บ้านล้วนทำถุงเท้าตามขนาดรองเท้าของข้า” ดวงตาของจี๋อิ๋งเบิกกว้างยิ่งกว่าของโจวเสาจิ่นเสียอีก “หากเจ้าทำถุงเท้าโดยที่ไม่ได้อิงตามขนาดความกว้างยาวของรองเท้า แล้วเจ้าทำถุงเท้าโดยอิงตามขนาดความกว้างยาวของอะไรหรือ อย่าบอกนะว่าจะให้ข้าไปวัดขนาดเท้าของท่านน้าฉือของเจ้ามาด้วย” นางทำท่าสยอง กล่าวต่อไปว่า “หากเป็นเช่นนั้น ข้ายอมไปถามขนาดถุงเท้าของท่านน้าฉือของเจ้าจากหนานผิงยังจะดีเสียกว่า”

 

 

นั่นก็เป็นเพราะว่าเจ้าเป็นสตรี ฉะนั้นหมัวมัวที่บ้านของเจ้าจึงไม่สามารถนำถุงเท้าเก่าของเจ้าไปเป็นตัวอย่างให้ผู้อื่นทำให้

 

 

โจวเสาจิ่นไม่รู้จะกล่าวอะไรแล้วจริงๆ หลับตาลง ผ่านไปกว่าครู่ใหญ่ถึงได้กล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นเจ้าไปหาถุงเท้าเก่าของท่านน้าฉือมาคู่หนึ่ง หรือไม่ก็ให้แม่นางหนานผิงร่างแบบถุงเท้ามาให้สักหนึ่งแผ่น”

 

 

หนานผิงเป็นคนดูแลงานเย็บปักของเรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ย ดังนั้นขนาดถุงเท้าของท่านน้าฉือนางย่อมรู้ดีที่สุด การร่างแบบถุงเท้ามาให้สักหนึ่งแผ่นจึงไม่ใช่เรื่องยากอะไร

 

 

อย่างไรก็ตาม โจวเสาจิ่นคาดว่าจี๋อิ๋งไม่มีทางไปหานาง

 

 

ไม่เช่นนั้นเมื่อครู่คงไม่ทำเรื่องโง่งมขนาดนั้นออกมาได้

 

 

แต่จี๋อิ๋งกล่าวว่า ตอนนางอยู่ที่บ้าน หมัวมัวที่บ้านล้วนทำถุงเท้าให้นางโดยอิงตามขนาดรองเท้าของนาง นี่นับเป็นสิ่งที่ตระกูลใหญ่พึงปฏิบัติกัน…หรือว่าครอบครัวของจี๋อิ๋งจะเป็นตระกูลขุนนางที่ถูกทำให้ล้มหายตายจาก? ไม่ถูก นางบอกไว้ไม่ใช่หรือว่าบิดามารดาของนางทำงานเพาะปลูกอยู่ที่บ้านเดิม อีกทั้งยังมีพี่ชายอีกสองคน…เช่นนั้นเพราะเหตุใดนางถึงต้องเข้ามาเป็นผู้รับใช้ของท่านน้าฉือด้วย

 

 

ยิ่งคิดโจวเสาจิ่นก็ยิ่งสับสน

 

 

จี๋อิ๋งกลับมาอย่างรวดเร็วราวลมพัดเช่นเดิม ใช้สองนิ้วดึงถุงเท้าคู่หนึ่งออกมา “เอ้านี่ ให้เจ้า!”

 

 

โจวเสาจิ่นเพียงมองครั้งเดียวก็คำนวณขนาดในใจได้แล้ว

 

 

นางชี้ไปที่ตะกร้าหวายสานขนาดเล็กข้างๆ โต๊ะ กล่าวขึ้นว่า “วางไว้ตรงนั้นก็แล้วกัน”

 

 

จี๋อิ๋งโยนถุงเท้าลงไปในตะกร้าหวายสาน

 

 

โจวเสาจิ่นหยิบแท่งสีขึ้นมาและเริ่มร่างแบบถุงเท้าลงบนผ้า

 

 

จี๋อิ๋งกล่าวขึ้นอย่างประหลาดใจว่า “เจ้าไม่ต้องใช้ที่วัดขนาดเลยหรือ”

 

 

“นี่ยังต้องใช้ที่วัดขนาดด้วยหรือ” โจวเสาจิ่นกล่าวขึ้นโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาด้วยซ้ำ “เมื่อก่อนตอนที่ข้าเรียนงานเย็บปักนั้น ไม่รู้ว่าทำถุงเท้าไปแล้วเป็นจำนวนเท่าไหร่บ้าง”

 

 

จี๋อิ๋งประหลาดใจมากยิ่งขึ้น กล่าวขึ้นว่า “เหตุใดต้องทำถุงเท้าด้วย”

 

 

“ก็เพื่อฝึกฝนการเย็บปักอย่างไรเล่า!” โจวเสาจิ่นหยิบกรรไกรขึ้นมาและเริ่มตัดผ้าเสียงฉับๆ “งานเย็บปักจะทำได้ดีหรือไม่ดี สิ่งสำคัญคือต้องดูว่าฝีเข็มเย็บได้ต่อเนื่องและสม่ำเสมอกันหรือไม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องฝึกฝนบ่อยๆ ถึงใช้ได้ ไม่เช่นนั้นต่อให้เสื้อผ้าของเจ้าตัดมาดีเพียงไร แต่หากหลังจากเย็บแล้วความใหญ่เล็กของฝีเข็มกลับไม่เรียบเสมอกัน จะทำให้เสื้อผ้าตัวนั้นไม่น่าดูไปด้วย ดังนั้นมือใหม่ที่หัดปักลวดลายต่างๆ ล้วนฝึกปักผ้าเช็ดหน้า ส่วนมือใหม่ที่หัดทำชุดล้วนฝึกจากการทำถุงเท้า” นางเห็นท่าทางที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับงานเย็บปักของจี๋อิ๋งแล้ว ก็รู้สึกสนใจภูมิหลังของจี๋อิ๋งขึ้นมาอีกครั้ง ถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า “ตอนที่เจ้าเป็นเด็กไม่เคยฝึกทำงานเย็บปักเลยหรือ”

 

 

จี๋อิ๋งกล่าวขึ้นอย่างคลุมเครือว่า “แม่ของข้าอยากให้ให้ฝึก แต่พ่อของข้าบอกว่าเช่นข้านี้ ไม่ฝึกก็ไม่เป็นไร อีกอย่างมีสตรีมากมายที่เป็นงานเย็บปัก ถึงเวลาค่อยเชิญคนมาทำเสื้อผ้า รองเท้า ถุงเท้าให้ก็พอแล้ว” เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ สีหน้าของนางก็เปลี่ยนเป็นหมองขึ้นมาเล็กน้อย

 

 

โจวเสาจิ่นเห็นแล้วก็ลอบถอนใจอยู่ในใจครั้งหนึ่ง

 

 

จี๋อิ๋งคงคิดไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้วที่บ้านของนางจะให้นางมาเป็นสาวใช้ของท่านน้าฉือกระมัง

 

 

แต่งานเย็บปักนั้นถือว่าเป็นทักษะที่พื้นฐานที่สุดที่สาวใช้พึงมี

 

 

หากทำงานเย็บปักได้ไม่ดี ต่อให้เจ้ามีความสามารถขนาดไหน ก็ยากที่จะชูคอขึ้นมาได้

 

 

มือของโจวเสาจิ่นหยุดชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง

 

 

แต่ก็ยังมีอีกหนึ่งความเป็นไปได้ นั่นก็คือมีสตรีบางคนที่มีความสามารถในการคำนวณมาตั้งแต่เกิด ทำงานเย็บปักไม่เป็น แต่สามารถคิดคำนวณได้ ก็จะสามารถมีชีวิตที่มั่นคงอยู่ในบ้านของผู้เป็นนายได้

 

 

“เช่นนั้นทักษะการคิดคำนวณของเจ้าคงดีมากใช่หรือไม่” นางถามจี๋อิ๋ง

 

 

“หากเทียบกับคนอื่นๆ ก็ถือว่าดี” ขณะที่จี๋อิ๋งกล่าว ก็มีความหม่นหมองสายหนึ่งวาบผ่านบนใบหน้า กล่าวขึ้นอีกว่า “แต่เมื่อเทียบกับท่านน้าฉือของเจ้าแล้ว…ก็ไม่ถือว่าดี”

 

 

โจวเสาจิ่นรู้สึกผ่อนคลายลง

 

 

ถึงกับกล้าเทียบกับบุรุษ แสดงว่าในบรรดาสตรีด้วยกันคงถือได้ว่ามีความสามารถสูงมากทีเดียว

 

 

ไม่แปลกใจที่บิดาของนางจะกล่าวว่าต่อให้นางจะทำงานเย็บปักไม่เป็นก็ไม่เป็นไร และสุดท้ายยังส่งนางเข้ามาที่ตระกูลเฉิงอีก และไม่แปลกใจว่าเหตุใดนางถึงมีความทะนงตนสูงขนาดนี้ คนที่มีความสามารถสูงก็ย่อมใจกล้ามากเป็นธรรมดา!

 

 

“เช่นนั้นก็ถือว่าเก่งมากแล้ว” นางปลอบใจจี๋อิ๋ง “เหมือนท่านป้าใหญ่ของข้า คิดจะหาสาวใช้สักคนมาช่วยนางทำบัญชีมาโดยตลอด ปรากฏว่าจนถึงตอนนี้ก็ยังหาไม่ได้ จำต้องลากพี่สาวของข้าไปช่วย เมื่อหลายวันก่อนท่านป้าใหญ่ของข้ายังกล่าวว่า หากพี่สาวข้าออกเรือนไปแล้ว นางจะทำอย่างไรดี การที่เจ้าสามารถดูแลรายการบัญชีในเรือนของท่านน้าฉือได้ ผู้คนมากมายต่างก็อิจฉาแย่แล้ว!”

 

 

จี๋อิ๋งเบ้ปากอย่างเย้ยหยัน กล่าวขึ้นว่า “ข้าจะช่วยดูแลรายการบัญชีในเรือนของท่านน้าฉือของเจ้าได้อย่างไร รายการบัญชีในเรือนของท่านน้าฉือของเจ้าทั้งหมดล้วนเป็นหนานผิงที่เป็นผู้ดูแล ถึงแม้ทักษะการคำนวณของนางจะธรรมดาสามัญยิ่ง แต่นางเชื่อฟังคำพูดของท่านน้าฉือของเจ้าประดุจเชื่อฟังราชโองการจากราชสำนัก ขอเพียงให้เป็นคำพูดของท่านน้าฉือของเจ้า ต่อให้เป็นเรื่องที่น่าเบื่อหน่ายกลับสามารถกระทำตามอย่างยินดีได้ ข้าสู้นางไม่ได้หรอก”

 

 

นี่ไม่ใช่เรื่องที่สมควรทำอยู่แล้วหรือ

 

 

โจวเสาจิ่นมองท่าทางต่อต้านของจี๋อิ๋งแล้ว ก็พูดอะไรไม่ออกเลยจริงๆ

 

 

โชคดีที่ไม่นานนางก็ตัดถุงเท้าจนเสร็จ จึงบอกจี๋อิ๋งให้ทราบว่าชิ้นไหนเป็นส่วนของพื้นถุงเท้า และชิ้นไหนเป็นส่วนของลำขาของถุงเท้า “…เจ้าเข้าใจแล้วใช่หรือไม่ นำสองชิ้นนี้มาเย็บเข้าด้วยกัน เสร็จแล้วค่อยเย็บชิ้นนี้ติดเข้าไป แค่นี้ก็ได้แล้ว”

 

 

จี๋อิ๋งหัวไวยิ่งนัก ตอนที่นางหยิบหนึ่งชิ้นขึ้นมาจากจำนวนทั้งหมดนั้น จี๋อิ๋งก็เข้าใจว่าต้องทำอย่างไรกับอีกชิ้นแทบจะทั้งหมดในทันที นอกจากนี้ ยังมองออกด้วยว่านางตัดผ้าสำหรับทำถุงเท้าทั้งหมดสิบคู่ด้วยกัน จึงกล่าวขึ้นว่า “หนานผิงให้ข้าทำเพียงสี่คู่เท่านั้น แล้วเจ้าตัดมากมายขนาดนี้ไปทำไมกัน”

 

 

โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ที่เหลือเอาไว้ให้เจ้าฝึกทำ”

 

 

ความจริงแล้วเป็นเพราะนางนำผ้ามาวางซ้อนทับกัน ฉะนั้นต่อให้เป็นหนึ่งคู่ก็ต้องใช้กรรไกรตัดสามครั้ง สองคู่ก็ต้องใช้กรรไกรตัดสามครั้ง…หรือสิบคู่ก็ต้องใช้กรรไกรตัดสามครั้งเช่นเดียวกัน จึงไม่ได้เสียเวลาอะไร

 

 

จี๋อิ๋งเองก็มองออกเช่นเดียวกัน นางเปล่งเสียง “อ้อ” ออกมาเสียงหนึ่ง โดยที่ไม่ได้กล่าวอะไร

 

 

โจวเสาจิ่นสอนนางว่าต้องจับเข็มและด้ายอย่างไรบ้าง

 

 

จี๋อิ๋งเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว

 

 

แต่เมื่อถึงคราวที่ต้องเย็บขึ้นมา นางกล่าวขึ้นอย่างลังเลว่า “เจ้าลองทำให้ข้าดูสักคู่หนึ่งก่อน รู้สึกว่าข้าจะทำให้ผ้าเสียไปเปล่าๆ อย่างไรอย่างนั้น”

 

 

ตอนที่โจวเสาจิ่นเริ่มทำงานเย็บปักก็เป็นเช่นนี้ ไม่กล้าลงฝีเข็ม

 

 

นางยิ้มพลางบอกให้จี๋อิ๋งดูไปด้วย จากนั้นก็เริ่มเย็บถุงเท้า

 

 

มือของโจวเสาจิ่นทั้งเบาและเร็ว ฝีเข็มละเอียดและเรียบสม่ำเสมอ ราวกับกำลังปักลวดลายอยู่ก็ไม่ปาน เป็นการเดินฝีเข็มแบบกากบาท เมื่อเป็นเช่นนี้ ถึงแม้ถุงเท้าจะไม่มีลวดลายอะไร แต่บริเวณที่ผ้าถูกเย็บติดกันนั้นกลับเสมือนกับว่าปักเป็นลวดลายขึ้นมา อีกทั้งยังเป็นเส้นด้ายสีเดียวกัน จึงทำให้ดูแล้วเหมือนมีความสวยงามแต่ไม่โอ้อวดประเภทหนึ่งแฝงอยู่

 

 

จี๋อิ๋งอดไม่ได้กล่าวชื่นชมขึ้นมาว่า “ฝีมือเย็บปักของเจ้าดีกว่าของหนานผิงเสียอีก!”

 

 

โจวเสาจิ่นคิดว่านางพูดไปตามมารยาท จึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “ฝีมือเย็บปักของแม่นางหนานผิงนั้น แม้แต่จางเหนียงจื่อที่โรงตัดเย็บยังชมนางไม่ขาดปาก ข้าจะไปเทียบกับนางได้อย่างไร”

 

 

“ข้ารู้สึกว่าฝีมือเย็บปักของเจ้าดีกว่าของหนานผิงจริงๆ” จี๋อิ๋งกล่าวขึ้นอย่างจริงจัง “นางเป็นสาวใช้ ไม่รู้ว่าแต่ละปีต้องทำจำนวนเท่าไหร่แล้วบ้าง แต่เจ้าเป็นคุณหนู อย่างมากที่สุดก็คงทำชุดให้ตัวเองสักสองตัวเท่านั้น แต่ฝีมือเย็บปักของเจ้ากลับไม่ด้อยไปกว่าของหนานผิงเลย ด้วยเหตุนี้ข้าถึงกล่าวว่าฝีมือเย็บปักของเจ้าดีกว่าของหนานผิง”

 

 

โจวเสาจิ่นตัดสินใจที่จะไม่กล่าวอะไรอีก

 

 

ซือเซียงยิ้มตาหยีพลางเดินเข้ามา กล่าวขึ้นว่า “คุณหนูรอง แม่นางหนานผิงมาหาเจ้าค่ะ”

 

 

โจวเสาจิ่นประหลาดใจ

 

 

จี๋อิ๋งขมวดคิ้วมุ่นพลางกล่าว “นางมาทำอะไรหรือ”

 

 

“ไม่รู้เหมือนกันเจ้าค่ะ” ซือเซียงกล่าวยิ้มๆ “แม่นางหนานผิงไม่ได้บอกอะไรไว้”

 

 

จี๋อิ๋งกล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “หากว่านางถามถึงข้าขึ้นมา เจ้าอย่าบอกนางนะว่าข้าอยู่ที่นี่”

 

 

โจวเสาจิ่นพอจะดูออกว่า ระหว่างจี๋อิ๋งกับหนานผิงนั้นไม่ค่อยลงรอยกันอยู่บ้าง นางเองก็ไม่อยากให้ทั้งสองคนมาส่งเสียงดังอยู่ในที่ของตนเหมือนกัน

 

 

“ข้ารู้แล้ว” นางยิ้มพลางรับปากจี๋อิ๋ง จากนั้นเดินออกไปพบแขกที่ห้องรับแขกเล็กพร้อมกับซือเซียง

 

 

“ต้องขออภัยจริงๆ เจ้าค่ะ!” พอหนานผิงเห็นนางก็รีบกล่าวขอโทษโจวเสาจิ่นด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด “จี๋อิ๋งนั้นเป็นคนไม่ระมัดระวัง ไม่ค่อยเข้าใจกฎระเบียบ นางมาหาท่านอย่างโผงผางไร้มารยาทเช่นนี้ สร้างปัญหาให้ท่านแล้ว” ขณะที่นางกล่าว ก็ชี้ไปที่กล่องกระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะ “นี่เป็นขนมจากร้านฉีฟางไจ ถือเป็นของปลอบใจคุณหนูรอง ขอคุณหนูรองอย่าได้ถือโทษความไม่เจตนาของจี๋อิ๋งเลยนะเจ้าคะ”

 

 

จี๋อิ๋งนั้นประเดี๋ยวก็รองเท้าประเดี๋ยวก็ถุงเท้า สร้างเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ เป็นถึงสาวใช้ใหญ่ของเรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ย ย่อมปิดบังหนานผิงเอาไว้ไม่ได้อยู่แล้ว

 

 

……………………………………………………………………………

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ในยามที่ โจวเสาจิ่น เด็กสาวจากตระกูลโจวผู้แสนอ่อนหวานและว่านอนสอนง่ายถูกชายคนรักที่นางไว้ใจหักหลังคร่าชีวิต นางได้แต่ภาวนาร้องขอโอกาสที่จะได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง หากนางสามารถย้อนเวลากลับไปได้ นางจะหนีไปให้ห่างไกลจากบุรุษจอมเสแสร้งอย่างเขา นางจะไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกย่ำยีอย่างน่าอดสู จะไม่ทำให้ตระกูลต้องอับอายขายขี้หน้า ไม่มีวันทำให้พี่สาวผู้แสนอ่อนโยนหัวใจแตกสลาย ขอแค่โอกาสอีกเพียงสักครั้ง… ดูเหมือนสวรรค์จะสดับฟังคำอธิษฐานก่อนสิ้นใจของนาง ท่ามกลางค่ำคืนอันแสนสงบปราศจากเค้าลางของพายุ โจวเสาจิ่นสะดุ้งตื่นขึ้นจากฝันร้ายและพบว่าตนได้ย้อนเวลากลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งราวปาฏิหาริย์ในร่างเดิมวัยสิบสองปี! ด้วยประสบการณ์อันขื่นขมที่นางได้เผชิญมาในชาติก่อน หญิงสาวตั้งปณิธานว่าจะต้องหาทางแก้ไขชะตาชีวิตของตนเองและของตระกูลในชาตินี้ให้ได้ ไม่มีอีกแล้วเด็กสาวที่ขี้ขลาดและอ่อนแอ แม้แต่ดอกไม้ก็ยังไม่กล้าเด็ดคนนั้น ได้เวลาที่นางต้องยืนหยัดลุกขึ้นสู้เพื่อตัวเองแล้ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset