ยามดอกวสันต์ผลิบาน – ตอนที่ 130 เยี่ยมเยียน

“ใช่น่ะสิ!” โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างหมายมั่น “พวกเราไปกันตอนนี้ แล้วก็เร่งกลับมาให้ทันก่อนงานเลี้ยงเลิก”

 

 

หลังจากที่งิ้วตอนนี้จบลงก็คงจะถึงเวลางานเลี้ยงเลิกแล้ว

 

 

ซือเซียงครุ่นคิด ไม่กล้าปล่อยให้ล่าช้าอีก เดินไปที่เรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ยพร้อมกับโจวเสาจิ่น

 

 

เมื่อเปรียบเทียบความครึกครื้นของเรือนหานปี้ซานกับที่นี่แล้ว เรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ยนั้นเงียบสงบและวังเวง แม้กระทั่งให้ความรู้สึกโดดเดี่ยวอยู่เล็กน้อย

 

 

หลั่งเย่ว์คือผู้ที่เฝ้าเวรยามอยู่ที่หน้าประตู

 

 

เมื่อเขาเห็นโจวเสาจิ่นใบหน้าก็แสดงความยินดีออกมา กล่าวขึ้นว่า “คุณหนูรองมาได้อย่างไรขอรับ ได้ยินว่าที่เรือนหานปี้ซานกำลังแสดงงิ้วกันอยู่ คุณหนูรองไม่ชอบชมการแสดงงิ้วหรือขอรับ”

 

 

“ก็พอได้” โจวเสาจิ่นไม่อยากเล่าความชอบส่วนตัวของตัวเองให้คนที่ไม่สนิทฟัง นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “แม่นางจี๋อิ๋งกลับมาแล้วหรือยัง”

 

 

“กลับมาแล้วขอรับ” หลั่งเย่ว์กล่าวยิ้มๆ “กลับมาพร้อมกับนายท่านสี่ คุณหนูรองมาหาพี่สาวจี๋อิ๋งหรือ ต้องการให้ข้าไปรายงานให้หรือไม่ขอรับ”

 

 

ท่านน้าฉือไม่ได้ลงโทษจี๋อิ๋งอย่างนั้นหรือ

 

 

นี่ทำให้โจวเสาจิ่นรู้สึกเบาใจลง กล่าวยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นก็รบกวนเจ้าไปแจ้งให้สักหน่อยเถิด”

 

 

“คุณหนูรองรอสักครู่นะขอรับ” หลั่งเย่ว์ยิ้มพลางเชิญโจวเสาจิ่นไปนั่งรอในศาลาริมทาง ชงชามาให้ถ้วยหนึ่ง จากนั้นถึงได้ถอยออกไป

 

 

ซือเซียงกล่าวยิ้มๆ ว่า “หลั่งเย่ว์ผู้นี้ต้อนรับผู้อื่นอย่างกระตือรือร้นกว่าชิงเฟิงมากเลยนะเจ้าคะ”

 

 

โจวเสาจิ่นยิ้มพลางพยักหน้าเห็นด้วย

 

 

พอดื่มชาหมด หลั่งเย่ว์ก็กลับมาพอดี “คุณหนูรอง แม่นางจี๋อิ๋งเชิญท่านไปนั่งเล่นที่ห้องของนางขอรับ!”

 

 

ซือเซียงประหลาดใจ

 

 

ตามหลักแล้ว หากโจวเสาจิ่นต้องการพบจี๋อิ๋ง เพียงแจ้งให้มามาผู้เป็นแม่บ้านทราบ มามาผู้เป็นแม่บ้านก็จะพาจี๋อิ๋งมาที่เรือนหว่านเซียงแล้ว สาเหตุที่คุณหนูรองให้ความเคารพจี๋อิ๋งขนาดนี้ หนึ่งก็เพราะมีความสัมพันธ์อันดีกับนาง และสองก็เพราะเห็นว่านางเป็นคนที่รับใช้อยู่ข้างกายของนายท่านสี่ ทว่าตอนนี้โจวเสาจิ่นมาถึงหน้าประตูแล้ว นางไม่เพียงไม่ออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง แต่ยังให้โจวเสาจิ่นเข้าไปนั่งในห้องของนางอีก

 

 

นี่ช่างไม่เหมาะสมยิ่งนัก!

 

 

ซือเซียงกำลังจะกล่าวเกลี้ยกล่อมโจวเสาจิ่น แต่ใครจะรู้ว่าโจวเสาจิ่นกลับพูดขึ้นมาเสียก่อนว่า “เช่นนั้นก็ได้! เพียงแต่ข้าไม่รู้ว่าจี๋อิ๋งพักอยู่ที่ใด คงต้องรบกวนเจ้าช่วยนำทางให้ข้าแล้ว!”

 

 

หลั่งเย่ว์ตอบรับอย่างยินดี เขาพานางเดินลัดเลาะผ่านเรือนซิ่วฉี่ จากนั้นมุ่งหน้าไปทางด้านหลังของห้องข้าง ระหว่างทาง ยังเล่าให้นางฟังว่า “ส่วนที่อยู่สูงที่สุดคือศาลาชิงอิน ไม่เพียงมองเห็นทัศนียภาพทั้งหมดของซอยจิ่วหรูเท่านั้น ยังมองเห็นถนนหนทางที่อยู่ด้านนอกซอยจิ่วหรูอีกด้วยขอรับ อย่างไรก็ตาม มันกลับไม่ใช่สถานที่ๆ อยู่สูงที่สุดภายในจวน สถานที่ๆ อยู่สูงที่สุดคือศาลาเฟยไป๋ของท่านผู้นำตระกูลจวนรองทางด้านโน้น ว่ากันว่ามองเห็นได้แม้กระทั่งเมืองจินหลิงทั้งเมืองเลยทีเดียวขอรับ ด้านหลังของเรือนซิ่วฉี่คือเรือนลี่เสวี่ย พวกพี่สาวจี๋อิ๋งกับพี่สาวหนานผิงอาศัยอยู่ที่ด้านหลังของเรือนลี่เสวี่ย…”

 

 

โจวเสาจิ่นคาดเดา “เรือนลี่เสวี่ยคือห้องหนังสือของนายท่านสี่ใช่หรือไม่”

 

 

“ใช่ขอรับ!” หลั่งเย่ว์กล่าวยิ้มๆ ว่า “นายท่านสี่ก็พักอยู่ที่นี่ด้วยขอรับ”

 

 

โจวเสาจิ่นเห็นเขาร่าเริงยิ่งนัก จึงถามเขายิ้มๆ ว่า “เหตุใดเจ้าจึงมักจะสวมใส่ชุดนักพรตเต้าเผาอยู่ตลอด เป็นเพราะนายท่านสี่เคยเป็นศิษย์เก่าของสำนักเต๋าอย่างนั้นหรือ”

 

 

“เปล่าขอรับ!” หลั่งเย่ว์กล่าวยิ้มๆ ว่า “เป็นเพราะการสวมใส่เช่นนี้มันง่ายและสะดวกดีขอรับ”

 

 

โจวเสาจิ่นหัวเราะร่า กล่าวขึ้นว่า “ครอบครัวของเจ้าเป็นทาสรับใช้หรือไม่ แล้วเจ้าเข้ามารับใช้ที่จวนตั้งแต่เมื่อไหร่หรือ”

 

 

“ข้าไม่ใช่ทาสรับใช้ขอรับ” ขณะที่หลั่งเย่ว์กล่าว สีหน้าก็หม่นหมองลงเล็กน้อย กล่าวต่อว่า “ข้าถูกนายท่านสี่ช่วยขึ้นมาจากแม่น้ำตอนที่แม่น้ำหย่งติ้งเกิดน้ำท่วมใหญ่ในปีนั้นขอรับ” ขณะที่กล่าว น้ำเสียงก็หยุดลงไปชั่วขณะ “ชิงเฟิงเองก็ด้วยเช่นกัน ชิงเฟิงได้รับการช่วยเหลือขึ้นมาก่อน ส่วนข้าได้รับการช่วยเหลือขึ้นมาทีหลัง นายท่านสี่กล่าวว่า หมู่บ้านของพวกข้าสองคนน่าจะอยู่ไม่ไกลกันมากขอรับ”

 

 

โจวเสาจิ่นประหลาดใจ

 

 

แม่น้ำหย่งติ้งอยู่ทางเหนือ ถึงแม้ว่าจะเกิดน้ำท่วมใหญ่ แต่สำหรับประชาชนชาวเจียงหนานแล้ว ก็เป็นเพียงภาพจำที่ไม่ได้ฝังแน่นไปกว่าเรื่องที่เพื่อนบ้านสักคนแต่งสะใภ้เข้ามาเท่านั้น หากว่านางไม่เคยอาศัยอยู่ที่จิงเฉิงมาก่อน ในปีนั้นผู้คนมากมายจากจิงเฉิงล้วนขายบ้านช่องไปเป็นบ่าวรับใช้ นางเองก็อาจจะจำไม่ได้ว่ากำแพงกั้นน้ำของแม่น้ำหย่งติ้งเคยแตกมาก่อนในรัชศกจื้อเต๋อปีที่สิบห้า

 

 

ซึ่งในปีนั้นเป็นปีที่ท่านน้าฉือเข้าเมืองหลวงไปสอบขุนนางพอดี

 

 

อาจจะเป็นเวลานั้นที่ช่วยชิงเฟิงกับหลั่งเย่ว์เอาไว้ก็เป็นได้

 

 

โจวเสาจิ่นไตร่ตรอง ยิ้มพลางกล่าวปลอบโยนเขาว่า “หลังจากที่ผ่านพ้นเภทภัยครั้งใหญ่แล้ว ย่อมจะพานพบแต่ความโชคดี ต่อจากนี้ไปเจ้าจะมีแต่ความสงบสุขอย่างแน่นอน”

 

 

“ข้าเองก็คิดเช่นนั้นขอรับ” หลั่งเย่ว์เป็นผู้ที่มองโลกในแง่ดียิ่งนัก “ตอนนี้พวกข้ากินอิ่ม ได้สวมใส่เสื้อผ้าที่ทำให้ร่างกายอบอุ่น อีกทั้งยังได้เรียนเขียนอ่านกับท่านลุงไหวซาน ไม่แน่ว่าต่อไปพวกข้าก็อาจจะเป็นได้อย่างพ่อบ้านฉิน ได้เป็นพ่อบ้านของซอยจิ่วหรูก็เป็นได้!”

 

 

โจวเสาจิ่นยิ้มหวาน กล่าวขึ้นว่า “เจ้าต้องทำได้อย่างแน่นอน”

 

 

ทั้งสองคนพูดคุยกันไป ไม่นานก็มาถึงเรือนที่จี๋อิ๋งพักอยู่

 

 

อาคารเล็กขนาดสองชั้น เสาสีแดง หน้าต่างไม้ระแนงสีเขียวที่แปะเอาไว้ด้วยกระดาษสีขาว ผ้าม่านที่เพิ่งจะเปลี่ยนใหม่นั้นเป็นลายดอกไม้ บนระเบียงทางเดินมีกระถางสีขาวของดอกเบญจมาศอยู่กระถางหนึ่ง ดอกกำลังตูมพร้อมที่จะเบ่งบาน ตรงมุมกำแพงมีต้นกล้วยสองต้น สูงเสียดแทงขึ้นไปบนชายคาบ้าน

 

 

“คุณหนูรอง!” จี๋อิ๋งเลิกผ้าม่านขึ้นขณะที่ยืนอยู่ด้านในของประตูพร้อมกับยิ้มน้อยๆ ให้โจวเสาจิ่น และกล่าวขึ้นว่า “รีบเข้ามานั่งเร็ว…ข้าถูกท่านน้าฉือของเจ้าสั่งกักบริเวณเสียแล้ว จึงไม่อาจก้าวออกจากธรณีประตูนี้ไปได้ ยังต้องคัด ‘บัญญัติสอนหญิง’ อีกห้าร้อยจบด้วย”

 

 

“เอ๋!” โจวเสาจิ่นเบิกตาโตอย่างตกใจ

 

 

“ไม่เป็นไร” จี๋อิ๋งกล่าวยิ้มๆ “ข้าเขียนอักษรได้เร็วยิ่งนัก พวกเจ้ารีบเข้ามานั่งก่อนเถิด”

 

 

โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วก็รีบพาซือเซียงเข้าไปข้างใน

 

 

เครื่องเรือนเป็นสีดำทั้งหมด เบาะรองนั่งสีเหลืองแก่ปักลายค้างคาวห้าตัวอันเป็นลายมงคลเสริมอายุวัฒนะ บนตั่งตัวยาวประดับเอาไว้ด้วยแจกันกระเบื้องเคลือบลายกิ่งดอกต้าไห่สีฟ้าคู่หนึ่ง ฉากกั้นโต๊ะทำจากไม้พยุง แกะสลักเป็นลายดอกโบตั๋นกำลังเบ่งบานตามรูปแบบเฉพาะของซูโจว ด้านตะวันออกเป็นประตูหรูอี้ของห้องชั้นใน ด้านตะวันตกกั้นเป็นห้องหนังสือ และยังมีสาวใช้สำหรับยกน้ำชาและรินน้ำอยู่อีกหนึ่งคนอยู่ด้วย

 

 

ซือเซียงตกใจเป็นอย่างมาก

 

 

จี๋อิ๋งผู้นี้ ไม่เพียงมีอากัปกิริยาที่ไม่เหมือนสาวใช้เท่านั้น แม้แต่การอยู่การกินก็ไม่เหมือนสาวใช้ด้วย

 

 

ไม่รู้ว่าสาวใช้ในเรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ยเป็นเช่นนี้ทุกคนด้วยหรือไม่ หรือมีเพียงจี๋อิ๋งคนเดียวเท่านั้น

 

 

นางครุ่นคิด

 

 

โจวเสาจิ่นเองก็ลอบสำรวจการตกแต่งภายในห้อง กล่าวขึ้นว่า “ที่นี่ของเจ้าไม่เลวเลยทีเดียว!”

 

 

ดีกว่าเรือนซิ่วฉี่เสียอีก

 

 

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าประดับด้วยสิ่งของที่ดีกว่า…เพียงแต่ว่าเรือนซิ่วฉี่ให้ความรู้สึกเย็นชาทำให้คนรู้สึกเกร็ง ขณะที่ที่พักของจี๋อิ๋งกลับมีแต่ความเป็นมิตรและเป็นกันเอง

 

 

นางยังเห็นว่าในห้องหนังสือมีตั่งนั่งตัวเตี้ยแกะสลักลายเถาองุ่นเลื้อยพันกิ่งต้นโบตั๋นตัวหนึ่งวางหันหน้าเข้าหาหน้าต่าง ยังมีโต๊ะขนาดเล็กแกะสลักลายเมฆมงคลวางเอาไว้ตรงกลางของตั่งนั่งตัวเตี้ยอีกด้วย

 

 

โจวเสาจิ่นตกตะลึงเล็กน้อย ก้าวออกไปลูบสัมผัสงาช้างแกะสลักเป็นลายดอกไม้ที่ฝังอยู่บนโต๊ะขนาดเล็กตัวนั้น พลางถามจี๋อิ๋งว่า “เจ้าเป็นคนจากทางเหนือหรือ”

 

 

“เอ๋!” จี๋อิ๋งบอกให้สาวใช้ยกจานผลไม้มาวางบนโต๊ะขนาดเล็กด้วยตัวเอง ยิ้มพลางเชิญนางนั่งลงบนตั่งนั่งตัวเตี้ย “เจ้ารู้ได้อย่างไร”

 

 

โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างคลุมเครือว่า “ข้าได้ยินผู้อื่นพูดกันว่า เตียงอิฐ[1]ของคนทางเหนือจะสร้างให้ติดกับหน้าต่าง ข้าเห็นว่าภายในห้องของเจ้าก็วางตั่งนั่งตัวเตี้ยเอาไว้ที่ข้างหน้าต่างเช่นกัน”

 

 

“เจ้าช่างสังเกตยิ่งนัก” จี๋อิ๋งยิ้มพลางชี้ไปที่จานผลไม้ กล่าวขึ้นว่า “เจ้าลองชิมดู เป็นผลทับทิมที่เพิ่งได้มาสดๆ ใหม่ๆ ฉินจื่อผิงนำกลับมาฝาก” ยังกล่าวอีกว่า “บ้านของข้าอยู่ที่ชังโจว เจ้าเคยได้ยินหรือไม่”

 

 

โจวเสาจิ่นใจเต้นตึกตัก

 

 

ชังโจว…แน่นอนว่านางย่อมเคยได้ยินมาก่อน

 

 

เป็นเมืองที่อยู่ใกล้จิงเฉิงเป็นอย่างมาก

 

 

องครักษ์โดยมากที่เมืองจิงเฉิงล้วนเป็นคนจากชังโจว

 

 

“ข้าเคยอ่านเจอจากในหนังสือ” โจวเสาจิ่นก้มหน้าลงขณะกล่าว “แต่ไม่เคยไปมาก่อน!”

 

 

จี๋อิ๋งฟังแล้วก็หัวเราะ ล้างมือแล้วก็ไปช่วยโจวเสาจิ่นปลอกเปลือกผลทิบทิม

 

 

ในตอนนี้เองที่โจวเสาจิ่นเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าบนผนังแขวนดาบเอาไว้เล่มหนึ่ง

 

 

ดาบมีความยาวสามฉื่อ ผิวสีเขียว พู่สีแดง ดูแล้วธรรมดาสามัญยิ่งนัก ไม่เหมือนกับดาบที่องครักษ์รักษาการเหล่านั้นใช้กัน ที่มักจะฝังมุกหรือหินมีค่าต่างๆ ประดับเอาไว้

 

 

นางเอ่ยถามขึ้นว่า “นี่คือ?”

 

 

จี๋อิ๋งกล่าวยิ้มๆ ว่า “เป็นดาบที่ข้านำมาจากที่บ้าน เป็นดาบขององครักษ์ตำแหน่งเล็กๆ เท่านั้น!”

 

 

โจวเสาจิ่นดูแล้วไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น แต่ในเมื่อจี๋อิ๋งไม่พูด นางก็ไม่กล้าถามอะไรมาก

 

 

จี๋อิ๋งกวักมือเรียกซือเซียงให้มากินทิบทิมด้วยกัน

 

 

ซือเซียงมองไปที่โจวเสาจิ่นครั้งหนึ่ง เห็นนางไม่เปลี่ยนสีหน้า ถึงได้ยิ้มพลางกล่าวขอบคุณ แล้วยกเก้าอี้ตัวเล็กๆ ไปนั่งตรงด้านหน้าของตั่งนั่งตัวเตี้ย

 

 

โจวเสาจิ่นถามจี๋อิ๋งว่า “ท่านน้าฉือโกรธมากหรือไม่ นอกจากสั่งกักบริเวณเจ้า และลงโทษให้เจ้าคัด ‘บัญญัติสอนหญิง’ แล้ว ยังลงโทษอะไรเจ้าอีกหรือไม่”

 

 

“ไม่มี” จี๋อิ๋งกล่าวพร้อมกับทำแก้มป่อง “ท่านน้าฉือของเจ้าไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อยขนาดนั้น…อย่างไรก็ตาม” นางหัวเราะฮ่าๆ พลางกล่าวต่อว่า “วันเวลาหลังจากนี้ของท่านน้าฉือของเจ้าคงจะไม่สบายนัก…ไม่สิ ต่อให้เขาจะอยู่อย่างสงบสุขได้ แต่ก็คงต้องเปลืองแรงสักเล็กน้อย เพราะวันพรุ่งนี้ นายหญิงผู้เฒ่าของตระกูลกัวเชิญน้าฉือของเจ้าไปกินข้าวด้วย น้าฉือของเจ้าได้ตอบรับเรียบร้อยแล้ว ข้าจะดูว่าครั้งนี้เขาจะหนีอย่างไร”

 

 

โจวเสาจิ่นถามขึ้นว่า “แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไร”

 

 

“เรื่องนี้เป็นเรื่องที่นายท่านสี่ให้การตอบรับต่อหน้าทุกคน ฉะนั้นข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร” จี๋อิ๋งกล่าวยิ้มๆ “ถึงแม้ว่าคุณหนูของตระกูลกัวที่มาในครั้งนี้จะมีอายุไม่มากนัก แต่ก็เป็นผู้ที่อยู่ในรุ่น[2]เดียวกันกับน้าฉือของเจ้า ก่อนหน้านี้นายหญิงผู้เฒ่าของตระกูลกัวจับเขาเอาไว้ไม่ได้ แต่ครั้งนี้สุดท้ายก็ได้พบหน้ากันจนได้และยังเชิญน้าฉือของเจ้าไปกินข้าวด้วยอีก ย่อมต้องเป็นเพราะต้องการจับคู่ให้น้าฉือของเจ้าอีกครั้งอย่างแน่นอน”

 

 

เหตุใดนางถึงไม่รู้เรื่องเลย

 

 

โจวเสาจิ่นตกตะลึง ทันใดนั้นก็รู้สึกเห็นใจเฉิงฉือขึ้นมา

 

 

ทั้งเฉิงเจิงและเฉิงเซียวยามออกเรือนล้วนเลือกคนที่ตนพึงใจได้ แต่พอถึงคราวของท่านน้าฉือกลับต้องการฝืนบังคับเขาเสมือนกับตอนที่กดหัวของวัวเพื่อบังคับให้มันดื่มน้ำ…

 

 

ไม่นาน หนานผิงก็เข้ามาสมทบ

 

 

นางนำของกินเล่นคู่กับชามาด้วยเล็กน้อย ยิ้มพลางกล่าวทักทายโจวเสาจิ่น “ไม่รู้ว่าคุณหนูรองมาหา จึงให้ห้องครัวทำของว่างอย่างง่ายๆ มาให้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่เหมาะสมยิ่งนัก และก็ไม่รู้ว่าจะถูกปากคุณหนูรองหรือไม่” ยังกล่าวอีกว่า “สองวันก่อนได้ยินฮูหยินกล่าวว่า แบบร่างภาพเด็กน้อยวิ่งเล่นที่คุณหนูรองวาดให้สะใภ้เซียวนั้นทำให้คนตระกูลหยวนต่างกล่าวชื่นชมกันไม่หยุดปาก ข้าเสียดายยิ่งนัก หากรู้ก่อนแต่เนิ่นๆ คงจะไปดูที่โรงตัดเย็บสักหน่อยแล้วเจ้าค่ะ”

 

 

ความเกรงใจนี้กลับทำให้โจวเสาจิ่นต้องสำรวมมากขึ้นเล็กน้อย รู้สึกว่าไม่เป็นกันเองและไม่สบายๆ เท่ากับตอนที่อยู่กับจี๋อิ๋ง

 

 

นางสนทนากับหนานผิงไปหลายประโยค และเมื่อเห็นว่าทางนี้จี๋อิ๋งไม่มีเรื่องอะไรแล้ว จึงลุกขึ้นกล่าวอำลา

 

 

หนานผิงออกไปส่งโจวเสาจิ่นด้วยตัวเอง

 

 

โจวเสาจิ่นบอกปัดอย่างสุภาพไปครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ไม่ง่ายเลยกว่าจะทำให้นางยอมส่งนางแค่ตรงหน้าประตูใหญ่

 

 

แต่พอเดินออกมาได้เพียงไม่กี่ก้าว นางชะงักเท้าลงครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วก็หมุนกายมุ่งไปทางเรือนซิ่วฉี่

 

 

ซือเซียงรีบถามขึ้นว่า “คุณหนูรอง นี่ท่านกำลังจะไปที่ใดหรือเจ้าคะ”

 

 

“ข้าจะไปดูท่านน้าฉือสักหน่อย” โจวเสาจิ่นตอบพลางเดินเข้าไปในเรือนซิ่วฉี่โดยที่ไม่หันศีรษะกลับมา

 

 

เรื่องในวันนี้ คาดว่าท่านน้าฉือเองก็คงจะไม่สบายใจเช่นกัน

 

 

ใครจะยินดีให้ผู้อื่นมาฝืนบังคับตัวเองกัน

 

 

นอกจากนี้แผนที่วางเอาไว้เรียบร้อยกลับถูกจี๋อิ๋งทำลายเสียแล้ว…ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาจะเป็นอย่างไรบ้าง

 

 

ยิ่งเดินฝีเท้าของโจวเสาจิ่นก็ยิ่งเร็วขึ้น

 

 

เรือนซิ่วฉี่ยังคงปิดเอาไว้เช่นเดิม มองไปรอบด้านไม่เห็นผู้ใดเลยสักคน

 

 

โจวเสาจิ่นเดินไปที่ลานเปิดโล่งด้านหลัง

 

 

ประตูตรงลานเปิดโล่งเปิดอ้าเอาไว้

 

 

โจวเสาจิ่นยืนอยู่บนทางเดินพลางร้องตะโกนขึ้นว่า “มีใครอยู่ในห้องบ้าง”

 

 

ยังไม่ทันที่เสียงของนางจะสิ้นสุดลง ไหวซานก็เดินออกมา

 

 

เห็นว่าเป็นโจวเสาจิ่นแต่เขาก็ไม่ได้แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา เอ่ยถามนางอย่างนิ่งสงบว่า “คุณหนูรองมาหาผู้ใดหรือขอรับ”

 

 

ใบหูของโจวเสาจิ่นร้อนขึ้นเล็กน้อย เอ่ยตอบว่า “ข้ามาหาท่านน้าฉือ เขาอยู่หรือไม่”

 

 

ไหวซานลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวขึ้นว่า “นายท่านสี่อยู่ที่เรือนลี่เสวี่ย…คุณหนูรองเข้ามาดื่มชาสักถ้วยก่อน ข้าจะไปรายงานให้ท่านเดี๋ยวนี้ขอรับ”

 

 

โจวเสาจิ่นนั่งลงตรงบริเวณกึ่งกลางของลานเปิดโล่งด้วยใบหูร้อนฉ่า

 

 

ไหวซานรินน้ำชาให้นางด้วยตัวเอง แล้วค่อยเดินไปเชิญเฉิงฉือ

 

 

ซือเซียงกระซิบกล่าวขึ้นว่า “คุณหนูรอง เหตุใดเรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ยถึงได้วังเวงขนาดนี้ แม้แต่สาวใช้หรือบ่าวชายสักคนก็ไม่เห็นเลยเจ้าค่ะ”

 

 

……………………………………………………………………………

 

 

 

 

[1]  เตียงอิฐ  เป็นเตียงที่สร้างจากอิฐโดยสามารถทำความร้อนให้ความอบอุ่นได้ เป็นเตียงที่ใช้กันมากในภาคเหนือของจีนโบราณ

 

 

[2]  รุ่น  ในที่นี้หมายถึงลำดับการเกิดอยู่ในรุ่นเดียวกัน เช่น คนรุ่นพ่อแม่ หรือคนรุ่นลูก เป็นต้น

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ในยามที่ โจวเสาจิ่น เด็กสาวจากตระกูลโจวผู้แสนอ่อนหวานและว่านอนสอนง่ายถูกชายคนรักที่นางไว้ใจหักหลังคร่าชีวิต นางได้แต่ภาวนาร้องขอโอกาสที่จะได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง หากนางสามารถย้อนเวลากลับไปได้ นางจะหนีไปให้ห่างไกลจากบุรุษจอมเสแสร้งอย่างเขา นางจะไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกย่ำยีอย่างน่าอดสู จะไม่ทำให้ตระกูลต้องอับอายขายขี้หน้า ไม่มีวันทำให้พี่สาวผู้แสนอ่อนโยนหัวใจแตกสลาย ขอแค่โอกาสอีกเพียงสักครั้ง… ดูเหมือนสวรรค์จะสดับฟังคำอธิษฐานก่อนสิ้นใจของนาง ท่ามกลางค่ำคืนอันแสนสงบปราศจากเค้าลางของพายุ โจวเสาจิ่นสะดุ้งตื่นขึ้นจากฝันร้ายและพบว่าตนได้ย้อนเวลากลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งราวปาฏิหาริย์ในร่างเดิมวัยสิบสองปี! ด้วยประสบการณ์อันขื่นขมที่นางได้เผชิญมาในชาติก่อน หญิงสาวตั้งปณิธานว่าจะต้องหาทางแก้ไขชะตาชีวิตของตนเองและของตระกูลในชาตินี้ให้ได้ ไม่มีอีกแล้วเด็กสาวที่ขี้ขลาดและอ่อนแอ แม้แต่ดอกไม้ก็ยังไม่กล้าเด็ดคนนั้น ได้เวลาที่นางต้องยืนหยัดลุกขึ้นสู้เพื่อตัวเองแล้ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset