ยามดอกวสันต์ผลิบาน – ตอนที่ 5 เฉิงอี้

ซือเซียงส่งซงชิงกลับไปแล้วก็หันหลังกลับมา เห็นสีหน้าของโจวเสาจิ่นมีบางอย่างที่ไม่ปกติ ในใจพลันกระวนกระวายเล็กน้อย  

 

 

คุณหนูรองโดยปกติแล้วพูดจาด้วยความสุภาพ อ่อนโยน เป็นมิตร และใจดี ทว่ายามจะดื้อดึงขึ้นมาแล้ว แม้แต่คุณหนูใหญ่ยังต้องยอมประนีประนอมลงให้  

 

 

หากว่าที่คุณหนูรองกล่าวออกไปว่าต้องการขีดเส้นกั้นที่ชัดเจนกับคุณชายลู่ แล้วระหว่างที่ขบคิดเกิดเสียดายขึ้นมา เยี่ยงนั้นก็คงเป็นการกระทำแบบเด็กๆ ที่หยอกล้อแง่งอนกัน น่าขายหน้าแล้ว!  

 

 

นางอดไม่ได้ร้องขึ้นเสียงเบา “คุณหนูรองเจ้าคะ” พลางกล่าว “ท่านกำลังคิดอะไรอยู่หรือเจ้าคะ”  

 

 

โจวเสาจิ่นดึงสติกลับคืนมา เห็นนางมีท่าทีที่ระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง ก็อดไม่ได้หลุดหัวเราะออกมา พลางกล่าว “ทำไมเจ้ายังยืนอยู่ที่นี่อีก ข้ายังรอให้เจ้าไปซื้อผลเหมยจื่อและผลซิ่งจื่อกลับมาให้ข้าได้ชิมสดๆ ใหม่ๆ อยู่นะ!”  

 

 

“เจ้าค่ะๆๆ” ซือเซียงได้ยินดังนั้นก็ยิ้มยินดีจนหน้าบาน พูดไม่หยุดว่า “ข้าจะไปเดี๋ยวนี้แล้วเจ้าค่ะๆ!”  

 

 

โจวเสาจิ่นส่ายศีรษะ เห็นนางออกจากประตูไปแล้ว ในใจกลับมีความรู้สึกหนักอกเล็กน้อย  

 

 

ทว่าก็ไม่ตำหนิที่ซือเซียงจะไม่เชื่อนาง  

 

 

แท้จริงแล้วที่ผ่านมานางใช้ชีวิตมาอย่างพล่าเลือนไม่ค่อยได้ใส่ใจอะไรนัก เรื่องในจวนล้วนเชื่อฟังพี่สาว เรื่องนอกจวนก็มีท่านพ่อและท่านลุงใหญ่ นางเพียงใช้ชีวิตอย่างมีความสุขอยู่ในจวนหลังใหญ่ ที่นายุ้งฉางได้ผลผลิตเป็นจำนวนเท่าไหร่ บรรดาบ่าวไพร่เหตุใดถึงมีเรื่องทะเลาะวิวาทกัน ในเรือนของป้าทั้งหลายมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นบ้าง นางไม่เคยถามไถ่มาก่อน เช่นนี้บรรดาสาวใช้จะหวังให้นางออกหน้าช่วยเหลือพวกนางได้อย่างไร บรรดาบ่าวชายที่ดูแลเรื่องในจวนจะหวังให้นางช่วยออกความเห็นหรือตัดสินใจแทนพวกเขาได้อย่างไร ถึงแม้ว่าทุกคนล้วนให้ความเคารพนาง ทว่ากลับไม่ใช่เป็นเพราะนางคือคุณหนูรอง แต่เป็นเพราะนางคือน้องสาวของโจวชูจิ่น ไม่เหมือนกับที่ปฏิบัติต่อพี่สาว นอกจากความเคารพแล้ว ยังมากไปด้วยความเชื่อมั่นและไว้วางใจอย่างที่สุด  

 

 

คิดถึงตรงนี้แล้ว โจวเสาจิ่นอดไม่ได้หัวเราะออกมาอย่างกระอักกระอ่วน ลุกขึ้นเดินไปยังห้องหนังสือที่อยู่ทางปีกตะวันตก เตรียมหาหนังสือมาอ่านฆ่าเวลา  

 

 

ห้องหนังสือยังคงเป็นแบบที่อยู่ในความทรงจำของนาง โถงกว้างขนาดสามห้องถูกกั้นให้เป็นสามห้องด้วยฉากไม้กฤษณาหกบานพับที่ฉลุลายดอกไม้และต้นไม้ ด้านตะวันออกเป็นห้องหนังสือของพี่สาว ด้านตะวันตกเป็นห้องหนังสือของนาง ล้วนมีโต๊ะพิณวางไว้ที่บริเวณข้างหน้าต่าง บริเวณผนังเป็นชั้นวางของประดับตกแต่งและชั้นวางหนังสือ โต๊ะเขียนหนังสือตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างห้องด้านตะวันออกและตะวันตก และมีอ่างเคลือบลายดอกไม้และต้นไม้ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ด้วย ห้องหนังสือของพี่สาวแขวนไว้ด้วยม้วนภาพวาด ส่วนห้องหนังสือของนางนั้นเลี้ยงปลาทองหนึ่งอ่างช่วงฤดูหนาว และเลี้ยงดอกบัวผันหนึ่งอ่างช่วงฤดูร้อน  

 

 

ตอนนี้เพิ่งจะเป็นช่วงต้นฤดูร้อน มีเพียงใบบัวเล็กใหญ่ไม่กี่ใบลอยอยู่บนผิวน้ำ ปลาทองสีดำสลับทองสองสามตัวแหวกว่ายไปมาอยู่ใต้ใบบัว  

 

 

นางหยิบถุงอาหารปลาออกมาจากลิ้นชักข้างโต๊ะเขียนหนังสืออย่างคุ้นเคย ก้มศีรษะลงให้อาหารปลา  

 

 

ปลาตัวเล็กๆ พุ่งเข้ามา น้ำโบกกระเพื่อมขึ้นเป็นสาย  

 

 

โจวเสาจิ่นระบายยิ้ม  

 

 

ทันใดนั้นมีหินก้อนหนึ่งตกลงไปในอ่าง น้ำสาดกระเซ็น ทำให้เสื้อด้านหน้าของโจวเสาจิ่นเปียกชุ่ม  

 

 

นางหมุนตัว ก็เห็นเด็กชายผิวขาวเนียนละเอียดผู้หนึ่ง สวมชุดจื๋อตัว  [1]  สีดำ กลัดผมด้วยที่กลัดผมไม้ไผ่ กำลังพิงอยู่บนขอบหน้าต่างของห้องหนังสือ หันมาทางนางแล้วหัวเราะอย่างชอบใจ  

 

 

“ท่านพี่อี้!” โจวเสาจิ่นแผดเสียงออกมา “ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”  

 

 

ท่านลุงใหญ่เหมี่ยนมีบุตรชายเพียงสองคน เฉิงเก้าเป็นบุตรชายคนโต เฉิงอี้เป็นบุตรชายคนรอง เด็กชายที่พิงอยู่บนขอบหน้าต่างของนางผู้นี้ก็คือคุณชายรองแห่งตระกูลเฉิงจวนสี่ เฉิงอี้ผู้มีอายุสิบห้าปีนั่นเอง  

 

 

เขาหัวเราะพลางหมุนตัวกระโดดเข้ามาให้ห้องหนังสือของโจวเสาจิ่น กล่าวขึ้น “เจ้าไม่สบายจริงๆ หรือ ทำไมข้าเห็นเจ้าก็สบายดี คงไม่ใช่ว่าเจ้าไม่อยากเรียนหนังสือกับเฉินต้าเหนียง ก็เลยแกล้งไม่สบายหรอกนะ?”  

 

 

ในห้วงความคิดของโจวเสาจิ่นกลับปรากฎภาพของเขาที่หนีหน้านางไปเมามายอย่างขมขื่นอยู่ที่ยุ้งฉางกว้างเหตุเพราะสอบตกการสอบขุนนางในปีนั้น  

 

 

นั่นเป็นความทรงจำสุดท้ายของนางที่มีต่อเขา  

 

 

และก็เป็นครั้งนั้น นางรู้ว่าจวนสี่และจวนหลักมีเรื่องแตกหักกัน ในการสอบขุนนางจวนสี่ไม่มีผู้ใดคอยชี้แนะ ในราชสำนักจวนสี่ไม่มีผู้ใดคอยสนับสนุน  ท่านลุงรองหยวน ค้างอยู่ในตำแหน่งยศผิ่นชั้นเจ็ด ไม่มีที่ใดให้ย้าย ทางเดินของ ท่านพี่เก้า ก็ยากลำบากนัก กระทั่งอายุยี่สิบเจ็ดปีถึงได้รับการแต่งตั้งที่จินหลิง  เฉิงสวี่ นั้นติดสุราเรื้อรัง แม้แต่พู่กันก็ไม่อาจจับให้มั่นคงได้ มองดูแล้วไม่อาจกลับไปรุ่งโรจน์เหมือนเดิมได้  เฉิงสือ แห่งจวนรองต้องการรับช่วงสืบทอดวงศ์ตระกูล จวนหลักต้องการผลักดัน เฉิงรั่ง บุตรชายของ เฉิงเว่ย  ทว่าหยวนซื่อ มารดาของเฉิงสวี่ไม่ยินยอม เฉิงเจิ้งแห่งจวนสามนั้นสองหน้าสามคมดาบ ซ้ายขวาล้วนพบแหล่งน้ำ กวนให้ในตระกูลไม่มีความสงบ จวนห้านั้นพอไม่มีการควบคุมจากจวนหลัก ก็เริ่มแอบนำทรัพย์สมบัติของตระกูลไปขาย จวนสี่ทราบเรื่องแล้วพอพูดไปก็เท่านั้น จวนสามทราบเรื่องแล้วแต่กลับไม่พูดอะไร เพียงปิดบังจวนหลักและจวนรองเอาไว้ ตระกูลนี้จึงต้องสูญสิ้นในไม่ช้า!  

 

 

ทว่าตอนที่ท่านพี่เก้ามาเยี่ยมนางยามที่สอบซู่จี๋ซื่อ  [2]  ได้แล้วนั้นกลับไม่เอ่ยถึงอะไรเลย  

 

 

โจวเสาจิ่นมองใบหน้าเยาว์วัยและหล่อเหลาที่เปล่งประกายด้วยความภาคภูมิและความสุขนั้นแล้ว ในใจก็อ่อนลงราวกับว่าสามารถหลั่งน้ำออกมาได้  

 

 

นางยิ้มบางพลางกล่าว “ท่านทำไมไม่เดินเข้ามาดีๆ ทางประตู ชอบกระโดดเข้ามาทางหน้าต่าง? ไม่ใช่ว่าท่านโดดเรียนอีกแล้ว? ระวังเถอะข้าจะฟ้องท่านยาย”  

 

 

เฉิงอี้หัวเราะร่า เดินอย่างองอาจตรงไปยังเก้าอี้ไม้มีเท้าแขนในห้องของนางแล้วนั่งลง กล่าวว่า “ป้าเจียงที่เฝ้าอยู่หน้าประตู ดวงตามันวาวเอาเรื่องยิ่ง ข้าจะเข้ามาแต่ละทีไม่ง่ายนัก” กล่าวอีกว่า “เจ้ายังไปเรียนกับเฉินต้าเหนียงอยู่ใช่หรือไม่”  

 

 

เรื่องนี้โจวเสาจิ่นยังไม่ได้ตัดสินใจ ทว่าเป็นที่ประจักษ์ว่าเฉิงอี้ไม่ใช่คนที่สามารถปรึกษาด้วยได้ และนางก็ไม่ได้เตรียมตัวมาถกเรื่องนี้กับเฉิงอี้ จึงเลี่ยงที่จะให้คำตอบ กล่าวขึ้นว่า “ท่านไถลตัวเข้ามาจากฝั่งสวนดอกไม้เล็กของจวนห้าอีกแล้วหรือ”  

 

 

น้ำแกงทั้งหม้อเสียเพราะขี้หนูก้อนเดียวนั้น กล่าวแล้วนางรู้สึกว่าคือตระกูลเฉิงจวนห้าโดยแท้  

 

 

ตระกูลเฉิงนั้นเป็นตระกูลหนึ่งที่ทำการเพาะปลูกและมีการศึกษาอย่างตระกูลทั่วไปในเจียงหนาน มีหลักว่า ‘ผู้ชายหากว่าอายุสี่สิบแล้วยังไม่มีบุตรจึงจะสามารถรับอนุได้’ ให้ยึดปฏิบัติ นายท่านใหญ่เฉิงเวิ่นแห่งจวนห้ามีบุตรชายหนึ่งคนนามว่า เฉิงนั่ว  เขาไม่รับอนุ ทว่าอยู่ข้างนอกห้อมล้อมไปด้วยนางรำ เลี้ยงดูหญิงคณิกา และเที่ยวหอนางโลม ฮูหยินใหญ่เวิ่นเริ่มขมขื่นใจและริษยา ต่อมาทุกข์ใจเรื่องเงินทอง ในทุกๆ วันนางคอยจับตาดูท่าทีของเฉิงเวิ่น ไหนเลยจะมีแก่ใจดูแลเรื่องภายในจวน? หน้าที่ภายในจวนทั้งหมดมอบหมายให้แม่บ้านที่นางไว้ใจเป็นผู้ดูแล ตนเองนั้นแสร้งว่าไม่สบายนอนอยู่บนเตียงทั้งวัน ภายในจวนอวลไปด้วยบรรยากาศที่ยุ่งเหยิง นายไม่ใช่นาย บ่าวไม่ใช่บ่าว ไร้ซึ่งกฎระเบียบ เฉิงอี้และอีกหลายคนอาศัยช่องโหว่นี้ ใช้สวนดอกไม้เล็กภายในจวนห้า แอบพาเพื่อนฝูงเข้ามาประชันบทกลอนแข่งขันวาดภาพ กินดื่มสร้างความบันเทิง เรื่องนี้พวกผู้ใหญ่ในตระกูลเฉิงไม่ทราบเรื่อง หลังจากที่เกิดเรื่องของนาง หยวนซื่อตรวจสอบทั่วทั้งซอยจิ่วหรู ถึงได้พบว่าภายในจวนห้านั้นไร้ซึ่งการจัดการ โชคดีที่จวนห้ามีเพียงเฉิงนั่วเป็นลูกโทน ไม่มีบุตรสาว ไม่มีเหตุวุ่นวายอะไรเกิดขึ้น ทว่าเรื่องคลุมเครือระหว่างบ่าวชายหญิงนั้นเกิดขึ้นไม่จบสิ้น ทำให้หยวนซื่อโกรธเป็นอย่างมาก เกือบจะหันกลับไปด้วยความโกรธ แล้วด่าทอท่านย่าเวิ่นต่อหน้าคนตระกูลเฉิงและบ่าวรับใช้ด้วยถ้อยคำผรุสวาทเสียแล้ว  

 

 

โจวเสาจิ่นในเวลานั้นน่าจะไม่ทราบเรื่อง  

 

 

เฉิงอี้ถูกทำให้กลัวจนเหงื่อเย็นท่วมตัว นั่งตัวตรงขึ้นในทันใด มองนางด้วยใบหน้าที่ระแวดระวัง กล่าวอย่างร้อนรนว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไร” กล่าวจบ เขาก็แสดงอาการราวกับว่าเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน ตะโกนขึ้นว่า “ข้ารู้แล้ว ต้องเป็นเฉิงลู่แน่ๆ ที่บอกเจ้า!” เขาด่าทอเฉิงลู่อย่างเดือดดาลว่า “คนทรยศ! ตกลงกันแล้วว่าต้องเก็บเป็นความลับ! ทำไมเขาถึงได้ปากสว่างเยี่ยงนี้ ต่อจากนี้เวลาออกไปเล่นกันจะไม่ชวนเขาอีกแล้ว”  

 

 

ที่จริงแล้วเฉิงลู่กับพวกเขาเที่ยวเล่นด้วยกันด้วยหรือ  

 

 

โจวเสาจิ่นประหลาดใจ  

 

 

ในความทรงจำ เวลานั้นที่หยวนซื่อตรวจพบแล้วก็มีเฉิงอวี่จากจวนรอง เฉิงอี้จากจวนสี่ เฉิงนั่วจากจวนห้าและเฉิงจวี่จากตระกูลเฉิงสายรอง ยังมีเฉิงสวี่ที่สุดท้ายแล้วถูกพวกเขาลากลงไปในน้ำ ทว่ากลับไม่มีเฉิงลู่  

 

 

พอมาคิดดูในยามนี้แล้ว ต้องเป็นพวกเขาที่กล่าวคำสาบานแห่งมิตรสหาย ช่วยกันปกปิดให้กับเฉิงลู่  

 

 

ทว่าเฉิงอวี่แห่งจวนรองกับคุณชายใหญ่เฉิงสือแห่งจวนรองเป็นพี่น้องร่วมมารดา นายท่านใหญ่เฉิงอี๋แห่งจวนรองนั้นไม่ค่อยใส่ใจเกี่ยวกับเรื่องราวภายในจวน ฮูหยินใหญ่อี๋ยังเป็นผู้ฝักใฝ่ไปในทางธรรม เฉิงอวี่กับเฉิงสืออายุห่างกันสิบปี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียนการบ้าน หรือค่าใช้จ่ายเรื่องการกินการแต่งตัวล้วนแต่เป็นเฉิงสือที่เป็นผู้จัดการดูแล การที่พวกเฉิงอวี่กับเฉิงอี้พากันเที่ยวเล่นพิเรนทร์เช่นนี้ เฉิงสือไม่น่าที่จะไม่ทราบเรื่องถึงจะถูก!  

 

 

ยิ่งคิดโจวเสาจิ่นก็ยิ่งสับสน สิ่งเดียวที่นางพอจะมั่นใจได้คือ ถึงแม้ว่าเรื่องราวในความทรงจำของนางจะมีหนึ่งเรื่องที่สอดคล้องกัน ทว่ากลับปรากฏบางอย่างที่ไม่ตรงกันเล็กน้อยกับสิ่งที่นางรู้ในตอนนี้  

 

 

นางจ้องเฉิงอี้พลางเอ่ยถาม “กล่าวเช่นนี้ แสดงว่าพวกท่านพาเพื่อนฝูงมากินดื่มสร้างความบันเทิงกันที่สวนดอกไม้เล็กของจวนห้าจริงๆ? เฉิงลู่อยู่ด้วยกันกับพวกท่านจริงๆ? เยี่ยงนั้นทำไมพวกท่านถึงปกปิดเรื่องนี้ให้กับเฉิงลู่ด้วย?”  

 

 

เฉิงอี้ได้ยินเช่นนั้นก็กระโดดโหยงสูงสามฉื่อ  [3]  พลางกล่าว “อะไรกันที่เรียกพวกข้าว่าปกปิดให้กับเฉิงลู่ พวกข้าตกลงกันตั้งแต่แรกแล้วว่า ไม่ว่าเป็นผู้ใดที่ทำเรื่องผิดพลาดขึ้น ก็ให้รับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว ต้องไม่ดึงผู้อื่นมาเกี่ยวข้องด้วย” เขากระซิบกล่าวว่า “คิดไม่ถึงว่าคำพูดของเฉิงลู่จะเชื่อถือไม่ได้” กล่าวจบ เขารู้สึกว่าตนเองที่อยู่ต่อหน้าโจวเสาจิ่นนี้ร้อนรนเล็กน้อย อดไม่ได้ยืนขึ้นและยืดตัวตรง พลางกล่าวแก้ตัวเสียงสูงว่า “ที่พวกข้าทำนั้นไม่ใช่ ‘สร้างความบันเทิง’ นั่นคือ การไม่ถูกจำกัดอยู่ในกฎ มีอิสรเสรี เป็นรสนิยมของคนผู้ได้รับการศึกษา เข้าใจหรือไม่”  

 

 

เฉิงอี้ในตอนนี้กับโจวเสาจิ่นในตอนนั้นก็เหมือนกัน ที่ไม่รู้ถึงความเลวร้ายของเรื่องราวนี้ เขาพูดอย่างอาจหาญและมั่นใจ โจวเสาจิ่นกลับอดไม่ได้แย้งขึ้นว่า “การไม่ถูกจำกัดอยู่ในกฎต้องดื่มเหล้า และการมีอิสรเสรีต้องแต่งกายเลอะเทอะอย่างนั้นหรือ ข้าเห็นว่านั่นคือการทำตามอำเภอใจ มุทะลุ ไม่ยอมอยู่ในแบบแผนต่างหาก! ทำไมไม่เห็นท่านพี่สือแห่งจวนรองเป็นเยี่ยงนี้ ทำไมไม่เห็นท่านพี่เจิ้งแห่งจวนสามเป็นเยี่ยงนี้บ้าง มีเพียงพวกท่านสามสี่คน…”  

 

 

“ไอ้หยาๆ!” เฉิงอี้กระวนกระวายเล็กน้อยขณะเอ่ยขัดคำพูดของโจวเสาจิ่น “เรื่องของพวกผู้ชาย เจ้าเป็นแค่เด็กผู้หญิงคนหนึ่งจะไปเข้าใจอะไร เจ้าตั้งใจเรียน ‘บัญญัติสอนหญิง’ และ ‘วิถีแห่งความดีงามของสตรี’ ของเจ้ากับเฉินต้าเหนียงไปเถอะ” จากนั้นก็ข่มขู่นางว่า “เรื่องนี้ห้ามเจ้าบอกกับผู้อื่นเป็นอันขาด! ไม่เช่นนั้นข้าจะเปิดโปงเฉิงลู่” ทั้งยังถามต่อว่า “สรุปว่าเจ้ายังไปเรียนกับเฉินต้าเหนียงอยู่หรือไม่”  

 

 

โจวเสาจิ่นรู้สึกหดหู่  

 

 

คิดไม่ถึงว่าในสายตาของทุกคน นางนั้นเป็นกังวลอย่างมากเกี่ยวกับเฉิงลู่  

 

 

นางอดไม่ได้กล่าวว่า “เรื่องของข้าท่านไม่ต้องยุ่ง ต่อจากนี้ท่านก็อย่าไปกินดื่มสร้างความบันเทิงกันที่สวนดอกไม้เล็กของจวนห้าอีกก็พอแล้ว ไม่เช่นนั้นข้าก็จำเป็นต้องบอกท่านยาย!”  

 

 

เฉิงอี้เบิกดวงตากว้าง พลางกล่าว “เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะลากเฉิงลู่ออกมา?”  

 

 

“เฉิงลู่ก็คือเฉิงลู่ ข้าก็คือข้า เขากับข้ามีอะไรเกี่ยวข้องกัน!” โจวเสาจิ่นรีบชี้แจงให้ชัดเจน “ท่านไม่ต้องเอาพวกข้าสองคนไปพูดด้วยกันอีก คนที่ไม่รู้ก็จะเข้าใจไปว่าข้ากับเขามีอะไรกัน! คนเป็นพี่ชายเขาทำเยี่ยงท่านกันหรือ”  

 

 

ดวงตาของเฉิงอี้ยิ่งเบิกกว้างขึ้น กล่าวว่า “เช่นนั้นทำไมเฉิงลู่ยังให้ข้ามาถามเจ้าว่ายังไปเรียนกับเฉินต้าเหนียงอยู่หรือไม่”  

 

 

โจวเสาจิ่นเข้าใจในทันที  

 

 

คนที่อาศัยอยู่ในซอยจิ่วหรูทั้งหมดล้วนเป็นคนตระกูลเฉิง สำนักศึกษาแห่งตระกูลเฉิงนั้นตั้งอยู่ที่ท้ายซอยของซอยจิ่วหรู ซึ่งต่อเติมออกมาจากสวนเล็กที่ตั้งอยู่ห่างไกลแห่งหนึ่งของจวนตระกูลเฉิง และจวนห้าที่กั้นกางด้วยซอยเล็กซอยหนึ่ง ผู้ชายในตระกูลเฉิงเข้าศึกษาในสำนักศึกษาแห่งตระกูลเฉิง ภายหลังได้ทำการสร้างห้องหนังสือชื่อว่า ‘ห้องศึกษาสันติสุข’ ขึ้นบริเวณด้านข้างป่าไผ่ที่สวนดอกไม้ของจวน ให้เด็กผู้หญิงได้เรียนอ่านเขียนกับอาจารย์หญิงอยู่ที่นั่น สวนดอกไม้เล็กภายในของจวนห้ากับสวนดอกไม้ภายในของจวนตระกูลเฉิงกั้นกางด้วยน้ำที่หันเข้าหากัน ตรงกลางมีสะพานแผ่นหินซิกแซ็กเชื่อมต่อถึงกัน หากว่านางไปเรียนที่ ‘ห้องศึกษาสันติสุข’ เฉิงลู่ที่อยู่ฝั่งศาลาริมน้ำของจวนห้าสามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวที่ห้องศึกษาสันติสุขได้รางๆ ถึงแม้ว่าไม่อาจพูดคุยกัน ทว่าสามารถให้บ่าวรับใช้ของจวนห้านำความมาทักทายได้  

 

 

นี่เขาคิดจะแอบนัดพบตนเองเป็นการส่วนตัว!  

 

 

โจวเสาจิ่นยิ้มเย็น  

 

 

ตั้งแต่เมื่อก่อนนางก็ไม่เคยนัดพบกับเขาเป็นการส่วนตัว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนนี้  

 

 

โจวเสาจิ่นมองท่าทางที่ไม่รู้จักคิดของเฉิงอี้นั้นแล้ว ทั้งน่าโมโหและน่าขบขัน กล่าวขึ้นว่า “ข้าที่ผ่านมาเคยเป็นศัตรูกับท่านหรือ ท่านถึงได้ทำร้ายข้าเยี่ยงนี้ คำพูดของข้าท่านไม่เชื่อแม้สักประโยค ทว่าเฉิงลู่พูดอะไรท่านกลับไม่สงสัยแม้สักนิดเดียว เขาให้ประโยชน์อะไรกับท่านหรือ ท่านถึงได้เป็นธุระช่วยเขาเยี่ยงนี้ หากท่านยังเป็นเยี่ยงนี้อีก ข้าคงจำต้องไปฟ้องท่านยายจริงๆ แล้ว!”  

 

 

 

 

 

——  

 

 

[1]  ชุดจื๋อตัว  (直裰) ชุดคลุมหลวม เป็นชุดที่หลวงจีนสวมใส่กัน  

 

 

[2]  ซู่จี๋ซื่อ  (庶吉士) ต้องสอบผ่านการเป็นซู่จี๋ซื่อก่อนถึงจะสามารถทำงานในกรมต่างๆ ได้  

 

 

[3]  ฉื่อ  (尺) หน่วยวัดความยาวในสมัยโบราน หนึ่งฉื่อเท่ากับ 0.333 เมตร หรือ 1.094 ฟุตโดยประมาณ  

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ในยามที่ โจวเสาจิ่น เด็กสาวจากตระกูลโจวผู้แสนอ่อนหวานและว่านอนสอนง่ายถูกชายคนรักที่นางไว้ใจหักหลังคร่าชีวิต นางได้แต่ภาวนาร้องขอโอกาสที่จะได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง หากนางสามารถย้อนเวลากลับไปได้ นางจะหนีไปให้ห่างไกลจากบุรุษจอมเสแสร้งอย่างเขา นางจะไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกย่ำยีอย่างน่าอดสู จะไม่ทำให้ตระกูลต้องอับอายขายขี้หน้า ไม่มีวันทำให้พี่สาวผู้แสนอ่อนโยนหัวใจแตกสลาย ขอแค่โอกาสอีกเพียงสักครั้ง… ดูเหมือนสวรรค์จะสดับฟังคำอธิษฐานก่อนสิ้นใจของนาง ท่ามกลางค่ำคืนอันแสนสงบปราศจากเค้าลางของพายุ โจวเสาจิ่นสะดุ้งตื่นขึ้นจากฝันร้ายและพบว่าตนได้ย้อนเวลากลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งราวปาฏิหาริย์ในร่างเดิมวัยสิบสองปี! ด้วยประสบการณ์อันขื่นขมที่นางได้เผชิญมาในชาติก่อน หญิงสาวตั้งปณิธานว่าจะต้องหาทางแก้ไขชะตาชีวิตของตนเองและของตระกูลในชาตินี้ให้ได้ ไม่มีอีกแล้วเด็กสาวที่ขี้ขลาดและอ่อนแอ แม้แต่ดอกไม้ก็ยังไม่กล้าเด็ดคนนั้น ได้เวลาที่นางต้องยืนหยัดลุกขึ้นสู้เพื่อตัวเองแล้ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset