ยามดอกวสันต์ผลิบาน – ตอนที่ 32 เฉลิมฉลองวันเกิด

ฮูหยินผู้เฒ่าถังยิ้มพลางออกไปต้อนรับในทันที นางกล่าวทักทายคนจากจวนสามอย่างกระตือรือร้น “ชุดของต้ากูไหน่ไนชุดนี้สีสดใสยิ่งนัก ทำให้พี่สะใภ้ของเจ้าหลายคนต้องยอมลงให้แล้ว”  

 

 

“ไม่กล้าเจ้าค่ะๆ” เฉิงเสียนกล่าวอย่างเกรงใจ “ข้าเป็นแขก พวกพี่สะใภ้เป็นเจ้าภาพ จริงๆ แล้วต้องให้ข้าเป็นแขกเจ้าค่ะ” จากนั้นก็หันไปทางเจิ้งซื่ออย่างยิ้มแย้ม “นี่คือสะใภ้ของสือเอ๋อร์ใช่หรือไม่ พูดไปแล้วนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้พบหน้า แต่เพียงแค่เห็นก็รู้แล้วว่าเป็นคนที่อ่อนโยนและจิตใจดีผู้หนึ่ง ไม่แปลกใจเลยทุกครั้งที่สะใภ้ใหญ่อี๋เขียนจดหมายถึงข้าล้วนกล่าวชมเชยถึงอย่างมากมาย” ขณะที่พูด ก็ถอดกำไลหยกบนข้อมือส่งให้เจิ้งซื่อ “ไม่ใช่ของมีค่าอะไร ทว่าถือเป็นน้ำใจจากคนเป็นป้าคนนี้ก็แล้วกัน”  

 

 

เจิ้งซื่อยิ้มพลางกล่าวคำขอบคุณ แล้วรับกำไลมาอย่างสงบนิ่ง  

 

 

เฉิงเสียนกล่าวอย่างเอาใจใส่ว่า “ได้ยินมาว่าเจ้ากำลังตั้งครรภ์ วันสรงน้ำพระพุทธเจ้าเมื่อหลายวันก่อนก็ไม่ได้ออกจากจวนเลยหรือ ถึงแม้จะพูดว่าเป็นการตั้งครรภ์ครั้งที่สอง แต่ก็ต้องระมัดระวังเอาไว้ถึงจะถูก เรื่องพวกนี้เจ้าไม่ต้องมาคอยจัดการแล้วล่ะ พวกข้าทั้งหลายที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ไม่ใช่คนที่ไม่มีเหตุผลขนาดนั้น ไม่มีใครตำหนิเจ้าได้ เจ้าต้องดูแลตัวเองและพักผ่อนให้ดีถึงจะถูก” พูดจบก็มองไปรอบๆ ทั้งสี่ด้าน “ทำไมไม่เห็นพี่สะใภ้ใหญ่หงเลยล่ะ”  

 

 

คำพูดนี้ช่างน่าสนใจนัก  

 

 

ภรรยาผู้มีหน้าที่เป็นเจ้าของงานไม่ออกมาต้อนรับแขก แต่กลับใช้ให้หลานสะใภ้ที่กำลังท้องกำลังไส้มายืนรับหน้าแทน  

 

 

สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าถังดูไม่ค่อยดีไปชั่วขณะหนึ่ง เงยหน้าขึ้นลอบมองไปที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวทีหนึ่ง  

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวที่อยู่ตรงนั้น ดูไม่ออกว่ากำลังยินดีหรือไม่พอใจ  

 

 

เจิ้งซื่อรีบยิ้มพลางกล่าว “ต้าจิ้วเหยียจากตระกูลหงก็มาร่วมเฉลิมฉลองวันเกิดของท่านผู้นำตระกูลด้วยเจ้าค่ะ ท่านแม่กำลังคุยอยู่กับต้าจิ้วเหยีย ดูเวลาแล้วคงจะกำลังมาแล้วเจ้าค่ะ”  

 

 

หงซื่อเป็นคนเมืองจิ่วเจียงมณฑลเจียงซี ปู่ของนางเคยดำรงตำแหน่งอวี้สื่อของหน่วยสืบสวนฝ่ายซ้าย บิดา พี่ชาย และญาติลูกพี่ลูกน้องล้วนมีบรรณนาศักดิ์ โดยเฉพาะพี่ชายของนางหงซิ่ว สอบได้เป็นจิ้นซื่อลำดับที่สองในรัชศกหย่งชางปีที่สิบสองเจี่ยซวี ปีเดียวกับเฉิงเซ่านายท่านผู้เฒ่าของจวนหลัก เพราะสร้างผลงานไว้ตอนที่มีศึกรบกับญี่ปุ่น หลังจากที่ทุ่มเททำงานเป็นผู้ช่วยกรมกลาโหมแล้ว ก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองปกครองมณฑลกว่างตงและกว่างซี  

 

 

ต้าจิ้วเหยียจากตระกูลหงที่ว่าก็คือหงเซ่อบุตรชายคนเดียวของหงซิ่ว ในรัชศกจื้อเต๋อปีที่สิบสองซื่อโฉ่วสอบได้เป็นจิ้นซื่อ ดำรงตำแหน่งอวี้สื่อฝ่ายตรวจสอบของเจ้อเจียง  

 

 

คิดไม่ถึงว่าตระกูลหงจะทุ่มเทขนาดนี้ ถึงกับมอบหมายให้หงเซ่อมาร่วมเฉลิมฉลองวันเกิดของเฉิงซวี่  

 

 

หงเซ่อมีตำแหน่งอยู่ในกองบังคับบัญชาฝ่ายตรวจสอบของเจ้อเจียง  

 

 

ถึงแม้ว่าหนานจิงจะถูกรวมเป็นส่วนหนึ่งของจื๋อหลี แต่ตระกูลไหนบ้างที่ไม่มีกิจการอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงที่เจริญรุ่งเรืองอย่างหังโจว อวี๋โจว หลินอันและเมืองอื่นๆ ในเจียงหนาน?  

 

 

นอกจากฮูหยินผู้เฒ่ากัวกับหยวนซื่อแล้ว สีหน้าของทุกคนต่างเปลี่ยนไปเล็กน้อย  

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าถังถึงยิ้มออกมาได้พลางกล่าวขึ้นว่า “ความหมายของสะใภ้ของอี๋เอ๋อร์ก็คือ ต้าจิ้วเหยียกำลังดำรงอยู่บนตำแหน่ง ต้องหลีกเลี่ยงคำครหา ไม่จำเป็นต้องมาด้วยตัวเองก็ได้ แต่ใครจะรู้ว่าจิ้วเหล่าเหยียกลับไม่ยินยอม ยังไงก็ต้องให้ต้าจิ้วเหยียมาด้วยตัวเองสักครั้ง ด้วยเหตุนี้ ต้าจิ้วเหยียของพวกข้าจึงไม่อาจแย้งจิ้วเหล่าเหยียได้ จำต้องมาด้วยตัวเองครั้งหนึ่ง!”  

 

 

ทุกคนพร้อมใจกันสรรเสริญให้กับอายุที่ยืนยาวและคุณธรรมอันดีของเฉิงซวี่  

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าถังยิ้มพลางกล่าวอย่างถ่อมตนว่า “ไม่เท่าไหร่ๆ!” ทว่าในรอยยิ้มนั้นกลับยากที่จะปกปิดความพึงพอใจเอาไว้ได้  

 

 

เจิ้งซื่อใช้โอกาสนี้เชิญให้ทุกคนนั่งลง  

 

 

หยวนซื่อปรนนิบัติฮูหยินผู้เฒ่ากัว โจวชูจิ่นปรนนิบัติฮูหยินผู้เฒ่ากวน ส่วนฮูหยินผู้เฒ่าหลี่กลับมองข้ามเจียงซื่อไปแล้วให้เฉิงเสียนผู้เป็นบุตรสาวปรนนิบัติตนเองให้นั่งลงข้างๆ ฮูหยินผู้เฒ่ากัว  

 

 

เจียงซื่อยิ้มน้อยๆ บนหน้าแล้วยืนอยู่ด้านหลังของฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ แต่โจวเสาจิ่นกลับรู้สึกว่ารอยยิ้มของเจียงซื่อนั้นดูเหมือนจะแข็งกระด้างอยู่เล็กน้อยอย่างไรอย่างนั้น  

 

 

โจวเสาจิ่นยืนนิ่งอยู่ใกล้ๆ พี่สาว เฉิงเจียที่อยู่ข้างๆ กลับดึงแขนเสื้อของนางเอาไว้ กระซิบใกล้ๆ หูว่า “เจ้าดูพานชิง ในท้องเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมร้าย แต่กลับแสร้งทำท่าทีอ่อนโยน จิตใจดีและมีคุณธรรมออกมา ไม่รู้ว่าจะทำให้ผู้ใดมองกัน!”  

 

 

จากประสบการณ์ในชาติที่แล้วของโจวเสาจิ่น คาดว่าเฉิงเจียกับพานชิงคงจะเปิดศึกกันไปรอบหนึ่งแล้ว ส่วนผลลัพธ์นั้น จากการแสดงออกของเฉิงเจียในตอนนี้ก็ดูออกได้ไม่ยาก  

 

 

นางอดไม่ได้กล่าวแนะนำไปว่า “วันนี้เป็นวันเฉลิมฉลองวันเกิดของท่านผู้นำตระกูล หากว่าเจ้ากับพานชิงสร้างเรื่องวุ่นวายขึ้น ข้าจะไม่ช่วยเหลือเจ้า รอให้ผ่านวันนี้ไป แล้วเจ้าอยากทำอะไร ข้าล้วนไม่ยุ่ง” ครุ่นคิดแล้วก็กล่าวอีกว่า “ถ้าหากว่าเจ้าไม่ฟังคำแนะนำของข้า ต่อไปก็ถือว่าพวกเราตัดขาดจากกัน”  

 

 

เฉิงเจียโกรธจนดวงตาเบิกกว้างขึ้น แต่ก็ไม่ได้ตอกกลับนางด้วยเสียงดังเหมือนกับชาติที่แล้ว  

 

 

เห็นได้ชัดว่าบางครั้งคนเราก็ต้องหนักแน่นบ้างถึงจะใช้ได้!  

 

 

โจวเสาจิ่นไม่สนใจนางอีก  

 

 

เฉิงเจียกระทืบเท้า  

 

 

โจวเสาจิ่นไม่ไหวติง  

 

 

เฉิงเจียยังอยากจะเรียกร้องความสนใจของโจวเสาจิ่น ทว่าเมื่อเงยหน้าขึ้นกลับเห็นสายตาเข้มงวดของมารดาที่กำลังมองมา  

 

 

นางจำต้องหยุดการกระทำลง ยืนอยู่ข้างๆ โจวเสาจิ่นอย่างเรียบร้อย  

 

 

ทั้งสองคนต่างไม่ได้สังเกตว่าพานชิงได้มองมาที่พวกนาง ยิ่งไปกว่านั้นคือจ้องมองโจวเสาจิ่นอย่างถี่ถ้วนไปสักพักหนึ่ง  

 

 

ไม่นานหลังจากนั้น ฮูหยินผู้เฒ่าเหลียงกั๋วกงกับฮูหยินเหลียงกั๋วกงก็มาถึง  

 

 

ทุกคนต่างยืนขึ้น หลังจากที่ทักทายกันสักครู่แล้ว โจวเสาจิ่นและคนอื่นๆ ก็ขยับไปด้านหน้าทำความเคารพฮูหยินทั้งสองท่าน  

 

 

โจวเสาจิ่น โจวชูจิ่นและเฉิงเจียเคยเจอฮูหยินผู้เฒ่าแล้วเมื่อตอนวันสรงน้ำพระพุทธเจ้า แต่พานชิงนั้นเป็นการพบหน้ากันครั้งแรก นางสุภาพเรียบร้อยมาโดยตลอด ฮูหยินผู้เฒ่าอดไม่ได้ชื่นชมนางไปครั้งหนึ่ง และมอบเป็นของขวัญการพบหน้ากันด้วย สิ่งนี้ยิ่งกระตุ้นความอิจฉาริษยาของเฉิงเจียออกมา อาจเป็นไปได้ว่าคำพูดของโจวเสาจิ่นนั้นสัมฤทธิ์ผล นางไม่ได้แสดงอาการออกมาเหมือนอย่างที่ทำในชาติก่อน ทำให้โจวเสาจิ่นอดไม่ได้โล่งอกไปเปลาะหนึ่ง  

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลเฉิงหลายๆ ท่าน รวมถึงหยวนซื่อและคนอื่นๆ ต้อนรับฮูหยินทั้งสองและพาไปยังลานด้านหลังของเรือนซื่ออี๋ ส่วนเจิ้งซื่อรั้งอยู่ต้อนรับแขกอยู่ที่ห้องโถง  

 

 

ต่อมาฮูหยินของหลิวหมิงจวี่นายอำเภอเจียงหนิงและฮูหยินของเกาเย่าเจ้าเมืองเจ้อเจียงเคียงคู่กันมา  

 

 

พ่อตาของเกาเย่าเป็นเจ้ากรมโยธาธิการ มหาบัณฑิตของจิ่นเซินเตี้ยน และเป็นญาติกับฮูหยินผู้เฒ่าเหลียงกั๋วกงด้วย  

 

 

ฮูหยินทั้งสองท่านก็ถูกต้อนรับให้ไปที่ลานด้านหลังของเรือนซื่ออี๋ด้วยเช่นเดียวกัน  

 

 

ตามติดมาด้วยฮูหยินของไต้เท้าหูผู้ดำรงตำแหน่งอั้นฉาสื่อ ฮูหยินของไต้เท้าซุนอดีตเจ้ากรมพิธีการพร้อมด้วยบุตรสะใภ้กับหลานสาว และนางหลินเจี้ยวอวี๋จากจินหลิงที่นำบุตรสาวมาด้วยนั้น ล้วนมาถึงหมดแล้ว  

 

 

ผู้ที่มีบรรณนาศักดิ์ได้รับการต้อนรับที่ลานเปิดโล่งด้านหลัง ส่วนผู้ที่ไม่มีบรรณนาศักดิ์อยู่รับน้ำชาที่ห้องข้างห้องโถง  

 

 

จนกระทั่งฮูหยินใหญ่หงกลับเข้ามา สตรีที่อยู่ในห้องข้างต่างห้อมล้อมฮูหยินใหญ่หงเพื่อพูดคุยกับนาง และมีคนดึงแขนของฮูหยินใหญ่หงเอาไว้ ยิ้มพลางถามฮูหยินใหญ่หงว่านางตัดชุดที่ไหน สั่งทำเครื่องประดับที่ใด ล้วนสวยงามยิ่งนัก วันหน้าก็แนะนำให้นางไปเพื่อตัดชุดสักสองสามตัวและสั่งทำเครื่องประดับสักสองสามชุดด้วย  

 

 

ฮูหยินใหญ่หงมึนงงเล็กน้อย กว่าครู่ใหญ่สติถึงกลับมา จากนั้นจึงยิ้มทักทายกับทุกคน  

 

 

ที่เรือนซื่ออี๋เองก็คึกคักและรื่นเริงเป็นอย่างยิ่ง  

 

 

อย่างไรก็ตาม อีกเพียงแค่สองเค่อก่อนที่จะถึงเวลามงคล หลังจากที่ภรรยาของเศรษฐีฟางชินถง ซิ่วไฉเมืองเจียซิงนำเด็กสาวที่ยังไม่ออกเรือนสองคนมาถึงแล้วนั้น ฮูหยินใหญ่เวิ่นก็เพิ่งมาถึงอย่างค่อนข้างจะสายแล้ว โดยมีเซียงเอ๋อร์ประคองแขนเอาไว้  

 

 

ฟางซินถงกับฮูหยินใหญ่เวิ่นเกี่ยวดองเป็นญาติกัน ปัจจุบันนี้ฟางซินถงเป็นพ่อค้าทำการค้าขาย ค้าขายด้วยความเป็นมิตรไม่กระทำผิดต่อผู้ใด ภรรยาของฟางซินถงก็ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาที่ดี เมื่อมองเห็นฮูหยินใหญ่เวิ่นจึงรีบเข้าไปทักทายอย่างกระตือรือร้น “กำลังรอท่านอยู่พอดีเลยเจ้าค่ะ!”  

 

 

ใครจะรู้ว่าฮูหยินใหญ่เวิ่นกลับลูบหน้าผากพลางกล่าวอย่างอ่อนแรงว่า “เฮ้อ! ข้าปวดศีรษะยิ่งนัก หากว่าไม่ใช่วันมหาวันเกิดครบรอบแปดสิบปีของท่านผู้นำตระกูล ต่อให้ที่นี่เป็นเมืองจินซานหรือหยินไห่ ข้าก็ไม่มาหรอก”  

 

 

เป็นคำพูดหนึ่งประโยคที่ทำให้คนที่มักจะพูดจาคล่องแคล่วอย่างภรรยาของฟางซินถงถึงกับชะงักงันครู่ใหญ่สติก็ยังไม่กลับมา เงียบงันไปทั้งห้อง  

 

 

โชคดีที่เจิ้งซื่อนั้นมีไหวพริบ ยิ้มและก้าวออกไปดึงแขนของฮูหยินใหญ่เวิ่นเอาไว้ พลางกล่าว “ท่านอาสะใภ้ห้า ท่านรีบตามข้ามาเถิดเจ้าค่ะ ฮูหยินหลายท่านล้วนมาถึงกันแล้ว กำลังถามถึงท่านอยู่พอดีเจ้าค่ะ!” จากนั้นก็ดึงฮูหยินใหญ่เวิ่นไปที่ลานเปิดโล่งด้านหลัง  

 

 

“น่าขายหน้าเกินไปแล้ว! น่าขายหน้าจริงๆ!” เฉิงเจียเอามือปิดหน้า กระซิบที่ข้างหูของโจวเสาจิ่นอย่างห้ามไว้ไม่อยู่  

 

 

โจวเสาจิ่นเองก็ไม่สบายใจเช่นกัน รู้สึกว่าฮูหยินใหญ่เวิ่นนั้นหมกมุ่นอยู่กับเรื่องของตัวเองเกินไปแล้ว  

 

 

ต้องคิดหาวิธีดึงเฉิงอวี้ออกมาจากสวนดอกไม้เล็กนั่นให้ได้!  

 

 

นางครุ่นคิดกับตัวเอง  

 

 

มีสาวใช้เข้ามารายงานว่า “ได้เวลามงคลแล้วเจ้าค่ะ!”  

 

 

สตรีทุกคนต่างถอยกลับมา  

 

 

เฉิงซวี่นั้นมีรูปร่างสูงใหญ่ อายุกว่าแปดรอบแล้วแต่ก็ยังคงมีลำตัวยืดตรงเช่นเดิม ผมขาวโพลนผิวแดงก่ำอย่างสุขภาพดีและมีชีวิตชีวา ไม่มีลักษณะของคนชราในวัยแปดสิบเช่นเขาออกมาให้เห็นเลยแม้แต่น้อย  

 

 

อาจจะเพื่อความเป็นสิริมงคลในวันเฉลิมฉลองวันเกิด เขาสวมชุดเผาจื่อสีแดงสดใสปักลายน้ำเต้าผิงอันว่านโซ่วอย่างหรูหราตัวหนึ่ง มีหลานชายเฉิงสืออยู่เคียงข้าง และมีบ่าวชายอีกหลายคนติดตามมาด้วย เดินเข้ามาอย่างกระฉับกระเฉง  

 

 

เฉิงสือประคองเฉิงซวี่นั่งลงที่เก้าอี้มีเท้าแขนตัวใหญ่กลางห้องโถง จากนั้นยืนอยู่ข้างๆ  

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าถังนำสตรีตระกูลเฉิงกล่าวคำอวยพรแด่เฉิงซวี่และมอบของขวัญ  

 

 

หนึ่งในบ่าวชายช่วยขานรายการของขวัญ ส่วนบ่าวชายคนอื่นๆ อีกหลายคนช่วยกันรับของขวัญ  

 

 

เป็นเช่นนี้ไปเกือบหนึ่งชั่วยาม ถึงได้มอบของขวัญจนเสร็จ  

 

 

เฉิงซวี่กล่าวคำขอบคุณไปสองสามประโยค จากนั้นก็เดินไปที่เรือนจี๋ฝูโดยมีเฉิงสือติดตามไปด้วย  

 

 

พิธีงานวันเกิดก็ถือเป็นอันสิ้นสุดลงแล้ว ลำดับถัดไปก็จะเป็นนั่งชมการแสดงงิ้ว เล่นไพ่นกกระจอก และพูดคุยกัน…ทุกคนต่างก็รู้สึกว่าบรรยากาศเปลี่ยนเป็นรื่นเริงขึ้นมา นั่งลงทั่วทุกที่ตามที่ตนเองสะดวกและพูดคุยกับคนรู้จักอย่างสนุกสนาน  

 

 

โจวชูจิ่นถูกฮูหยินใหญ่เหมี่ยนเรียกตัวไป  

 

 

เฉิงเจียที่รวมตัวอยู่ด้วยกันกับโจวเสาจิ่น กล่าวขึ้นว่า “คณะละครที่โถงถงฮวาเชิญมาคือคณะฉางเกา ส่วนที่ระเบียงหมู่ตันนี้เชิญคณะหม่าเจีย คณะหม่าเจียนั้นเป็นการแสดงงิ้วเรื่องเดิมๆ แสดงซ้ำไปซ้ำมา แต่เกาฮุ่ยจูของคณะฉางเกานั้น ได้รับการยกย่องทั้งเรื่องหน้าตาและฝีมือการแสดง เมื่อไหร่ที่ออกมาด้วยชุดทหารเต็มยศ หอจิ่นลุ่ยทั้งหอต่างเงียบกริบ…ข้าอยากไปชมการแสดงงิ้วของเกาฮุ่ยจู!”  

 

 

ในชาติก่อนเฉิงเจียก็เคยพูดเช่นนี้กับโจวเสาจิ่นมาก่อน ยังคิดจะไปแอบอยู่ที่โถงถงฮวา ปรากฏว่านางนั้นใจเสาะไม่กล้าไป สักพักหนึ่งเฉิงเจียก็ถูกเฉิงสือจับได้ เฉิงเจียตะโกนร้องโวยวายหาว่านางเป็นคนทรยศ เอาความลับไปฟ้องเฉิงสือ ผลปรากฏว่าเฉิงเจียถูกเจียงซื่ออบรมสั่งสอนอย่างรุนแรงไปชุดใหญ่ ส่วนนางก็ถูกฮูหยินผู้เฒ่ากวนสั่งกักบริเวณเพื่อเป็นการแสดงความบริสุทธิ์ใจต่อจวนสาม หลังจากนั้นนางยังต้องใช้ความพยายามอีกมากกว่าจะทำให้เฉิงเจียเชื่อว่านางไม่ได้เป็นคนไปฟ้องและกลับมาดีกันดังเดิม  

 

 

เมื่อได้ยินนางพูดเช่นนี้อีกครั้งในชีวิตนี้ ก็กล่าวขึ้นอย่างไม่ต้องคิดว่า “หากว่าเจ้ากล้าแอบไปอยู่ที่โถงถงฮวาล่ะก็ ข้าจะบอกท่านแม่ของเจ้าทันที”  

 

 

นางไม่อยากเข้าไปข้องเกี่ยวกับปัญหาเหมือนอย่างชาติที่แล้วอีก  

 

 

เฉิงเจียชะงักไปเล็กน้อย ครู่ใหญ่ถึงจะกล่าวออกมาว่า “ทำไมเดี๋ยวนี้เจ้าถึงกลายเป็นคนเช่นนี้ไปได้”  

 

 

โจวเสาจิ่นเพิกเฉยนางต่อไป  

 

 

ในใจของเฉิงเจียราวกับโดนแมวข่วน ไม่รู้จะทำอย่างไรดี  

 

 

มีเสียงกลั้นหัวเราะดังขึ้นมาจากข้างๆ  

 

 

“ใครน่ะ?” ใบหน้าของนางเคร่งขึ้น  

 

 

โจวเสาจิ่นหัวเราะเยาะใส่นางได้ แต่หากเป็นผู้อื่นมาหัวเราะเยาะใส่นาง…นางก็คงไม่อาจจะพูดดีๆ ด้วยได้  

 

 

เฉิงเจียมองไปตามเสียง ก็เห็นเด็กสาวที่มีปานสีแดงอยู่ตรงกลางระหว่างคิ้วผู้หนึ่ง  

 

 

“พวกเจ้าพี่น้องรักใคร่กันดีจริงๆ!” นางกล่าวอย่างซาบซึ้ง และมีท่าทางหดหู่ “ไม่เหมือนกับที่บ้านของข้า” ขณะที่พูด ก็รีบเก็บสีหน้าหดหู่ออกไป จากนั้นกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “ข้าแซ่อู๋ เป็นลูกคนโตของบ้าน บิดาเป็นเจ้าเมืองจินหลิง” นางชี้ไปที่ฮูหยินอู๋ที่กำลังคุยอยู่กับเจิ้งซื่อที่อยู่ไม่ไกลตรงนั้น “นั่นคือฮูหยินอู๋ มารดาเลี้ยงของข้า” จากนั้นกล่าวต่อไปว่า “ข้าไปเยี่ยมนายหญิงผู้เฒ่ากวนที่จวนสี่เมื่อหลายวันก่อน ได้พบกับน้องสาวเสาจิ่นแล้วครั้งหนึ่ง แต่กับท่านถือเป็นการพบหน้ากันครั้งแรก หากว่าข้าเดาไม่ผิด เจ้าต้องเป็นคุณหนูเจียจวนสามใช่หรือไม่”  

 

 

ได้ยินมาว่านางสนิทสนมกับน้องสาวเสาจิ่น เป็นไปตามที่คาด เฉิงเจียยอมวางความระวัดระวังลงไป และคำพูดที่ไม่กระจ่างของนางก็ดึงความสนใจของเฉิงเจียขึ้นมาได้  

 

 

เฉิงเจียมองไปที่ฮูหยินอู๋ครั้งหนึ่ง เอ่ยขึ้นว่า “ที่แท้นางก็เป็นมารดาเลี้ยงของเจ้า ไม่แปลกใจที่ยังดูอ่อนวัยขนาดนี้ หน้าตาไม่เหมือนเจ้าเลยสักนิด คนที่ยืนอยู่ข้างๆ นั้นคงจะเป็นน้องสาวต่างมารดาของเจ้าใช่หรือไม่ นางดูคล้ายคลึงกับมารดาเลี้ยงของเจ้ามากกว่า!”  

 

 

อู่เป่าจางยิ้มพลางกล่าว “ข้าชื่อ ‘เป่าจาง’ ส่วนนั่นคือน้องรองของข้าชื่อ ‘เป่าหวา’ และข้างๆ คนที่อายุน้อยกว่าคนนั้นคือน้องสามชื่อ ‘เป่าจือ’ ”  

 

 

“อา!” เฉิงเจียอุทาน “พวกเจ้าทั้งบ้านเต็มไปด้วยจูเป่า  [1]  !”  

 

 

อู๋เป่าจางหัวเราะเบาๆ  

 

 

 

 

 

——  

 

 

[1]  จูเป่า  อัญมณี เพชรพลอย  

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ในยามที่ โจวเสาจิ่น เด็กสาวจากตระกูลโจวผู้แสนอ่อนหวานและว่านอนสอนง่ายถูกชายคนรักที่นางไว้ใจหักหลังคร่าชีวิต นางได้แต่ภาวนาร้องขอโอกาสที่จะได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง หากนางสามารถย้อนเวลากลับไปได้ นางจะหนีไปให้ห่างไกลจากบุรุษจอมเสแสร้งอย่างเขา นางจะไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกย่ำยีอย่างน่าอดสู จะไม่ทำให้ตระกูลต้องอับอายขายขี้หน้า ไม่มีวันทำให้พี่สาวผู้แสนอ่อนโยนหัวใจแตกสลาย ขอแค่โอกาสอีกเพียงสักครั้ง… ดูเหมือนสวรรค์จะสดับฟังคำอธิษฐานก่อนสิ้นใจของนาง ท่ามกลางค่ำคืนอันแสนสงบปราศจากเค้าลางของพายุ โจวเสาจิ่นสะดุ้งตื่นขึ้นจากฝันร้ายและพบว่าตนได้ย้อนเวลากลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งราวปาฏิหาริย์ในร่างเดิมวัยสิบสองปี! ด้วยประสบการณ์อันขื่นขมที่นางได้เผชิญมาในชาติก่อน หญิงสาวตั้งปณิธานว่าจะต้องหาทางแก้ไขชะตาชีวิตของตนเองและของตระกูลในชาตินี้ให้ได้ ไม่มีอีกแล้วเด็กสาวที่ขี้ขลาดและอ่อนแอ แม้แต่ดอกไม้ก็ยังไม่กล้าเด็ดคนนั้น ได้เวลาที่นางต้องยืนหยัดลุกขึ้นสู้เพื่อตัวเองแล้ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset