ยามดอกวสันต์ผลิบาน – ตอนที่ 185 ผู่ถัว

สองพี่น้องตระกูลโจวปิดประตูคุยกับหม่าฟู่ซาน

หม่าฟู่ซานนั่งอยู่บนเก้าอี้มีเท้าแขนเพียงครึ่งตัว กล่าวเสียงเบาว่า “มีขบวนส่งตัวนักโทษจากเจียงหนิงและเมืองอื่นๆ เข้ามาพอดีในช่วงนั้น รวมถึงมีคนในครอบครัวของนักโทษที่ร่วมทางมาด้วย ทั้งมีการติดสินบนผู้คุม ทั้งการเลี้ยงข้าวและให้ของขวัญต่างๆ ช่วงนั้นภายในคุกจึงค่อนข้างวุ่นวาย พยายามตรวจสอบมาหลายวันแล้วก็ยังไม่พบเบาะแสอะไรเลยสักอย่าง กลับเป็นคำชี้นำของคุณหนูรอง…ที่ให้พวกข้าสืบจากตัวจ้าวต้าไห่ ทำให้สืบพบบางอย่างที่น่าแปลกประหลาดยิ่งนักขอรับ”

“เสาจิ่นน่ะหรือ!” โจวชูจิ่นมองไปที่น้องสาวอย่างสับสน ถามขึ้นว่า “เจ้าให้คำชี้นำอะไรไปอย่างนั้นหรือ”

โจวเสาจิ่นได้เตรียมคำตอบเอาไว้แต่เนิ่นๆ แล้ว นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “เป็นเพราะตอนนั้นข้าสงสัยในตัวเฉิงลู่ หากหลานทิงกับซินหลานถูกคนลอบฆ่าจริงๆ นอกจากเฉิงลู่แล้ว ข้าก็คิดไม่ออกแล้วว่าจะมีผู้ใดทำเรื่องเช่นนี้ได้ ก็เลยย้ำเตือนให้หม่าฟู่ซานไปสืบเรื่องของจ้าวต้าไห่บ่าวข้างกายของเฉิงลู่ดู…พวกเราลองทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม ซึ่งบอกไม่ได้ว่าจะได้ผลหรือไม่ แต่ดูทีแล้วแผนนี้ของข้าประสบผลสำเร็จแล้ว!” ประโยคสุดท้ายนั้น นางพูดกับหม่าฟู่ซาน

หม่าฟู่ซานหัวเราะออกมา พลางกล่าว “แผนของคุณหนูรองประสบผลสำเร็จแล้วจริงๆ ขอรับ พวกข้าตรวจสอบตั้งแต่วันขึ้นปีใหม่จนถึงตอนนี้ พบว่าจ้าวต้าไห่ได้เดินทางกลับมาจากเมืองฉางชาถึงเมืองจินหลิงเป็นจำนวนถึงสามครั้งแล้ว และครั้งสุดท้ายก็คือสามวันก่อนที่หลานทิงกับซินหลานจะเสียชีวิตไปอย่างกะทันหัน นอกจากนี้เขายังเคยไปกินข้าวกับหนึ่งในผู้คุมที่ชื่อว่าเฉินซานมาก่อนด้วย แต่ตอนที่พวกข้าตามหาเฉินซานจนพบนั้น เฉินซานได้เสียชีวิตอยู่ภายในห้องเสียแล้ว เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพกล่าวว่า เขาเสียชีวิตเนื่องจากดื่มสุราเกินขนาด แต่คนใกล้ชิดของเฉินซานกลับบอกว่า เฉินซานผู้นี้เป็นคนที่ไม่ค่อยดื่มสุรา…”

โจวเสาจิ่นนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง

เฉิงลู่…เดินมาถึงจุดนี้แล้วจริงๆ หรือ

หรือว่าเป็นนางเองที่ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วเฉิงลู่ได้เดินมาถึงจุดนี้ตั้งนานแล้ว!

นางอดไม่ได้ที่จะแลกเปลี่ยนสายตากับพี่สาวครั้งหนึ่ง

โจวชูจิ่นกล่าว “แล้วตรวจสอบได้หรือไม่ว่าหลานทิงกับซินหลานเสียชีวิตจากสาเหตุอะไร”

“ตรวจสอบได้แล้วขอรับ” หม่าฟู่ซานกล่าว “เสียชีวิตจากพิษของสารหนูขอรับ ท่านเจ้าเมืองอู๋ได้ให้คนไปแอบตรวจสอบอย่างเงียบๆ แล้ว ดูว่าจะสืบมาได้หรือไม่ว่าเป็นสารหนูที่ขายออกมาจากร้านขายยาร้านใด อย่างไรก็ตาม จ้าวต้าไห่กลับมาจากเมืองฉางชา ถ้าหากสารหนูนี้เป็นของที่เขานำกลับมาจากเมืองอื่น เช่นนั้นก็คงทำอะไรไม่ได้แล้วขอรับ”

สารหนูใช้ทำเป็นยาได้ แต่ปริมาณที่ใช้ทำเป็นยาล้วนเป็นปริมาณที่น้อยมาก ไม่เพียงพอให้ฆ่าคนตายได้ คนที่ซื้อในปริมาณมากมีน้อยคนมาก ปกติแล้วร้านขายยามักจะจดจำผู้ซื้อได้

โจวเสาจิ่นคิดว่าจ้าวต้าไห่ไม่ได้ซื้อสารหนูมาจากร้านในเมืองจินหลิงอย่างแน่นอน

เพราะมันง่ายต่อการถูกตรวจสอบ

หากเขาไม่ได้นำเข้ามาจากที่อื่น ก็เป็นการซื้อมาจากทางที่เขาผ่านแห่งละนิดแห่งละหน่อย จากนั้นรวบรวมจนได้ในปริมาณที่มาก

นางกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “ไม่ว่าอย่างไร เจ้าก็ต้องตรวจสอบให้ละเอียด ต่อให้สุดท้ายจะไม่อาจสาวถึงตัวจ้าวต้าไห่ได้ พวกเราก็ต้องทำให้แน่ใจว่าเฉิงลู่เป็นผู้สั่งการจริงๆ หรือไม่ ถึงแม้ข้าจะสงสัยเขา แต่ก็ไม่อาจปรักปรำเขาได้”

หม่าฟู่ซานขานรับอย่างนอบน้อมว่า “ขอรับ”

โจวเสาจิ่นสองพี่น้องส่งเขาออกจากประตูไปด้วยตัวเอง

มองเงาร่างของหม่าฟู่ซานที่ค่อยๆ ลับหายเข้าไปตรงมุมทางเดินแล้ว โจวชูจิ่นอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจยาวออกมาครั้งหนึ่ง กล่าวกับน้องสาวว่า “เจ้าว่าเฉิงลู่ผู้นี้คิดอะไรอยู่กันแน่ หลังฤดูใบไม้ร่วงหลานทิงกับซินหลานก็จะถูกตัดหัวอยู่แล้ว เหตุใดเขายังจะกระทำเรื่องที่ไม่จำเป็นอยู่อีกเล่า”

โจวเสาจิ่นกล่าวเสียงเคร่งว่า “ท่านพี่ หากเฉิงลู่ผู้นั้นไม่เคยเชื่อว่าบิดาของเขาทำเรื่องเลวทรามพรรค์นั้นเล่า หากเขาคิดว่าที่พวกเราปล่อยหลานทิงกับซินหลานเอาไว้ก็เพื่อใส่ร้ายบิดาของเขาเล่า”

โจวชูจิ่นตะลึงงัน

โจวเสาจิ่นกล่าว “นอกจากเหตุผลนี้แล้ว ข้าก็คิดไม่ตกแล้วจริงๆ ว่าเหตุใดเขาถึงอยากทำร้ายหลานทิงกับซินหลาน!”

นอกจากเหตุผลนี้แล้ว นางก็คิดไม่ตกเช่นกันว่าเหตุใดชาติก่อนเขาถึงอยากทำร้ายนาง!

โจวชูจิ่นยิ้มอย่างขมขื่น พลางกล่าว “หากเป็นเช่นนี้จริงๆ เกรงว่าต่อไปพวกเราอาจจะต้องเจอกับเรื่องวุ่นวายอีก”

โจวเสาจิ่นให้กำลังใจพี่สาว “ไม่กลัวเจ้าค่ะ! พวกเรารู้แล้วว่าเขาเป็นคนไม่ดี เพียงระมัดระวังเขาเอาไว้ ย่อมไม่ปล่อยให้เขามีโอกาสเข้ามาได้อีกแล้ว”

“แต่ความรู้สึกที่ว่ามีหนอนชอนไชอยู่ใกล้กระดูกเช่นนี้ก็ยากจะรับไหวจริงๆ!” โจวชูจิ่นกล่าว

“เช่นนั้นก็ต้องหาโอกาสจัดการเรื่องนี้ให้สิ้นซากเสียแล้วเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นเห็นด้วยกับคำพูดของพี่สาว นางมีเรื่องให้ต้องทำอีกมาก ไม่อาจเสียเวลาไปกับเรื่องของเฉิงลู่ได้

โจวชูจิ่นหัวเราะลั่น พลางกล่าว “เดี๋ยวนี้เจ้ากล้าหาญใหญ่แล้ว ทำอะไรก็มีความคิดเป็นของตัวเอง ใจที่แขวนอยู่ของข้าสุดท้ายก็วางลงได้เสียที”

พี่สาวกลัวว่าหลังจากที่นางแต่งงานออกไปแล้วตนจะถูกผู้อื่นรังแกกระมัง

โจวเสาจิ่นรีบคล้องแขนของโจวชูจิ่นเอาไว้ พลางกล่าว “ท่านวางใจเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะดูแลตัวเองให้ดี รอให้ผ่านไปสักสองปี ข้าจะไปเยี่ยมท่าน ไม่แน่ว่าเวลานั้นพี่เขยอาจจะสอบเข้าไปอยู่ที่จิงเฉิงได้แล้ว และท่านเองก็ตามไปอยู่ที่จิงเฉิงด้วยแล้วก็เป็นได้ ถึงเวลานั้นพวกเราสองพี่น้องก็จะได้ไปเดินเล่นที่วัดต้าเซียงกั๋วด้วยกัน”

โจวชูจิ่นหน้าแดงเรื่อเล็กน้อย

***

เฉิงฉือได้ยินข่าวที่ว่าหลานทิงกับซินหลานเสียชีวิตกะทันหันอยู่ในคุกแล้วก็ตกใจเล็กน้อย เขากล่าวกับไหวซานว่า “เรื่องนี้ต้องไม่ใช่แผนของตระกูลโจวอย่างแน่นอน แล้วก็ไม่น่าจะใช่พัศดีเป็นคนลงมือด้วยเช่นกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่รอให้ถึงหลังฤดูใบไม้ร่วงก่อนแล้วค่อยตัดหัวบ่าวหญิงสองคนนั้น…ดูแล้วเรื่องนี้น่าสนใจไม่น้อย เจ้าไปสืบมาสักหน่อยว่าเรื่องนี้เป็นมาอย่างไรกันแน่!”

ไหวซานถอยออกไปจากห้องหนังสือ

เฉิงฉืออ่านหนังสือไปครู่หนึ่ง ขบคิดว่าเวลานี้มารดาน่าจะทำวัตรเช้าเสร็จแล้ว จึงไปที่เรือนหลัก

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกับสื่อมามากำลังหารือเกี่ยวกับเรื่องเดินทางไปเขาผู่ถัวว่าจะพาบ่าวรับใช้คนใดไปด้วยบ้าง พอเห็นเฉิงฉือเดินเข้ามา ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงส่งใบรายการให้บุตรชายดู กล่าวขึ้นว่า “เจ้าก็ช่วยออกความเห็นให้ข้าสักข้อหนึ่งเถิด”

เฉิงฉืออ่านคร่าวๆ ครั้งหนึ่ง แล้วกล่าวขึ้นว่า “ดีแล้วขอรับ ข้าดูแล้วไม่มีอะไรต้องเพิ่มหรือลดแล้วขอรับ”

ตอนนี้เขาคิดเพียงว่าจะพยายามเติมเต็มความต้องการของมารดาให้ได้มากที่สุด

ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินแล้วไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง กล่าวขึ้นว่า “เจ้าไม่ต้องมาเอาใจข้าพอเป็นพิธี! ข้ารู้สึกว่าดูเหมือนจำนวนสาวใช้ออกจะมากเกินไป ถึงได้ให้เจ้าช่วยข้าดูสักหน่อย”

เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ “พวกเราไปเพื่อท่องเที่ยว หากมัวแต่กังวลเรื่องประหยัดค่าใช้จ่าย เช่นนั้นจะหาความสำราญได้อย่างไร! ท่านเพียงไปกับข้าอย่างสบายใจก็พอแล้วขอรับ”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยังคงลังเลเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “ข้ากลัวว่าพวกปี้อวี้จะเมาเรือ”

นี่เป็นการออกเดินทางครั้งแรกของบรรดาสตรีส่วนใหญ่ จึงไม่มีใครรู้ว่าหลังจากขึ้นเรือแล้วตัวเองจะมีอาการเช่นไรบ้าง

เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “คุณหนูรองตระกูลโจวไม่เมาเรือ ถึงเวลานั้นให้นางดูแลท่านก็แล้วกันขอรับ”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ยินแล้วก็ดีใจยิ่งนัก หัวเราะพลางกล่าวว่า “เด็กคนนี้กับข้าช่างมีวาสนาต้องกัน เดิมทีเพียงเห็นว่านางมาอาศัยอยู่ใต้ชายคาผู้อื่น เสมือนกับวิหคตัวน้อยที่ถูกขังอยู่ในกรง จึงอยากจะพานางออกไปดูโลกภายนอก ใครจะรู้ว่านางกลับไม่เมาเรือ ข้ารู้ว่าเจ้าชินกับอิสรเสรีที่ได้อยู่ข้างนอก แต่ตอนนี้ข้าอายุไม่น้อยแล้ว บางเวลาก็อยากให้เจ้าอยู่ข้างกายเป็นเพื่อนข้า ใครจะรู้ว่านางกลับเดินหมากเป็นด้วย…เด็กผู้นี้ดียิ่งนัก ต้องหาคู่ครองดีๆ ให้นางสักคนถึงจะถูก หากเจ้าได้ออกไปข้างนอกอีก ก็ช่วยดูให้นางสักหน่อย จะต้องเป็นคนที่มีอุปนิสัยดี รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น หากเด็กคนนี้จะแต่งงาน ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นตระกูลที่สูงส่งมาก สิ่งที่สำคัญก็คือต้องเป็นคู่ครองที่เหมาะสมกลมเกลียว รักใคร่และใส่ใจกัน…”

เฉิงฉือยกยิ้มที่มุมปากอย่างห้ามไม่อยู่

เป็นเรื่องจริงที่ว่าเด็กสาวผู้นั้นขึ้นเรือแล้วไม่เมา แต่เรื่องเดินหมากนั้น ก็เป็นเพียงการแสดงหนึ่งก็เท่านั้น…อย่างไรก็ตาม ที่มารดากล่าวมาก็ถูก สิ่งที่เด็กสาวอายุเท่านางตอนนี้เป็นกังวลที่สุดก็คือเรื่องที่ว่าจะได้แต่งงานกับคนที่ปรารถนาหรือไม่ ในเมื่อนางเคยรับใช้มารดาอยู่ช่วงหนึ่ง อีกทั้งยังได้รับความโปรดปรานจากมารดา ช่วยหาคู่ครองดีๆ ให้นางสักคนถือเป็นการตอบแทนนางก็แล้วกัน

ไม่รู้ว่านางจะยินดีแต่งงานไปอยู่ที่ไกลๆ หรือไม่

ตระกูลใหญ่ๆ ในเมืองจินหลิงเหล่านี้เขาไม่ค่อยคุ้นเคยด้วยนัก

ตระกูลกัวก็เข้มงวดเกินไป ตระกูลกู้ก็มีคนมากเกินไป…

เฉิงฉือตัดสินใจว่าจะยกเรื่องนี้ให้ฉินจื่อผิงเป็นคนไปจัดการ

เด็กหนุ่มผู้นั้นชื่นชอบเรื่องจุกจิกภายในบ้านพวกนี้เป็นที่สุด มอบให้เขาเป็นคนไปจัดการจะดีกว่า

เขาขานรับ “อืมๆ” พลางนำเอาคำพูดของมารดามาเก็บไว้ในใจ

ภายในเรือนหว่านเซียง โจวเสาจิ่นกลับกำลังหงุดหงิดจนหัวหมุน

เฉิงเจียโกรธจนเดินไปเดินมาอยู่ในห้องของนาง เดินไปด้วย ตำหนินางไปด้วยว่า “เจ้ากำลังจะไปถวายธูปที่เขาผู่ถัวแต่กลับไม่บอกข้า! ต้องให้ข้าได้ยินมาจากชุ่ยหวน เจ้ากับข้ายังเป็นพี่น้องกันอยู่หรือไม่ มีพี่น้องที่ทำตัวเช่นเจ้าด้วยหรือ มีเรื่องดีๆ เช่นนี้แต่เจ้ากลับไม่บอกข้าสักคำ หากข้ารู้ให้เร็วกว่านี้ ก็จะได้ไปหาท่านย่าของข้าให้ช่วยหาวิธีทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพาข้าไปด้วย! เจ้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร เวลาข้ามีเรื่องอะไรดีๆ ล้วนนึกถึงเจ้า แต่เจ้ากลับไม่นึกถึงข้า…”

โจวเสาจิ่นไม่รู้จะทำอย่างไรจริงๆ แล้ว กล่าวขึ้นว่า “เมื่อสองวันก่อนข้ายังส่งผลหม่อนไปให้เจ้าหนึ่งจาน แล้วเจ้ามาพูดว่าเวลามีอะไรดีๆ ข้าไม่นึกถึงเจ้าได้อย่างไร ส่วนครั้งนี้ข้าเองก็ได้รับอานิสงส์ความโชคดีมาจากฮูหยินผู้เฒ่ากัว เจ้าจะให้ข้าบอกกับเจ้าว่าอย่างไร บอกให้เจ้าไปกับข้าด้วยอย่างนั้นหรือ นั่นจะไม่เป็นการไปกระตุ้นให้เจ้าสร้างปัญหาหรอกหรือ”

เฉิงเจียพลันรู้สึกสิ้นหวัง นั่งอยู่บนเก้าอี้มีเท้าแขนอย่างอ่อนเปลี้ยเพลียแรงพลางพึมพำกล่าวว่า “แต่เจ้าก็น่าจะบอกข้าสักคำให้เร็วกว่านี้…”

โจวเสาจิ่นพอจะเข้าใจความรู้สึกของนาง

โอกาสที่จะได้เดินทางออกจากบ้านเช่นนี้ไม่แน่ว่าอาจจะไม่ได้พานพบเลยสักครั้งตลอดทั้งชีวิต ฉะนั้นไม่ว่าใครก็อยากไปทั้งนั้น

นางทำได้เพียงกระซิบปลอบใจเฉิงเจียเสียงเบาว่า “ข้าได้ยินพี่ชายเก้ากล่าวว่า พวกเราต้องนั่งเรือไปที่เจิ้นเจียงก่อน จากนั้นล่องไปตามแม่น้ำ ผ่านฉางโจว อู๋ซี ซูโจว และเจียซิงจนถึงเมืองหังโจว แล้วก็ค่อยออกจากเมืองหังโจวไปหนิงโป โจวซาน แล้วขึ้นเขาผู่ถัว ถึงเวลานั้นข้าจะเอาตะเกียงไหว้พระกลับมาฝากเจ้าดีหรือไม่”

เฉิงเจียหน้าบึ้ง ไม่เอ่ยความเห็นใดๆ

โจวเสาจิ่นได้แต่ถูขมับของตัวเองไปมา

ปี้เถาเข้ามาแจ้งว่า “คุณหนูรอง แม่นางจี๋อิ๋งจากเรือนของนายท่านสี่มาหาเจ้าค่ะ”

โจวเสาจิ่นราวกับได้ปลดปล่อยภาระอันหนักอึ้งออก รีบกล่าวขึ้นว่า “รีบเชิญนางเข้ามา”

เฉิงเจียถึงได้นั่งดีๆ อย่างไม่เต็มใจนัก

ที่ผ่านมาจี๋อิ๋งก็ไม่ค่อยใส่ใจที่จะมองสีหน้าของผู้คนอยู่แล้ว หลังจากที่กล่าวทักทายเฉิงเจียครั้งหนึ่งแล้ว ก็หันไปคุยกับโจวเสาจิ่นอย่างเบิกบาน “ข้าได้ยินว่าเจ้าคัดพระธรรมใกล้จะเสร็จแล้ว นายท่านสี่กำหนดที่จะออกเดินทางในวันที่สิบเดือนหน้า หมายจะไปให้ทันปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงที่แม่น้ำเฉียนถัง ถึงเวลานั้นข้าก็ไปกับเจ้าด้วย”

โจวเสาจิ่นดีใจยิ่งนัก

เฉิงเจียกลับส่งเสียง “หึ” ออกมาอย่างเย็นชาเสียงหนึ่ง

โจวเสาจิ่นหันไปยิ้มให้จี๋อิ๋งอย่างขอลุแก่โทษ

จี๋อิ๋งกลับไม่ชำเลืองมองเฉิงเจียเลยสักครั้ง กล่าวขึ้นอย่างไม่สนใจว่า “ตอนที่เจ้าจะจัดข้าวของก็ให้ไปเรียกข้าสักหน่อย เมื่อก่อนข้าเคยออกเดินทางกับท่านพ่อของข้าบ่อยๆ ถึงเวลานั้นข้าจะมาช่วยเจ้าจัดหีบสัมภาระ”

โจวเสาจิ่นกล่าวขอบคุณไม่หยุด กล่าวขึ้นอีกว่า “ข้าได้ยินคนพูดกันว่าในวันคล้ายวันเกิดของเฉาเสินในวันที่สิบแปดเดือนแปด แม่น้ำเฉียนถังถึงจะเกิดปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลง เช่นนั้นพวกเราคงไม่มีโอกาสได้ร่วมงานวัดวันคล้ายวันสำเร็จมรรคผลขององค์พระโพธิสัตว์กวนอิมในวันที่สิบเก้าเดือนเก้าแล้วกระมัง”

“งานวัดมีอะไรให้น่าดูน่าชมอย่างนั้นหรือ” จี๋อิ๋งกล่าวขึ้นอย่างสงสัย “เจ้ารู้หรือไม่ว่าอะไรคือปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงที่แม่น้ำเฉียนถัง ถึงเวลานั้นแม่น้ำเฉียนถังจะปรากฏคลื่นยักษ์ เสียงดังราวฟ้าคำราม คลื่นน้ำแตกซ่านกระเซ็นดุจไข่มุกกระจัดกระจาย ยอดคลื่นสูงใหญ่ดั่งภูเขา…มีคนมากมายที่ไม่มีโอกาสได้เห็นเลยสักครั้งตลอดทั้งชีวิต แต่เจ้ากลับเป็นกังวลเกี่ยวกับงานวัดอย่างนั้นหรือ งานวัดเช่นนี้ที่ไหนไม่มีบ้าง วัดต้าเซียงกั๋วที่จิงเฉิง วัดไป๋หม่าที่ลั่วหยาง หรือวัดจีหมิงที่จินหลิง มีที่ไหนที่ไม่เหมือนกันบ้าง หรือว่างานวัดที่เขาผู่ถัวออกดอกไม้อย่างนั้นหรือ”

โจวเสาจิ่นถามขึ้นอย่างไร้เดียงสา “ไม่ใช่ว่าพวกเราไปจุดธูปไหว้พระหรอกหรือ”

จี๋อิ๋งกล่าว “เจ้าออกจากบ้านยังอยากเลิกผ้าม่านเกี้ยวขึ้นเพื่อดูข้างทางเลยมิใช่หรือ!”

จริงด้วย!

โจวเสาจิ่นยอมรับว่าตัวเองไม่มีประสบการณ์อะไรเลยจริงๆ!

นางกล่าว “เช่นนั้นอีกไม่กี่วันเจ้ามาช่วยข้าจัดหีบสัมภาระก็แล้วกัน”

จี๋อิ๋งถึงได้พยักหน้าอย่างพึงพอใจ

เฉิงเจียที่นั่งอมทุกข์อยู่ตรงนั้นคนเดียวเมื่อเห็นโจวเสาจิ่นกับจี๋อิ๋งคุยกันอย่างถูกคอ ก็สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไป

***************************

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ในยามที่ โจวเสาจิ่น เด็กสาวจากตระกูลโจวผู้แสนอ่อนหวานและว่านอนสอนง่ายถูกชายคนรักที่นางไว้ใจหักหลังคร่าชีวิต นางได้แต่ภาวนาร้องขอโอกาสที่จะได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง หากนางสามารถย้อนเวลากลับไปได้ นางจะหนีไปให้ห่างไกลจากบุรุษจอมเสแสร้งอย่างเขา นางจะไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกย่ำยีอย่างน่าอดสู จะไม่ทำให้ตระกูลต้องอับอายขายขี้หน้า ไม่มีวันทำให้พี่สาวผู้แสนอ่อนโยนหัวใจแตกสลาย ขอแค่โอกาสอีกเพียงสักครั้ง… ดูเหมือนสวรรค์จะสดับฟังคำอธิษฐานก่อนสิ้นใจของนาง ท่ามกลางค่ำคืนอันแสนสงบปราศจากเค้าลางของพายุ โจวเสาจิ่นสะดุ้งตื่นขึ้นจากฝันร้ายและพบว่าตนได้ย้อนเวลากลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งราวปาฏิหาริย์ในร่างเดิมวัยสิบสองปี! ด้วยประสบการณ์อันขื่นขมที่นางได้เผชิญมาในชาติก่อน หญิงสาวตั้งปณิธานว่าจะต้องหาทางแก้ไขชะตาชีวิตของตนเองและของตระกูลในชาตินี้ให้ได้ ไม่มีอีกแล้วเด็กสาวที่ขี้ขลาดและอ่อนแอ แม้แต่ดอกไม้ก็ยังไม่กล้าเด็ดคนนั้น ได้เวลาที่นางต้องยืนหยัดลุกขึ้นสู้เพื่อตัวเองแล้ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset