ยามดอกวสันต์ผลิบาน – ตอนที่ 189 เล่นไพ่

เมื่อเฝ่ยชุ่ยที่นั่งอยู่ข้างฮูหยินผู้เฒ่ากัวและช่วยฮูหยินผู้เฒ่ากัวดูไพ่เห็นโจวเสาจิ่นทิ้งไพ่สามเหวิน โดยไม่รอให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ทันทำอะไร ก็รีบร้องออกมาว่า “กินแล้ว”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเหลือบมองไพ่ของตนเอง ทันใดนั้นก็คลี่ยิ้มแล้วหงายไพ่สามเหวินคู่หนึ่งออกมา จากนั้นก็ทิ้งไพ่สองเหวินใบหนึ่ง

สื่อมามาชำเลืองมองโจวเสาจิ่นแวบหนึ่ง

โจวเสาจิ่นที่กำลังจ้องมองไพ่เรียงแต้มแต่ละชุดในมือของตน ไหนเลยจะสนใจไพ่บนโต๊ะ หรือจะสนใจว่าคนอื่นทิ้งไพ่อะไรไปบ้าง

สื่อมามาเห็นแล้วก็ยกยิ้มน้อยๆ พลางกินไพ่สองเหวิน หลังจากขบคิดแล้ว ก็ทิ้งไพ่สี่สั่ว

โจวเสาจิ่นนั่งอยู่ถัดจากสื่อมามา

เฉิงฉือร้องว่า “กินไพ่”

ในมือของโจวเสาจิ่นมีไพ่สองสั่วหนึ่งใบ สามสั่วหนึ่งใบ สี่สั่วหนึ่งใบ ห้าสั่วหนึ่งใบ หกสั่วหนึ่งใบ เจ็ดสั่วหนึ่งใบ หากว่าได้ไพ่สองสั่ว ห้าสั่วหรือแปดสั่วหนึ่งใบ นางก็จะชนะแล้ว กล่าวคือ ตอนนี้นางรอไพ่เพื่อรอชนะเท่านั้น

นางเหล่มองเฉิงฉือแวบหนึ่ง

เฉิงฉือมีสีหน้าเรียบเฉย

นางรีบกระซิบถามว่า “ทิ้งใบไหนดีเจ้าคะ”

โจวเสาจิ่นไม่กล้าถามว่ากินใบไหนดี นางกลัวจะถูกอีกสามคนได้ยินเข้า

เฉิงฉือตอบว่า “ทิ้งเจ็ดสั่ว”

ไม่ใช่สองสั่ว ห้าสั่ว หรือแปดสั่ว แต่เป็นห้าสั่วใบเดียวหรือ

โจวเสาจิ่นคิดว่าหากทิ้งไพ่เช่นนี้จะทำให้มีโอกาสชนะน้อยเกินไป

แต่เฉิงฉือบอกให้นางทิ้งไพ่เจ็ดสั่วต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ นางจะหักหน้าเฉิงฉือได้อย่างไร

โจวเสาจิ่นทิ้งไพ่เจ็ดสั่ว

ปี้อวี้ที่นั่งอยู่ตำแหน่งถัดไปมองดูไพ่บนโต๊ะ แล้วก็มองดูไพ่ในมือ ครุ่นคิดอยู่นานครู่หนึ่ง จากนั้นจึงทิ้งไพ่เจ็ดสั่วตามไปด้วย

สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่ผ่อนคลายเหมือนก่อนหน้าอีกแล้ว

นางคิดแล้วคิดอีก จากนั้นก็ทิ้งไพ่เจ็ดสั่วตามอย่างระมัดระวัง

สื่อมามาทิ้งไพ่สี่สั่วหนึ่งใบออกไปโดยไม่คิด

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวย่นคิ้วพลางถามว่า “เหตุใดเจ้าถึงได้ตัดไพ่ติดๆ กันเช่นนี้”

สื่อมามากล่าวแย้งว่า “ประเดี๋ยวข้าจะเปิดไพ่ให้ท่านดู! ข้าอยากจะได้ไพ่ตองแต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ออกมาเสียที ใครจะรู้ว่าพอตัดไพ่แล้ว คุณหนูรองกลับทิ้งไพ่ออกมา”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่เอ่ยคำใด

โจวเสาจิ่นจั่วไพ่ใบหนึ่ง

ไม่คาดคิดว่าจะเป็นห้าสั่ว

นางตกตะลึงตาค้าง มองไปที่เฉิงฉือ แล้วหันไปมองฮูหยินผู้เฒ่ากัวอีก

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวรู้สึกตัวจึงเอ่ยถามว่า “เป็นอะไรไปหรือ”

“ขะ…ข้าจั่วไพ่แล้วชนะเจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นตอบอย่างตะกุกตะกักพลางวางไพ่บนโต๊ะ

“นี่ก็จั่วได้ด้วยหรือ!” ปี้อวี้เปิดไพ่เรียงแต้มห้าสั่วในมือออกมา “ข้าเห็นนายท่านสี่บอกคุณหนูรองให้ทิ้งเจ็ดสั่วจึงรู้สึกว่าแปลกๆ ก็เลยตัดไพ่เรียงชุดหนึ่งแล้วทิ้งไพ่ตาม คาดไม่ถึงว่าจะทำให้คุณหนูรองจั่วไพ่ได้เจ้าค่ะ”

โจวเสาจิ่นยิ่งไม่เข้าใจเข้าไปใหญ่

ตามที่ทุกคนกล่าวมานั้น นางจั่วไพ่ห้าสั่วที่มีอยู่ใบเดียวได้

เฉิงฉือรู้ได้อย่างไรว่าหลังจากที่นางกินไพ่ของสือมามาแล้วจะชนะอย่างแน่นอน

นางเหลือบมองเฉิงฉือแวบหนึ่ง

เฉิงฉือไม่สนใจแต่อย่างใด

โจวเสาจิ่นก้มหน้าลงแล้วล้างไพ่

ปี้อวี้เม้มปากกลั้นยิ้ม พลางสะกิดนางว่า “คุณหนูรอง เป็นเจ้ามือของสื่อมามาเจ้าค่ะ”

ดวงหน้าโจวเสาจิ่นขึ้นสีแดงเรื่อ

สื่อมามายิ้มพลางหยอกเย้านางว่า “คุณหนูรองทำอย่างนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ! เล่นไพ่แพ้ติดต่อกันสี่รอบแล้ว ท่านยังจะแย่งตำแหน่งเจ้ามือของข้าไปอีกหรือเจ้าคะ”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวและคนอื่นๆ ต่างหัวเราะร่วน

โจวเสาจิ่นหน้าแดงเถือกด้วยความขัดเขิน

พอเริ่มเล่นใหม่ เฉิงฉือยังคงคอยชี้แนะการเล่นไพ่ให้นางอยู่ข้างๆ

นางเป็นเจ้ามือติดต่อกันหกรอบอย่างเหลือเชื่อ ตอนที่เล่นรอบที่เจ็ด ไม่คาดคิดว่านางจะได้ไพ่ตองชุดใหญ่ติดๆ กัน

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวอดกล่าวอย่างขุ่นเคืองไม่ได้ว่า “ชายสี่ หากว่าเจ้าไม่มีธุระใดๆ ไม่สู้มาเล่นไพ่กับพวกเราเสียให้รู้แล้วรู้รอด!”

ใบหน้าของโจวเสาจิ่นราวกับมีเพลิงแผดเผา รีบลุกขึ้นมากล่าวว่า “ท่านน้าฉือ ข้ายกให้ท่านเล่นก็แล้วกันเจ้าค่ะ!”

ปี้อวี้ก็ลุกขึ้นมาอย่างว่องไวเช่นเดียวกัน พลางกล่าวว่า “นายท่านสี่ บ่าวเล่นไพ่ไม่เก่งนัก ฮูหยินผู้เฒ่าว่ากล่าวบ่าวมาหลายครั้งแล้ว หากไม่ใช่เพราะขาดผู้เล่น ฮูหยินผู้เฒ่าคงจะไล่บ่าวออกไปเสียจากโต๊ะนานแล้ว ท่านนั่งลงแทนที่บ่าวเถิดเจ้าค่ะ! อีกอย่างเวลาบ่าวแพ้ฮูหยินผู้เฒ่าจะได้ไม่ต้องบ่นว่าบ่าวจ่ายเงินช้าเจ้าค่ะ”

ทุกคนได้ยินแล้วต่างก็หัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง

ทว่าเฉิงฉือกลับล้วงนาฬิกาพกออกมาดู พลางกล่าวว่า “ประเดี๋ยวข้ายังมีธุระ ข้าแค่มาที่นี่เพื่อฆ่าเวลากับพวกเจ้า พวกเจ้าอย่าได้สนใจข้าเลย”

เขากล่าวออกมาเช่นนี้ ทุกคนต่างก็ไม่อาจรบเร้าเขาต่อไปได้อีก จึงนั่งลงเล่นไพ่ใหม่อีกครั้ง

แต่คราวนี้เขาไม่ได้กล่าวอะไรอีก เพียงนั่งดูอยู่ข้างๆ อย่างสบายๆ

จิตใจของโจวเสาจิ่นกลับรู้สึกประหม่าอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

นางกลัวว่าตนจะเล่นผิด ทำให้เฉิงฉือคิดว่านางโง่งม

ด้วยเหตุนี้ นางจึงเล่นไพ่ด้วยความไม่มั่นใจและลังเลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ รู้สึกว่าทิ้งไพ่ใบนี้ก็ผิด ทิ้งไพ่ใบอื่นก็ดูเหมือนจะผิดเช่นกัน…สับสนจนทำอะไรไม่ถูก นางเล่นจนแพ้ติดต่อกันสิบสองรอบ โชคดีที่ฮูหยินกัวและคนอื่นๆ ไม่ได้ชนะด้วยไพ่ชุดใหญ่แต่อย่างใด นางเพียงเสียเงินที่ได้รับมาจากชัยชนะก่อนหน้านั้นไปเท่านั้น กระทั่งถึงยามรับประทานมื้อเย็น นางก็ไม่แพ้หรือชนะแต่อย่างใด

โจวเสาจิ่นอดพรูลมหายใจเหยียดยาวออกมาไม่ได้

ทว่าเฉิงฉือกลับกระซิบบอกนางว่า “หลังจากรับประทานมื้อเย็นเสร็จแล้ว เจ้ามาหาข้าที่ห้องพักโดยสารของข้าด้วย”

โจวเสาจิ่นไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไร ปรายตามองหลังของฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่เดินนำหน้าพวกเขาโดยไม่กล้าส่งเสียงใดๆ แล้วพยักหน้าน้อยๆ รับคำ

ครั้นรับประทานมื้อเย็นเสร็จแล้ว ก็ดื่มชาอยู่เป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากัว ไม่ง่ายเลยกว่าที่นางจะหาโอกาสขอตัวกลับไปเร็วกว่าทุกที

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเองก็เหนื่อยแล้วเหมือนกัน จึงไม่ได้รั้งนางเอาไว้ บอกให้ปี้อวี้ส่งนางออกประตู

โจวเสาจิ่นหมุนกายตรงโค้ง แล้วไปที่ห้องพักโดยสารของเฉิงฉือ

เฉิงฉือกำลังนั่งทำอะไรบางอย่างอยู่ข้างหลังโต๊ะเขียนหนังสือตัวใหญ่ภายในห้องหนังสือของห้องพักโดยสาร

ชิงเฟิงกับหลั่งเย่ว์คนหนึ่งกำลังเฝ้าดูฟืนไฟภายในห้องโดยสาร อีกคนหนึ่งกำลังคุกเข่าอยู่ข้างๆ เสื่อไม้ไผ่มองดูน้ำที่เดือดอยู่บนเตาถ่านดินเผา เตรียมจะชงชา

โจวเสาจิ่นก้าวเข้าไปอย่างเงียบๆ และสุขุม แล้วทำความเคารพเฉิงฉืออย่างนอบน้อม

เฉิงฉือกวักมือเรียกนาง

โจวเสาจิ่นเดินเข้าไปหา ถึงได้พบว่าสิ่งที่วางอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือตัวใหญ่คือไพ่ใบไม้สำรับหนึ่ง

นางรู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก

ทว่าเฉิงฉือกลับถามนางว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าไพ่ใบไม้หนึ่งสำรับมีไพ่อยู่กี่ใบ”

โจวเสาจิ่นส่ายศีรษะ

เฉิงฉือตอบว่า “เจ้าลองนับดูเอาเองก็แล้วกัน”

โจวเสาจิ่นเงียบงันไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวขึ้นว่า “หนึ่งร้อยแปดใบเจ้าค่ะ”

“ไม่เลว” เฉิงฉือยกยิ้มเบาบาง พลางกล่าวว่า “แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าไพ่ทั้งหมดมีกี่ชุด แต่ละชุดมีไพ่กี่ใบ”

“ทราบเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นขบคิดไปด้วย เอ่ยตอบไปด้วย “ทั้งหมดมีไพ่สี่ชุด คือชุดเหวิน ชุดสั่ว ชุดว่าน ชุดถ่งเจ้าค่ะ แต่ละชุดมีเลขตั้งแต่หนึ่งถึงเก้า แต่ละเลขมีสี่ใบเจ้าค่ะ”

ตอบมากกว่าที่เฉิงฉือถาม อีกทั้งยังละเอียดกว่าด้วย

เฉิงฉือเผยสีหน้าพึงพอใจ หยิบไพ่ในมือ พลางกล่าวว่า “เจ้าดู ไพ่แต่ละชุดล้วนมีจำนวนที่แน่นอน ถ้าหากในมือของเจ้ามีไพ่เหล่านี้ เช่นนั้นก็จะเหลือไพ่เหล่านี้อยู่ ถ้าหากคนอื่นทิ้งไพ่เหล่านี้ไป แล้วจะเหลือไพ่เหล่านี้อยู่อีกกี่ใบ เจ้าก็อนุมานได้จากนี้ว่าในมือของผู้เล่นคนอื่นมีไพ่อะไรกี่ใบบ้าง ยังเหลือไพ่อีกกี่ใบ ตอนที่เล่นก็ดูว่าไพ่ใบใดมีความเป็นไปได้มากกว่ากัน…” เขากล่าวพลางปรายตามองใบหน้าของโจวเสาจิ่นที่พริ้มเพราหมดจดแต่นัยน์ตากลับพกพาความงงงวยหลายส่วนอยู่นั้นโดยไม่ตั้งใจ เขาจึงยั้งถ้อยคำเอาไว้อย่างอดไม่ได้ แล้วผ่อนลมหายใจเบาๆ พลางกล่าวว่า “ข้าว่าเอาไว้แค่นี้ก่อนดีกว่า เรื่องนี้คงจะซับซ้อนเกินไปสำหรับเจ้า เจ้าเพียงจำเอาไว้ว่ามีไพ่อะไรอยู่ในมือของเจ้ากี่ใบ เคยทิ้งไพ่ไปแล้วกี่ใบ ผู้เล่นคนอื่นทิ้งไพ่อะไรไปแล้วกี่ใบ ก็พอจะทราบคร่าวๆ ได้แล้วว่าในกองยังมีไพ่ชุดใดเหลืออยู่กี่ใบบ้าง เจ้าเพียงรอไพ่สองสามใบนั้นก็พอ เจ้าเข้าใจที่ข้าบอกหรือไม่”

โจวเสาจิ่นพยักหน้าหงึกๆ พลางตอบว่า “ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ เพียงแค่นับไพ่ของตัวเอง และนับไพ่ของคนอื่น เช่นนี้ก็จะรู้ว่าต้องทิ้งไพ่ใบใดหรือตัดไพ่ใบใดแล้วเจ้าค่ะ”

เฉิงฉือลอบรู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง

เขาละกลัวจริงๆ ว่านางจะไม่เข้าใจ แล้วต้องอธิบายให้นางฟังใหม่ตั้งแต่ต้น

“เช่นนั้นก็ดี พวกเรามาลองฝึกเล่นดูสักหน่อย” ขณะที่เฉิงฉือล้างไพ่ นิ้วมือเรียวยาวล้างไพ่ได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว ไพ่ในมือของเขาพลิกไปพลิกมา ราวกับมีชีวิตขึ้นมาก็ไม่ปาน “ไพ่สองกองนี้ของข้า ไพ่สองกองนี้ของเจ้า…เจ้าเริ่มเล่นก่อน”

โจวเสาจิ่นจ้องดูไพ่ในมือของตนอย่างระมัดระวังอยู่นานครู่หนึ่ง จากนั้นก็ทิ้งไพ่เก้าสั่วที่ไม่มีหมู่บ้านอยู่ข้างหน้า ไม่มีร้านค้าอยู่ข้างหลัง[1] ออกไป แล้วมองดูไพ่อีกกองอยู่นาน ถึงได้ทิ้งไพ่หกสั่ว

เฉิงฉือเอ่ยขึ้นว่า “ดีมาก! ไม่ต้องรีบร้อน แม้จะกล่าวว่าการเล่นไพ่เป็นเรื่องของผู้เล่นสี่คน แต่หากว่าเจ้าโอนอ่อนผ่อนตามผู้อื่นเกินไป ก็ง่ายที่จะลนลาน ครั้นลนลานแล้ว ก็ง่ายที่จะทิ้งไพ่ผิด” เขากล่าวพลางทิ้งไพ่หกสั่วหนึ่งใบจากกองไพ่ทั้งสองกอง “ตอนนี้เจ้าเพียงต้องสังเกตว่าผู้เล่นแต่ละคนทิ้งไพ่ใดไปแล้วบ้าง เช่นนั้นเจ้าลองดูว่า ทั้งหมดยังเหลือไพ่เก้าสั่วอีกกี่ใบ และไพ่หกสั่วอีกกี่ใบ”

โจวเสาจิ่นเอ่ยตอบโดยไม่ต้องคิด “เหลือไพ่หกสั่วอีกหนึ่งใบ และไพ่เก้าสั่วอีกสามใบเจ้าค่ะ”

“ดังนั้นตอนนี้เจ้าก็ต้องขบคิดแล้วว่า เหลือไพ่หกสั่วเพียงใบเดียว เช่นนั้นก็ยากที่จะรวบรวมไพ่เรียงแต้มหก เจ็ด แปดได้ และยากที่จะรวบรวมไพ่เรียงแต้มสี่ ห้า หกได้เหมือนกัน หากว่าในมือของเจ้ามีไพ่เจ็ดสั่วใบหนึ่ง แปดสั่วใบหนึ่ง และมีไพ่สี่เหวินใบหนึ่ง ห้าเหวินใบหนึ่งพอดี เช่นนั้นเจ้าก็ต้องคิดหาทางตัดไพ่เจ็ดสั่วกับแปดสั่วทิ้งแล้ว เพราะว่าไพ่หกสั่วมีเหลืออยู่เพียงใบเดียว…” เฉิงฉือฝึกเล่นไพ่กับนางอย่างใจเย็นและอดทน

โจวเสาจิ่นค่อยๆ จดจ่ออยู่กับการเล่นไพ่

เฉิงฉือไม่เอ่ยวาจาอีก บอกให้หลั่งเย่ว์ยกเก้าอี้มีเท้าแขนมาให้โจวเสาจิ่น

โจวเสาจิ่นเล่นไพ่เหล่านั้นตามที่เฉิงฉือบอก

น้ำเดือดเป็นฟองดังปุดๆ

เฉิงฉือนั่งคุกเข่าลงบนเสื่อไม้ไผ่ แล้วดื่มชาอย่างสบายอารมณ์

เสียงร้อง ระวังฟืนไฟ ของผู้เฝ้าเวรยามกลางคืนแว่วผ่านมาจากตัวเมืองที่นำเรือมาจอดพักแรม

เฉิงฉือวางจอกชาลง ยิ้มพลางกล่าวว่า “เอาล่ะ วันนี้พอเท่านี้ก่อน หากพรุ่งนี้มารดาของข้ายังชวนเจ้าเล่นไพ่อีก เจ้าก็ลองเล่นตามที่ข้าบอกเจ้าดูก็แล้วกัน เรื่องเช่นนี้ไม่มีกฎตายตัว ต้องลองเล่นบนสนามจริงเท่านั้น”

โจวเสาจิ่นถึงได้ค้นพบว่าดึกมากแล้ว นางรีบลุกขึ้นมาอย่างร้อนรน “ท่านน้าฉือ ข้าไม่คิดว่าจะดึกดื่นถึงเพียงนี้แล้ว…”

ตอนที่นางออกมานั้นเพียงบอกชุนหว่านเอาไว้เท่านั้น ไม่รู้ว่าชุนหว่านจะตามหานางไปทั่วเรือหรือไม่

หากฮูหยินผู้เฒ่ากัวทราบเข้าและสงสัยว่าตนกับเฉิงฉือกำลังร่วมมือวางแผนหลอกนาง ก็คงจะยุ่งยากเป็นแน่

“ไม่เป็นไร” เฉิงฉือคลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน พลางกล่าวว่า “อย่างไรเสียบนเรือก็ไม่มีอะไรทำอยู่ดี”

แต่โจวเสาจิ่นยังคงรู้สึกซาบซึ้งใจยิ่ง

นางกระวีกระวาดคารวะเฉิงฉือ แล้วกลับห้องพักโดยสารของตนเอง

ชุนหว่านและคนอื่นๆ กำลังเดินวนไปวนมาอย่างร้อนใจ ครั้นเห็นนางเข้าก็ประหนึ่งเห็นท่อนไม้ช่วยชีวิตที่ลอยอยู่กลางน้ำ ทุกคนต่างเข้ามารุมล้อมนาง

“คุณหนูรอง ไฉนท่านถึงได้กลับมาเวลานี้เจ้าคะ”

“คุณหนูรอง ท่านทำให้ข้าเป็นห่วงแทบตาย พวกข้าทั้งไม่กล้าออกไปตามหา ทั้งกลัวว่าคนอื่นจะมาหาท่าน…กระทั่งตอนนี้หัวใจก็ยังเต้นรัวไม่หยุดเลยเจ้าค่ะ!”

“คุณหนูรอง ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่ นายท่านสี่เรียกท่านไปทำไมหรือเจ้าคะ คงไม่ได้ตำหนิหรือต่อว่าท่านกระมัง”

คำถามแต่ละคำถามพรั่งพรูออกมาไม่ขาดสาย ทำให้โจวเสาจิ่นไม่รู้จะตอบใครก่อนดีไปชั่วขณะ จึงได้แต่กล่าวว่า “ข้าไม่เป็นไร นายท่านสี่เรียกข้าไปเดินหมากสองสามกระดาน ดังนั้นก็เลยเล่นกันจนดึกไปหน่อย”

ทุกคนถึงได้รู้สึกสงบใจลงมาราวกับได้ยกภูเขาออกจากอก คนหนึ่งไปยกน้ำมาให้นางล้างหน้าล้างตา คนหนึ่งช่วยโจวเสาจิ่นผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ส่วนอีกคนเริ่มจัดเตียงและจุดธูปหอม…กระทั่งตอนที่โจวเสาจิ่นเอนกายนอนบนเตียง ก็ยังคงมีภาพไพ่ใบไม้แต่ละชนิดแต่ละประเภทลอยวนเวียนอยู่ในห้วงความคิดของนาง

………………………………………………………………….

[1] ไม่มีหมู่บ้านอยู่ข้างหน้า ไม่มีร้านค้าอยู่ข้างหลัง เปรียบเปรยว่า ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่มีที่ใดให้อยู่ ในที่นี้ ไพ่เก้าสั่วไม่อาจจับกลุ่มกับไพ่ชุดอื่นได้ จึงต้องทิ้งไป

Related

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ในยามที่ โจวเสาจิ่น เด็กสาวจากตระกูลโจวผู้แสนอ่อนหวานและว่านอนสอนง่ายถูกชายคนรักที่นางไว้ใจหักหลังคร่าชีวิต นางได้แต่ภาวนาร้องขอโอกาสที่จะได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง หากนางสามารถย้อนเวลากลับไปได้ นางจะหนีไปให้ห่างไกลจากบุรุษจอมเสแสร้งอย่างเขา นางจะไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกย่ำยีอย่างน่าอดสู จะไม่ทำให้ตระกูลต้องอับอายขายขี้หน้า ไม่มีวันทำให้พี่สาวผู้แสนอ่อนโยนหัวใจแตกสลาย ขอแค่โอกาสอีกเพียงสักครั้ง… ดูเหมือนสวรรค์จะสดับฟังคำอธิษฐานก่อนสิ้นใจของนาง ท่ามกลางค่ำคืนอันแสนสงบปราศจากเค้าลางของพายุ โจวเสาจิ่นสะดุ้งตื่นขึ้นจากฝันร้ายและพบว่าตนได้ย้อนเวลากลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งราวปาฏิหาริย์ในร่างเดิมวัยสิบสองปี! ด้วยประสบการณ์อันขื่นขมที่นางได้เผชิญมาในชาติก่อน หญิงสาวตั้งปณิธานว่าจะต้องหาทางแก้ไขชะตาชีวิตของตนเองและของตระกูลในชาตินี้ให้ได้ ไม่มีอีกแล้วเด็กสาวที่ขี้ขลาดและอ่อนแอ แม้แต่ดอกไม้ก็ยังไม่กล้าเด็ดคนนั้น ได้เวลาที่นางต้องยืนหยัดลุกขึ้นสู้เพื่อตัวเองแล้ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset