ยามดอกวสันต์ผลิบาน – ตอนที่ 198 สิ่งของ

“จริงด้วย!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวขานรับไปอย่างส่งๆ หยิบเพชรเม็ดนั้นขึ้นมาดูอย่างละเอียด พลางกล่าว “ฮูหยินชราคนไหนบ้างไม่มีสมบัติตกทอด ข้าสวมใส่ออกไปก็ไม่ได้พิเศษอะไร แต่หลานสาวสามคน หลานชายสองคน ยังมีบุตรสะใภ้อีกสองคนของข้า…อ้อ ถึงแม้บุตรชายคนเล็กจะยังไม่ได้แต่งงาน แต่อะไรที่เขาควรได้ก็ไม่อาจละเว้นเขาได้ เจ้าว่าใช่เหตุผลนี้หรือไม่ ชายสี่!” ขณะที่กล่าวฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็เงยหน้าขึ้นมา กลับพบว่าเฉิงฉือที่เดิมทีนั่งอยู่ข้างๆ ตัวเองนั้นตอนนี้กลับไม่เห็นร่องรอยแล้ว

นางพลันร้อนใจ ยืดคอมองไกลออกไป เห็นเฉิงฉือยืนอยู่ข้างๆ โจวเสาจิ่น

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มน้อยๆ เห็นเฉิงฉือหยิบที่ติดผมลูกปัดทรงดอกไม้ชิ้นหนึ่งขึ้นมาจากกลุ่มปิ่นปักผมแก้วที่โจวเสาจิ่นเลือกเอาไว้แล้วมองสำรวจอยู่หลายครั้ง กล่าวขึ้นว่า “ลูกปัดสีเขียวเข้มนี้เขียวใส คนที่ไม่รู้อาจเข้าใจผิดคิดว่าเป็นหยก สายตาเจ้าไม่เลวเลยทีเดียว”

โจวเสาจิ่นหน้าแดงเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “ข้าเพียงแต่รู้สึกว่าสวยดีก็เท่านั้นเจ้าค่ะ”

เฉิงฉือยิ้มพลางพยักหน้า กล่าวกับเสมียนที่คอยรับรองอยู่ข้างๆ ว่า “ปิ่นปักผมแก้วที่คุณภาพดีหน่อยในร้านของพวกเจ้าอยู่ที่นี่หมดแล้วหรือ”

เสมียนผู้นั้นคิดว่าเฉิงฉือไม่ชอบใจเนื่องจากคุณภาพไม่ดี จึงรีบกล่าวว่า “ถึงแม้แก้วนี้จะเป็นของที่มาจากดินแดนตะวันตก แต่ตอนนี้ภายในประเทศก็ทำออกมาได้แล้ว บรรดาฮูหยินทั้งหลายต่างสวมใส่มันเป็นของแปลกใหม่เท่านั้น สวมใส่วันนี้ ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้ก็มอบให้ผู้อื่นแล้วก็เป็นได้ ร้านของพวกข้าจึงให้ความสำคัญกับรูปแบบของมันเป็นหลัก สำหรับของที่มีค่ากว่านี้ จะให้ความสำคัญกับเพชรพลอยกว่าร้อยชนิดเป็นหลัก หลายวันก่อนร้านของพวกข้าได้ปะการังสีแดงมาชิ้นหนึ่ง เนื่องจากรูปทรงไม่ดี ไม่อาจนำไปทำกระถางเผินจิ่ง[1]ได้ จึงเชิญช่างใหญ่จากร้านหย่งฟู่เซิ่งมาช่วยแกะสลัก ได้ปิ่นปักผมสองคู่ ที่ติดผมลูกปัดดอกไม้สี่คู่ ตุ้มหูสี่คู่ สร้อยลูกประคำสิบแปดเม็ดหนึ่งเส้น สร้อยลูกประคำหนึ่งร้อยแปดเม็ดอีกหนึ่งเส้น ท่านต้องการดูสักหน่อยหรือไม่ ลูกปัดของสร้อยลูกประคำหนึ่งร้อยแปดเม็ดเส้นนั้นแต่ละเม็ดมีขนาดเท่าเมล็ดถั่วเหลือง…”

เฉิงฉือยิ้มพลางกล่าวตัดบทคำพูดของเสมียนผู้นั้นว่า “แสดงว่า ลูกปัดของสร้อยลูกประคำสิบแปดเม็ดที่ร้านหย่งฟู่เซิ่งเอาไปเส้นนั้นอย่างน้อยก็น่าจะมีขนาดเท่าเม็ดบัวกระมัง”

เสมียนผู้นั้นยิ้มแหย กล่าวขึ้นว่า “ท่านช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก ข้าเพียงเปรยท่านก็คาดเดาได้ถูกต้องแล้ว อย่างไรก็ตาม ลูกปัดของสร้อยลูกประคำหนึ่งร้อยแปดเม็ดที่พวกข้าเก็บเอาไว้นั้นทุกเม็ดล้วนมีขนาดเท่ากันทั้งหมด ไม่มีตำหนิใดๆ เลย…”

เฉิงฉือกล่าวตัดบทคำพูดของเสมียนผู้นั้นอีกครั้งว่า “เช่นนั้นเจ้านำเครื่องประดับที่ทำจากปะการังสีแดงชิ้นนั้นออกมาให้ข้าดูสักหน่อยก็แล้วกัน”

เสมียนผู้นั้นรีบสั่งเด็กฝึกข้างกายไปแจ้งให้หลงจู๊รองผู้ดูแลห้องเก็บของทราบ

ไม่นาน เด็กฝึกก็ยกถาดสีดำปูด้วยผ้ากำมะหยี่สีขาวเข้ามา ด้านบนมีปิ่นปักผมสองคู่ ที่ติดผมลูกปัดทรงดอกไม้สองคู่ ตุ้มหูสองคู่และสร้อยลูกประคำหนึ่งร้อยแปดเม็ดอีกเส้นวางอยู่

สายตาของโจวเสาจิ่นพลันถูกดึงดูดด้วยสร้อยลูกประคำหนึ่งร้อยแปดเม็ดเส้นนั้น

ถึงแม้ลูกปัดของสร้อยลูกประคำเส้นนั้นจะไม่ใหญ่ แต่สีสว่างสดใส เป็นมันแวววาว และชุ่มชื้นอย่างที่ผู้คนชื่นชอบ ทำให้คนเห็นแล้วอยากจะเอามือไปลูบ

นางอดคิดไม่ได้ว่า ถั่วคิดถึงที่อยู่ในตำนานเรื่องเล่านั้นมีลักษณะเช่นนี้ใช่หรือไม่

เฉิงฉือเห็นแล้วก็กล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “สร้อยลูกประคำเส้นนี้งดงามนัก แต่ว่าฮูหยินผู้เฒ่ามีอายุแล้ว ถึงแม้สร้อยลูกประคำเส้นนี้จะดีทว่าเม็ดลูกปัดเล็กเกินไป ไม่ค่อยเหมาะกับฮูหยินผู้เฒ่า คุณหนูรอง ข้าว่าน่าจะเหมาะกับเจ้าพอดี…เจ้าน่าจะซื้อมัน คุณภาพเช่นนี้กับราคานี้ไม่มีให้พบเห็นบ่อยนัก ซื้อกลับไปเป็นสมบัติตกทอดให้ลูกหลานก็ไม่เสียหาย”

โจวเสาจิ่นนับถือศาสนาพุทธ เดิมทีก็ชื่นชอบสร้อยลูกประคำอยู่แล้ว ยิ่งกว่านั้นยังแกะสลักมาจากปะการังสีแดงที่พบเห็นได้ยากประเภทนี้อีก

นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “ฟังจากน้ำเสียงของท่านน้าฉือแล้ว แสดงว่าซื้อลูกปัดประเภทนี้จากที่นี่ถูกกว่าซื้อที่จินหลิงไม่น้อยเลยใช่หรือไม่เจ้าคะ”

สตรีล้วนแล้วแต่มีพรสวรรค์ในการพูดทุกคนใช่หรือไม่

ฟังจากน้ำเสียงนี้แล้ว ไม่ถามตรงๆ ว่าลูกปัดนี้ราคาเท่าไร เพราะเช่นนั้นจะทำให้ดูเป็นโลกทัศน์คับแคบ แล้วก็ไม่ถามว่าลูกปัดนี้ราคาถูกมากใช่หรือไม่ เพราะมันอาจทำให้เสมียนของร้านรู้สึกว่าเจ้าเป็นคนใช้จ่ายไม่เป็น แล้วจะตั้งราคาสูงลิ่ว แต่เป็นการนำเอาราคาของที่นี่ไปเปรียบเทียบกับราคาของจินหลิง เช่นนี้สร้างหลุมพรางได้อันหนึ่ง ถ้าหากเสมียนต้องการขายลูกปัดนี้ออกไป จำต้องตั้งราคาตามมาตรฐานราคาของเมืองจินหลิงเสียแล้ว

เสมียนผู้นั้นไม่รอให้เฉิงฉือได้กล่าวอะไรก็รีบกล่าวขึ้นก่อนอย่างร้อนรนว่า “ไม่ว่าจะเป็นเมืองจินหลิงก็ดี เมืองหังโจวก็ดี ส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกข้าที่เป็นคนจัดหาสินค้าไปให้ ดังนั้นราคาของที่นี่จึงถูกกว่าของที่จินหลิงมากนักขอรับ”

โจวเสาจิ่นเองก็ไม่ถามราคา ยิ้มพลางมองเสมียนผู้นั้น ด้วยท่าทางที่บอกว่ารอเจ้าพูดให้จบ

เสมียนผู้นั้นจึงกล่าวขึ้นว่า “ลูกปัดที่คุณภาพดีเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรที่เมืองจินหลิงก็ต้องขายในราคาสองร้อยสองเหลี่ยงต่อหนึ่งเส้น สำหรับของพวกข้าที่ที่อย่างมากที่สุดก็ราคาหนึ่งร้อยยี่สิบเหลี่ยงขอรับ…”

โชคดีที่ตนนำเงินมาสองร้อยเหลี่ยง

โจวเสาจิ่นคิดคำนวณอยู่ในใจ

ซื้อสร้อยลูกประคำราคาหนึ่งร้อยยี่สิบเหลี่ยง ยังเหลืออีกแปดสิบเหลี่ยง พอให้ซื้อปิ่นปักผมแก้วกลับไปได้หลายชิ้น

นางเอ่ยถามขึ้นยิ้มๆ ว่า “ที่ข้านำมาด้วยเป็นตั๋วเงิน ร้านของพวกเจ้ารับหรือไม่”

“รับขอรับ!” เสมียนผู้นั้นราวกับกลัวว่าตั๋วเงินใบนั้นจะหลุดลอยหายไปก็ไม่ปาน กล่าวขึ้นอย่างร้อนรน “พวกข้ายังช่วยแลกเป็นทองให้ลูกค้าได้อีกด้วย”

โจวเสาจิ่นวางใจลงมาได้ ก็เห็นเฉิงฉือหยิบปิ่นปักผมแก้วที่วางอยู่บนถาดข้างๆ ขึ้น ปิ่นปักผมที่นางอุตส่าห์เลือกอย่างยากลำบากมาครึ่งค่อนวันกองรวมกันหมดแล้ว

“ท่านน้าฉือ!” โจวเสาจิ่นกล่าวขึ้นอย่างเคืองๆ

เฉิงฉือไม่แม้แต่จะมองนางเลยสักครั้ง กล่าวกับเสมียนผู้นั้นว่า “ไปขอถุงจากหลงจู๊ใหญ่ของพวกเจ้ามาหลายใบหน่อย แล้วห่อปิ่นปักผมแก้วเหล่านี้ พวกข้าเอาทั้งหมดนี้”

ได้อย่างไรกัน

ให้นางจ่ายเอง ตอนนี้นางก็จ่ายไม่ไหว แต่ถ้าให้ท่านน้าฉือช่วยจ่ายให้นาง…ฮูหยินผู้เฒ่ากัวและท่านน้าฉือเมตตานางมามากแล้ว นางไม่อาจทำตัวได้คืบจะเอาศอก

โจวเสาจิ่นกระโดดพรวดขึ้นมา

แต่ใครจะรู้ว่าเฉิงฉือจะหมุนข้อมือชี้ไปยังเครื่องประดับปะการังที่เหลืออยู่เหล่านั้น แล้วกล่าวขึ้นว่า “พวกนี้ทั้งหมดด้วย พวกข้าก็เอาด้วยเหมือนกัน”

โจวเสาจิ่นอ้าปากค้างพูดไม่ออก

เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้ารู้ว่าปิ่นปักผมแก้วเคลือบเหล่านั้น มีบางชิ้นที่เจ้าไม่ถูกใจ ชิ้นที่คุณภาพไม่ดี เจ้าก็ใช้เป็นของรางวัลมอบให้บ่าวสูงวัยที่รับใช้งานทั่วไปเหล่านั้นได้”

ตนไม่ได้หมายความถึงเรื่องนี้สักหน่อย…

โจวเสาจิ่นคิดอย่างหดหู่

ช่างเถิด ท่านน้าฉือพูดแล้วว่าซื้อพวกนี้ทั้งหมดแล้ว หากนางไม่เห็นด้วยจะไม่เป็นการไปหักหน้าท่านน้าฉือหรอกหรือ

เช่นนั้นก็ให้ท่านน้าฉือช่วยออกเงินให้นางก่อน รอกลับถึงร้านตั๋วเงินแล้วนางค่อยไปยืมเงินของจี๋อิ๋งมาคืนท่านน้าฉือก็แล้วกัน

กระทั่งตอนที่โจวเสาจิ่นเห็นฉินจื่อผิงช่วยจ่ายเงินค่าของที่กองอยู่ตรงหน้านางเป็นจำนวนเงินสี่ร้อยกว่าเหลี่ยงนั้น นางก็ยิ่งดูย่ำแย่ หลังจากนั้นไม่ว่าทำอะไรนางก็ดูไร้ชีวิตชีวาไปหมด

เฉิงฉือเห็นแล้วลูบคางตัวเองอย่างห้ามไม่อยู่

ครั้งนี้คงทำให้เด็กผู้นี้ขุ่นเคืองจริงๆ เสียแล้ว หากนางยังเอาแต่ไม่สบายใจเช่นนี้ การมาเดินถนนฟู่หยวนครั้งนี้จะไม่เป็นการเสียเที่ยวหรอกหรือ

เขาพาพวกนางไปซื้อของเล่นจากดินแดนตะวักตกที่ร้านค้า

จานแบนสีทองสวยโดดเด่น พรมสีสันสดใส สร้อยลูกปัดแวววาว ยังมีกล่องใส่ยานัตถุ์ที่มีภาพวาดของหญิงงามผมทองตาสีฟ้าเปลือยไหล่ปะปนอยู่ในนั้นด้วย ทำให้โจวเสาจิ่นและคนอื่นๆ รู้สึกละลานตาไปหมด ไม่นานก็ลืมความขุ่นข้องหมองใจที่ร้านเครื่องประดับไปจนหมด แม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเองก็หยิบตุ๊กตาหุ่นไม้ของดินแดนตะวันตกขึ้นมาดูอย่างห้ามไม่อยู่

ดูแล้วสตรีไม่ว่าอายุเท่าไรก็ล้วนแล้วแต่ชื่นชอบการจับจ่ายซื้อของ!

เฉิงฉือวางใจลง

มีหญิงชาวหู[2]สองคนเดินเข้ามา

เฉิงฉือกระซิบกล่าวกับโจวเสาจิ่นที่ตั้งอกตั้งใจเลือกสร้อยลูกปัดเสียงเบาว่า “เจ้าดู! นางโลมชาวหู”

โจวเสาจิ่นรีบหมุนกายมา เห็นหญิงสาวสองคนสวมชุดผ้าโสร่งอันวิจิตรงดงาม สวมผ้าคลุมหน้า เผยให้เห็นดวงตาสีฟ้าที่เหมือนกับตาของแมวโปซือ[3]กำลังเดินเข้ามาทางนาง

นางตกใจเป็นอย่างมาก จับแขนเสื้อของเฉิงฉือเอาไว้แน่นอย่างห้ามไม่อยู่ กล่าวเสียงเบาว่า “ดวงตาของพวกนาง เป็น…เป็นสีฟ้าเจ้าค่ะ!”

เฉิงฉือเห็นนางหน้าซีดหมดแล้ว ก็อดรู้สึกเสียใจเล็กน้อยไม่ได้

ไม่ใช่ทุกคนที่รับได้กับรูปร่างหน้าตาของคนชาวหู

“ไม่ต้องกลัว” เฉิงฉือได้แต่ปลอบใจนาง “เจ้าดูหญิงงามจากดินแดนตะวันตกบนกล่องใส่ยานัตถุ์กล่องนั้น มีผมเป็นสีทองด้วยซ้ำไป! คนจากดินแดนอื่น โดยมากมักจะมีรูปร่างหน้าตาที่ไม่คุ้นตายิ่งนัก”

หญิงสาวทั้งสองคนใช้ภาษาที่แปลกมากคุยกับเจ้าของร้านเบาๆ กลิ่นหอมฉุนบนร่างกายของพวกนางทำให้โจวเสาจิ่นจามไปครั้งหนึ่ง แต่ก็ทำให้ใจของนางค่อยๆ สงบลงมา

คำสั่งสอนที่ไม่ให้มองผู้อื่นอย่างเสียมารยาททำให้นางไม่กล้าหันไปมองพวกนางอีก

นางลดเสียงลงกล่าวกับเฉิงฉือว่า “เมื่อก่อนข้าเองก็เคยเห็นภาพวาดหญิงงามจากดินแดนตะวันตกบนกล่องใส่ยานัตถุ์มาก่อนเหมือนกัน แต่ข้าคิดมาตลอดว่านั่นเป็นภาพที่ผู้อื่นจินตนาการขึ้นมา…คิดไม่ถึงว่าจะมีคนเช่นนี้อยู่จริงๆ เจ้าค่ะ!”

“มีมากกว่านั้นอีก!” เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ “ตอนข้าเป็นเด็กเคยตามท่านพ่อของข้าไปบ้านสหายสนิทผู้หนึ่งของท่าน เขาเลี้ยงนางโลมที่เป็นนักร้องเอาไว้ผู้หนึ่ง เป็นคนจากดินแดนตะวันตก มีเส้นผมสีแดง ดวงตาสีฟ้า น่ากลัวยิ่ง แต่สหายสนิทของท่านพ่อผู้นั้นกลับชื่นชอบยิ่งนัก ยังชมว่านางเป็นหญิงงามที่สุดในโลกหล้า!”

โจวเสาจิ่นเม้มปากกลั้นยิ้ม ตอนนี้ถึงได้รู้สึกตัวว่าตนกำลังจับแขนเสื้อของท่านน้าฉืออยู่

นางรีบปล่อยมือ รีบชี้ไปที่สร้อยลูกปัดเหล่านั้นอย่างตระหนกพลางกล่าว “ท่านน้าฉือ พวกนี้ทำมาจากอะไรหรือเจ้าคะ บางชิ้นก็มีราคาเพียงไม่กี่เหวิน แต่บางชิ้นกลับมีราคาหลายสิบเหวิน”

คิดจะอาศัยเรื่องนี้เบี่ยงเบนความสนใจของเฉิงฉือ หวังว่าเขาจะไม่ได้สังเกตเห็นว่าตนจับแขนเสื้อของเขา

สีหน้าของเฉิงฉือยังคงปกติ มองสร้อยลูกปัดเหล่านั้นครู่หนึ่ง กล่าวอย่างสงบว่า “บางอันทำมาจากหินซงลี่ว์[4] บางอันก็ทำมาจากเงินของชาวเหมียว ล้วนมีราคาถูก เจ้าน่าจะซื้อกลับไปแจกคน”

ยังจะซื้ออีกหรือ!

โจวเสาจิ่นค่อนขอดอยู่ในใจ

ถ้าเช่นนี้ แล้วเมื่อครู่ตอนอยู่ที่ร้านเครื่องประดับ ท่านน้าฉือให้ตนซื้อของพวกนั้นทำไมกัน!

เปรียบเทียบกับปิ่นปักผมแก้วแล้ว ลูกปัดของคนต่างแดนพวกนี้ยังเหมาะที่นางจะซื้อกลับไปแจกคนมากกว่าอีก

แต่ปิ่นปักผมแก้วก็ซื้อไปแล้ว…สร้อยลูกปัดพวกนี้ก็ราคาถูกถึงเพียงนี้…

โจวเสาจิ่นตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลือกไม่ได้

เฉิงฉือเห็นนางเดี๋ยวก็ขมวดคิ้วมุ่น เดี๋ยวก็เม้มปาก จนเขาเกือบจะหัวเราะออกมา

แต่เขาตัดสินใจว่าจะไม่แกล้งเด็กสาวผู้นี้แล้ว ชี้สร้อยลูกปัดพวกนั้นแล้วหันไปส่งสายตาให้ไหวซานครั้งหนึ่ง จากนั้นกล่าวด้วยสีหน้าเป็นมิตรว่า “ไม่ค่อยถูกใจสร้อยลูกปัดพวกนั้นใช่หรือไม่ เช่นนั้นถึงเมืองหังโจวแล้วพวกเราค่อยว่ากันอีกทีก็แล้วกัน ที่นั่นก็มีของมากมาย เพียงแต่ว่าสินค้าที่นำเข้ามาเทียบท่ามีราคาแพงกว่าของหนิงโปเล็กน้อยเท่านั้น ถึงตอนนั้นข้าจะพาเจ้าไปเดินสะพานเป่าซ่าน ที่นั่นมีของขายมากมาย ร้านค้าของที่นั่นเล็กกว่าของที่นี่ แต่ของกลับแน่นเต็มไปหมด มีตั้งแต่ปิ่นปักผมแก้วแหวน ไปจนถึงรองเท้าถุงเท้า มีเพียงของที่เจ้าคิดไม่ถึงเท่านั้น ไม่มีของที่เจ้าหาซื้อไม่ได้ ไม่ใช่ว่าเจ้าอยากซื้อของกลับไปฝากพี่สาวกับป้าใหญ่ของเจ้าหรอกหรือ ที่นั่นเหมาะสมที่สุดแล้ว”

โจวเสาจิ่นไม่รู้จะพูดอะไรดีแล้วจริงๆ

โชคดีที่เฉิงฉือเปลี่ยนหัวข้อสนทนา กล่าวขึ้นว่า “ข้าเห็นเจ้าศรัทธาในศาสนาพุทธยิ่งนัก ถึงตอนนั้นก็ลองไปที่ประตูเฉียนถังดู ด้านหลังหอวั่งเจียงของที่นั่นมีวัดหนึ่งชื่อวัดเจาชิ่ง ควันธูปและเทียนดั่งก้อนเมฆ เนื่องจากคนมาสักการะวัดเจาชิ่งมักจะเดินมาจากประตูเฉียนถัง จนมีคำกล่าวว่า ‘ตะกร้าธูปนอกประตูเฉียนถัง’

โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วก็ตาเป็นประกาย

ตอนนี้นางกลัวจะได้ยินคำว่าซื้อของมากที่สุดแล้ว!

“พวกเราจะพักอยู่ที่เมืองหังโจวกี่วันหรือเจ้าคะ” โจวเสาจิ่นถามเฉิงฉือ “ข้าได้ยินมาว่าที่นั่นมีวัดหนึ่งชื่อวัดหลิงหยิ่น ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก ถึงเวลานั้นพวกเราไปจุดธูปที่นั่นได้หรือไม่เจ้าคะ”

เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “พวกเราจะอยู่ที่เมืองหังโจวจนถึงวันที่ยี่สิบเดือนแปดถึงจะออกเดินทาง เจ้าอยากไปที่ไหน ก็ไปหารือกับฮูหยินผู้เฒ่าได้เลย ถึงเวลานั้นข้าจะให้คนไปส่งไปพวกเจ้า”

โจวเสาจิ่นสังเกตได้ว่าเฉิงฉือพูดว่า จะให้คนไปส่ง ไม่ใช่ จะไปเป็นเพื่อน

**********************************************

[1] กระถางเผิงจิ่ง กระถางบอนไซ

[2] ชาวหู คนจีนที่ไม่ใช่ชาวฮั่น โดยเฉพาะคนจากเอเชียกลาง หรือคนต่างชาติ

[3] แมวโปซือ แมวพันธ์เปอร์เซีย

[4] หินซงลี่ว์ (松绿石) หินเทอร์คอยส์

Related

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ในยามที่ โจวเสาจิ่น เด็กสาวจากตระกูลโจวผู้แสนอ่อนหวานและว่านอนสอนง่ายถูกชายคนรักที่นางไว้ใจหักหลังคร่าชีวิต นางได้แต่ภาวนาร้องขอโอกาสที่จะได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง หากนางสามารถย้อนเวลากลับไปได้ นางจะหนีไปให้ห่างไกลจากบุรุษจอมเสแสร้งอย่างเขา นางจะไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกย่ำยีอย่างน่าอดสู จะไม่ทำให้ตระกูลต้องอับอายขายขี้หน้า ไม่มีวันทำให้พี่สาวผู้แสนอ่อนโยนหัวใจแตกสลาย ขอแค่โอกาสอีกเพียงสักครั้ง… ดูเหมือนสวรรค์จะสดับฟังคำอธิษฐานก่อนสิ้นใจของนาง ท่ามกลางค่ำคืนอันแสนสงบปราศจากเค้าลางของพายุ โจวเสาจิ่นสะดุ้งตื่นขึ้นจากฝันร้ายและพบว่าตนได้ย้อนเวลากลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งราวปาฏิหาริย์ในร่างเดิมวัยสิบสองปี! ด้วยประสบการณ์อันขื่นขมที่นางได้เผชิญมาในชาติก่อน หญิงสาวตั้งปณิธานว่าจะต้องหาทางแก้ไขชะตาชีวิตของตนเองและของตระกูลในชาตินี้ให้ได้ ไม่มีอีกแล้วเด็กสาวที่ขี้ขลาดและอ่อนแอ แม้แต่ดอกไม้ก็ยังไม่กล้าเด็ดคนนั้น ได้เวลาที่นางต้องยืนหยัดลุกขึ้นสู้เพื่อตัวเองแล้ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset