ยามดอกวสันต์ผลิบาน – ตอนที่ 64 อยากรู้อยากเห็น

 

 

โจวเสาจิ่นถามเฉิงอี้ “เช่นนั้นท่านรู้หรือไม่ว่าข้างกายของท่านน้าฉือยังมีใครอีกบ้าง”

 

 

“ข้าจะรู้ได้อย่างไรกัน!” เฉิงอี้ยังคงดึงพู่กันขนพังพอนของโจวเสาจิ่นต่อไปและกล่าวขึ้นอย่างไม่เห็นด้วยว่า “ท่านอาฉือเป็นผู้ใหญ่ มีที่ให้พวกเราได้สอดที่ไหนกัน!”

 

 

ที่พูดมาก็ถูก!

 

 

แผนของโจวเสาจิ่นล้มเหลวไม่เป็นท่า

 

 

นางได้แต่ลอบสงสัยกับตัวเองอยู่ในใจ

 

 

สมองของเฉิงเวิ่นยังไม่ได้ถูกทำลายโดยสิ้นเชิง

 

 

หลังจากที่สร้างเรื่องวุ่นวายกันมากว่าครึ่งค่อนเดือน เขาก็วิ่งไปที่เรือนหานปี้ซาน คุกเข่าและร้องไห้สะอึกสะอื้นน้ำตาเป็นสายอยู่ตรงหน้าฮูหยินผู้เฒ่ากัว “ในซอยจิ่วหรูแห่งนี้ ก็มีท่านเพียงผู้เดียวที่เข้าใจผู้อื่น หลานนี้วาสนาตามวันเดือนปีเกิดไม่ดี ทำให้โชคร้าย แต่งภรรยาชั่วร้ายเช่นนี้มาผู้หนึ่ง แต่นั่นก็เป็นไปตามการจัดการของบิดามารดาและการเจรจาผ่านพ่อสื่อแม่สื่อ ข้าไม่อาจปล่อยให้ผู้หลักผู้ใหญ่ทั้งสองขายหน้าได้! ขอร้องท่านป้าสะใภ้ใหญ่เห็นแก่สายเลือดเดียวกัน ช่วยข้าปรับปรุงแก้ไขเรือนชั้นในด้วยขอรับ”

 

 

ทุกคนต่างก็ตกตะลึงกันเป็นอย่างมาก

 

 

แม้แต่ตัวฮูหยินผู้เฒ่ากัวเองก็คิดไม่ถึงเช่นกัน

 

 

นางกล่าวปฏิเสธอย่างอ้อมๆ ว่า “อายุข้าก็มากแล้ว ไม่ได้ดูแลจัดการเรื่องภายในจวนมานานแล้ว เรื่องปรับปรุงแก้ไขเรือนชั้นในนี้ ข้าว่าเจ้ามอบความไว้วางใจให้ผู้อื่นจะดีกว่า!”

 

 

เฉิงเวิ่นยังคงคุกเข่าไม่ยอมลุกขึ้น

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงให้คนไปเชิญเฉิงฉือมา “เจ้าไปพูดกับท่านผู้นำตระกูลสักหน่อย ดูว่าท่านผู้นำตระกูลจะว่าอย่างไรบ้าง”

 

 

เฉิงฉือไปยังเรือนเจ๋อหลานที่เฉิงซวี่พักอาศัยอยู่ ไม่นานก็กลับมา กล่าวขึ้นว่า “ท่านผู้นำตระกูลบอกว่า เรื่องนี้ให้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของท่านแม่ขอรับ!”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นให้ปี้อวี้ไปเรียกหยวนซื่อให้มาพูดคุยด้วย

 

 

“เรื่องนี้วุ่นวายจนเกินความเหมาะสมไปแล้ว เนื่องจากท่านผู้นำตระกูลก็เห็นด้วยแล้ว เจ้าเป็นตัวแทนของข้าไปที่จวนห้าสักครั้งก็แล้วกัน!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวอธิบายให้หยวนซื่อฟังอย่างเคร่งขรึม “ระหว่างนี้เจ้าก็เก็บเอาความคิดเล็กคิดน้อยพวกนั้นของเจ้าเอาไว้ชั่วคราวก่อน อย่าคิดว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า จวนห้านั้นอยู่ติดกับเรือนซีฉวิน อีกทั้งยังหันหน้าเข้าหาจวนสี่เพียงแม่น้ำกั้น จากห้องศึกษาจิ้งอันมาถึงที่นี่ไม่เกินครึ่งชั่วยาม ไปถึงเรือนอวิ้นเจินที่เจ้าพักอาศัยอยู่ก็ไม่เกินหนึ่งชั่วยาม ซึ่งทั้งหมดล้วนอยู่ในอาณาบริเวณของเรือนชั้นใน หากว่ามีคนหลบหนีเข้ามาได้จริงๆ ทั้งหมดต่างก็เป็นเพียงสตรีและเด็กที่อ่อนแอด้วยกันทั้งนั้น นี่หากว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา ชื่อเสียงของตระกูลเฉิงที่สั่งสมกันมากว่าร้อยปีก็คงจะสูญสิ้นลงทั้งหมดเสียแล้ว ต่อให้วันนี้เฉิงเวิ่นไม่ได้มาขอร้องต่อหน้าข้า อีกไม่กี่วันข้าก็ย่อมต้องยื่นมือเข้าไปจัดการเรื่องนี้อยู่ดี”

 

 

หยวนซื่อเองก็ไม่ใช่คนที่ไม่มีความคิด เมื่อได้ยินก็เอ่ยรับปากฮูหยินผู้เฒ่ากัวในทันทีว่า “ท่านวางใจได้ ข้ารู้จักหนักเบาเจ้าค่ะ รังมดเพียงหนึ่งก็สามารถทำให้ทำนบกั้นน้ำหนึ่งพันหลี่พังทลายลงได้ จวนห้าในเวลานี้ก็เปรียบได้กับรังมดรังนั้น ไม่รีบซ่อมแซมเสียแต่ตอนนี้ ในภายภาคหน้าก็มีเพียงพวกเราที่ต้องทนทุกข์ไปด้วย ในเมื่อท่านได้ตัดสินใจลงมาแล้วว่ามอบหมายให้ข้าไป ข้าก็ไม่อาจออมมือใจอ่อนให้ได้ ก่อนอื่นจะไปหาอาเวิ่นห้าเพื่อนำป้ายคู่ของจวนห้ามาเก็บไว้ในมือ และทำข้อตกลงกับเขาเสียก่อน คนที่ควรขับไล่ออกไปก็จะขับไล่ออกไป คนที่ควรขายก็จะขาย ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องจัดระเบียบจวนห้าขึ้นมาใหม่ให้ได้เจ้าค่ะ”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้าอย่างพึงพอใจ จากนั้นให้สื่อมามาส่งหยวนซื่อออกไป

 

 

ตอนที่โจวเสาจิ่นได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็รีบวิ่งไปดูอย่างอดรนทนไม่ได้

 

 

เฉิงฉือได้ออกไปก่อนแล้ว ส่วนหยวนซื่อกำลังออกจากเรือนหานปี้ซานโดยมีบ่าวรับใช้ติดตามไปด้วยเจ็ดถึงแปดคน

 

 

หัวไหล่ของนางห่อเ**่ยวลงไปเล็กน้อยในทันใด

 

 

ปี้อวี้ยิ้มพลางกล่าว “คุณหนูรองเป็นอะไรไปหรือ”

 

 

โจวเสาจิ่นยิ้มอย่างขัดเขิน พลางกล่าว “ข้าไม่ทันได้เห็นเรื่องสนุก!”

 

 

ปี้อวี้หัวเราะขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ พลางกล่าว “เรือนหานปี้ซานของพวกเราเงียบสงบเป็นที่สุด หากคุณหนูรองอยากเห็นเรื่องสนุก ที่จวนสาม หรือจวนห้ามีมากยิ่งนัก”

 

 

แน่นอนว่าโจวเสาจิ่นไม่อาจแสดงความคิดเห็นในเรื่องพวกนี้กับนางได้ จึงได้แต่ฟังและยิ้มตาหยี จากนั้นก็หมุนกายกลับไปที่ห้องพระ

 

 

เฝ่ยชุ่ยดึงแขนเสื้อของปี้อวี้เอาไว้ พลางกล่าว “เจ้าพูดเรื่องพวกนี้กับคุณหนูรองทำไมหรือ ระวังคนอื่นจะมาได้ยินเข้า”

 

 

ปี้อวี้กล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าเห็นว่าคุณหนูรองเป็นคนไม่เลวเลยทีเดียว เวลาว่างๆ ก็กล่าวสัพเพเหระกัน คิดดูแล้วคุณหนูรองก็ไม่น่าจะถือเอาไปเป็นเรื่องจริงจังได้”

 

 

จริงอยู่ที่ไม่น่าจะถือเอาไปเป็นเรื่องจริงจัง

 

 

เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะถือเอาไปเป็นเรื่องจริงจังเมื่อไหร่เสียมากกว่า

 

 

เฝ่ยชุ่ยค่อนข้างกลัวโจวเสาจิ่นอยู่ลึกๆ ยามที่พบเจอนางจึงไม่ได้สนิทสนมและเป็นกันเองอย่างเช่นที่ผ่านมาอีก

 

 

ทว่าปี้อวี้กลับชื่นชอบโจวเสาจิ่นยิ่งนัก

 

 

เมื่อโจวเสาจิ่นได้รับแตงโมเป็นของรางวัลจากฮูหยินผู้เฒ่ากัวนั้นก็ได้เชิญปี้อวี้มาทานด้วยกันที่ห้องพระ ปีอวี้จึงกล่าวกับนางว่า “หลังจากที่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ฮูหยินใหญ่เวิ่นไหนเลยจะยังมีหน้าออกมาได้ แสร้งทำเป็นคนใบ้หูหนวกหลบตัวอยู่แต่ในห้อง เรื่องต่างๆ ภายในจวนห้าทั้งหมดล้วนอยู่ในความดูแลของฮูหยินของพวกเรา นอกจากสาวใช้ลำดับที่สองที่ให้การรับใช้อยู่ข้างกายฮูหยินใหญ่เวิ่นแล้ว แปดถึงเก้าในสิบส่วนของบ่าวรับใช้ในจวนห้าล้วนถูกเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด แม้แต่แม่นมและสาวใช้ใหญ่ข้างกายของฮูหยินใหญ่เวิ่น คนหนึ่งถูกขับไล่ออกไป อีกคนหนึ่งก็ถูกนำไปแต่งให้กับผู้อื่น ได้ยินมาว่าตอนที่ออกไปนั้น นอกจากเสื้อผ้าแล้ว ก็ไม่อนุญาตให้นำอย่างอื่นออกไปด้วย…ตอนนี้นายท่านเวิ่นห้าพึงพอใจเป็นยิ่งนักแล้ว ทั้งในและนอกจวนทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับเขา ผู้คนในจวนห้าเวลาจะทำอะไรก็ล้วนต้องดูสีหน้าของเขาก่อน ผู้คนต่างกล่าวกันว่าฮูหยินของพวกข้านั้นเสมือนทำชุดแต่งงานให้กับนายท่านเวิ่นห้า แต่ฮูหยินผู้เฒ่าของพวกข้าก็กล่าวว่า ต่อให้เป็นการทำชุดแต่งงานให้กับนายท่านเวิ่นห้า แต่ก็เป็นชุดแต่งงานที่ไม่น่าสวมใส่เท่าไหร่นัก ต่อไปไม่ว่าจวนห้าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก ทุกอย่างล้วนเป็นความรับผิดชอบของนายท่านเวิ่นห้าแล้ว หากแม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้นายท่านเวิ่นห้ายังจัดการเองไม่ได้จริงๆ ก็ควรจะเปิดศาลบรรพบุรุษ แล้วให้จวนห้าแยกตัวออกไปอยู่กันเอง…

 

 

…หลังจากที่นายท่านเวิ่นห้าได้ยินเช่นนั้น ก็หวาดกลัวจนใบหน้าซีดเผือด หลายวันมานี้จึงไม่ได้ออกไปกินดื่มเล่นการพนันและเที่ยวนางโลม ทุกคืนล้วนกลับมาพักผ่อนที่บ้าน บางครั้งยังตื่นขึ้นมาสอดส่องเวรยามในตอนกลางคืนอีกด้วย!…

 

 

…เพียงแต่สร้างความไม่สะดวกให้กับคนของจวนรองและจวนสาม เนื่องจากจวนห้าเปลี่ยนคน จึงต้องเติมคนทดแทนเข้าไป คนที่จวนห้าในตอนนี้ หากไม่ใช่คนที่มาจากจวนรองก็เป็นคนที่มาจากจวนสามทั้งนั้น”

 

 

เช่นนั้นจวนห้าก็เหมือนกับตะแกรงร่อนอันหนึ่งที่ความลับรั่วไหลได้ไม่ใช่หรือ?

 

 

นี่จวนหลักต้องการช่วยเหลือจวนห้าหรือทำลายจวนห้ากันแน่?

 

 

โจวเสาจิ่นหัวเราะคิก

 

 

ปี้อวี้ทราบว่านางฟังเข้าใจแล้วก็หันไปขยิบตาให้นาง

 

 

ในใจของโจวเสาจิ่นเต้นแรง อยากจะแอบถามถึงเรื่องของเฉิงฉือยิ่งนัก หลายครั้งที่คำถามมาถึงที่ริมฝีปากแล้ว แต่ก็รู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่ กลัวจะทำให้ปี้อวี้สงสัยขึ้นมา สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยถามออกไปสักที

 

 

ต่อให้เป็นเช่นนี้ อารมณ์ของนางก็ยังเบิกบานเป็นยิ่งนัก คัดพระธรรมอยู่ในห้องพระอย่างมีความสุข

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเผอิญผ่านทางมาที่ห้องพระและเห็นเข้า อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ กล่าวกับสื่อมามาผู้รับใช้ข้างกายว่า “เด็กคนนี้ ช่างเรียบง่ายและสำรวมยิ่งนัก”

 

 

สื่อมามาไม่ค่อยรู้จักโจวเสาจิ่นดีนัก แต่นางก็เห็นพ้องไปกับฮูหยินผู้เฒ่ากัว กล่าวยิ้มๆ ว่า “นั่นก็เป็นเพราะคุณหนูรองมีวาสนาดีและจิตใจที่ดีงามเจ้าค่ะ”

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่ได้เอ่ยคำใด ยืนมองโจวเสาจิ่นอยู่ข้างนอกหน้าต่างไม้ระแนงไปครู่ใหญ่ และจากออกไปอย่างเงียบๆ โดยไม่ให้โจวเสาจิ่นรู้ตัว

 

 

โจวเสาจิ่นเดินกลับเรือนเจียซู่อย่างเบิกบานตลอดทาง

 

 

ใครจะรู้ว่าฮูหยินใหญ่อวี้ผู้เป็นมารดาของเฉิงจวี่กำลังสนทนาอยู่กับฮูหยินผู้เฒ่ากวน

 

 

โจวเสาจิ่นหลบอยู่ในห้องน้ำชาข้างๆ รอจนกระทั่งฮูหยินใหญ่อวี้จากไปแล้วถึงค่อยเดินไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่ากวน

 

 

อารมณ์ของฮูหยินผู้เฒ่ากวนไม่ค่อยสงบนัก เมื่อเห็นโจวเสาจิ่น นางถึงได้แสดงรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย

 

 

สอบถามถึงเรื่องการคัดพระธรรมของนางแล้ว ก็ให้นางกลับไปพักผ่อนที่เรือน

 

 

โจวเสาจิ่นรู้สึกแปลกๆ จึงลอบสอบถามจากพี่สาว

 

 

โจวชูจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าอย่าสนใจเลย!” แต่ก็อดไม่ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้นางฟัง “น้องชายซวิ่นผู้เป็นหลานของนายท่านผู้เฒ่ารองจวนหลักเสียไปแล้วใช่หรือไม่ ก็ไม่รู้ว่าฮูหยินใหญ่อวี้ไปฟังคำยุยงของผู้ใดมา ถึงกับมาหาท่านยาย อยากจะส่งน้องสาวร่วมสกุลของตัวเองไปรับใช้ท่านลุงเฝินของนายท่านผู้เฒ่ารองที่จิงเฉิง…”

 

 

โจวเสาจิ่นดวงตาเบิกกว้างอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง

 

 

เฉิงเฝิน หรือก็คือบุตรชายคนเดียวของเฉิงเซ่าผู้เป็นนายท่านผู้เฒ่ารองของจวนหลัก

 

 

คนเช่นพวกเขาเหล่านี้ก็ช่างกล้าคิดกันจริงๆ!

 

 

นางค้นพบว่ายิ่งตนเองรู้จักตระกูลเฉิงมากขึ้น ก็ยิ่งรู้สึกว่าตระกูลเฉิงนั้นซับซ้อนนัก

 

 

ชาติก่อน นางอาศัยอยู่ในตระกูลเฉิงอย่างมึนๆ งงๆ มาได้อย่างไรตั้งสิบกว่าปี

 

 

“แล้วท่านยายว่าอย่างไรบ้างเจ้าคะ” โจวเสาจิ่นถามพี่สาว

 

 

“ท่านยายจะไปช่วยนางพูดเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไรกัน” โจวชูจิ่นเองก็รู้สึกรังเกียจการกระทำนี้ของมารดาของเฉิงจวี่เป็นอย่างมาก จึงพูดอย่างไม่เกรงใจว่า “คนที่จวนหลักอย่างฮูหยินผู้เฒ่ากัวและฮูหยินหยวนต่างก็ยังไม่พูดอะไรเลย ไหนเลยจะถึงคราวให้พวกเราได้เข้าไปแทรกแซงเรื่องของผู้อื่นกัน!”

 

 

โจวเสาจิ่นเองก็คิดเช่นนั้นเช่นเดียวกัน

 

 

ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าหากจวนห้าถูกแยกออกไป ก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ดีมากเหมือนกัน!

 

 

ชั่วพริบตาเดียวเวลาก็ดำเนินมาถึงเดือนหก วันเกิดของโจวเจิ้นก็ใกล้เข้ามาแล้ว

 

 

โจวเสาจิ่นนำเสื้อผ้าสองชุด ถุงเท้าสองคู่ ชุดพัดหนึ่งชิ้น ชุดกระจกหนึ่งชิ้น ถุงขนาดเล็กสองใบ และกระโปรงสำหรับหลี่ซื่อผู้เป็นมารดาเลี้ยงอีกหนึ่งตัวที่ทำขึ้นมาด้วยตัวเอง รวมกับของอื่นๆ ที่จัดเตรียมเอาไว้เป็นของขวัญวันเกิดร่วมกันกับโจวชูจิ่นแล้วให้ภรรยาของหม่าฟู่ซานส่งไปให้โจวเจิ้นที่เมืองหนานชาง

 

 

ส่งของไปไม่ถึงครึ่งเดือน โจวเสาจิ่นและโจวชูจิ่นก็ได้รับจดหมายตอบกลับของโจวเจิ้นผู้เป็นบิดาแล้ว

 

 

เนื้อความในจดหมายนั้น นอกจากโจวเจิ้นจะย้ำเตือนพวกนางสองพี่น้องครั้งแล้วครั้งเล่าว่าต้องกตัญญูต่อผู้หลักผู้ใหญ่ ต้องระวังเรื่องความปลอดภัย อย่าทะเลาะเบาะแว้งกับเหล่าลูกพี่ลูกน้องชายหญิงแล้ว ยังกล่าวถึงเสื้อผ้าที่โจวเสาจิ่นส่งไปให้ว่าสวมใส่ได้พอดีตัวยิ่งนัก เป็นแบบที่หลี่ซื่อชื่นชอบเป็นอย่างมาก ในตอนท้ายยังส่งตั๋วเงินมาให้โจวเสาจิ่นกับโจวชูจิ่นสองพี่น้องอีกหนึ่งใบเป็นจำนวนเงินสองร้อยเหลี่ยง กล่าวว่าเป็นเงินส่วนตัวที่หลี่ซื่อส่งมาให้พวกนางสองพี่น้อง ให้พวกนางสองพี่น้องเอาไว้ซื้อของสวยงามต่างๆ

 

 

เห็นได้ชัดว่าหากปรารถนาจะปรองดองกับมารดาเลี้ยงอย่างสันติ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากลำบากสักเท่าไหร่

 

 

โจวเสาจิ่นนำตั๋วเงินไปเก็บเอาไว้ใน**บเก็บของ

 

 

โจวชูจิ่นกลับรู้สึกเจ็บปวดใจยิ่ง นางจับไหล่ของโจวเสาจิ่นเอาไว้ พลางกล่าว “หากเจ้าไม่เต็มใจ ก็ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้! บ้านเกิดของพวกเราคือจินหลิง ก็ควรจะแต่งงานออกไปโดยอยู่ที่จินหลิงได้”

 

 

ถ้าหากว่าเป็นช่วงแรกๆ โจวเสาจิ่นเองก็วางแผนเอาไว้เช่นนี้เหมือนกัน แต่ในช่วงหลายเดือนหลังจากที่กลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งมานี้ กลับทำให้นางมีความคิดอีกรูปแบบหนึ่ง

 

 

นางกล่าว “ท่านพี่ การทำกระโปรงตัวหนึ่งสำหรับข้าแล้วเป็นเรื่องที่ง่ายดายราวกับกระดิกนิ้วเพียงเท่านั้น แต่กลับทำให้ท่านพ่อดีใจได้ เช่นนี้ไม่ดีหรือเจ้าคะ”

 

 

โจวชูจิ่นตกตะลึง จากนั้นขอบตาก็รื้นชื้นขึ้นมาเล็กน้อย ลูบศีรษะของโจวเสาจิ่นครั้งแล้วครั้งเล่า เม้มปากยิ้มให้นางพลางกล่าว “เนื่องจากมันง่ายดายราวกับกระดิกนิ้วเพียงเท่านั้น เช่นนั้นก็ทำกระโปรงให้ข้าด้วยตัวหนึ่ง เอาลายดอกไห่ถังหรูอี้พร้อมด้วยผีเสื้อโซ่วจื้อทรงกลมดิ้นทองคู่หนึ่งอะไรสักอย่างที่เจ้าวาดเมื่อคราวก่อน…”

 

 

“ไอโยว!” โจวเสาจิ่นกระโดดลุกขึ้นมา “นั่นเป็นการปักลายถุงเท้าต่างหาก เอามาปักบนกระโปรงได้ที่ไหนกันเล่า ไม่เช่นนั้นคนที่ปักไม่ต้องปักจนตาบอดไปเลยหรือเจ้าคะ”

 

 

“เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือว่ามันง่ายมาก ทำไมหรือ ข้าให้เจ้าปักให้ข้า เจ้าก็เลยหาข้ออ้างบ่ายเบี่ยงอย่างนั้นหรือ”

 

 

“เช่นนั้นข้าปักลายก้อนเมฆทรงกลมห้าสีให้ท่านก็แล้วกันเจ้าค่ะ ก็งดงามมากไม่แพ้กัน…”

 

 

“ข้าไม่อยากได้ลายอื่น อยากได้เพียงลายดอกไห่ถังหรูอี้ดิ้นทองอะไรนั่นเท่านั้น…”

 

 

“ท่านพี่นี่ไม่ใช่ว่าเป็นการเคี่ยวเข็ญให้ผู้อื่นทำในสิ่งที่ไม่ต้องการแล้วหรือเจ้าคะ”

 

 

สองพี่น้องหยอกล้อกันไปมาอย่างคิกคักอยู่ภายในห้อง

 

 

โจวเสาจิ่นกลับรู้สึกแปลกใจ

 

 

ว่ากันตามหลักการแล้ว เฉิงฉือยังไม่ได้แต่งงาน เช่นนั้นงานเย็บปักภายในเรือนของเขาก็ควรเป็นฮูหยินผู้เฒ่ากัวผู้เป็นมารดาเป็นคนดูแลจัดการถึงจะถูก แต่ทำไมกลับไม่เคยเห็นสาวใช้ของเขามาเอาลวดลายดอกไม้หรือตัวอย่างจากเรือนของฮูหยินผู้เฒ่ากัวเลย

 

 

หรือจะเป็นเพราะโดยปกตินั้นตัวเองไม่ได้ให้ความสนใจนัก?

 

 

โจวเสาจิ่นจึงเพิ่มความสนใจมากยิ่งขึ้น

 

 

กลับค้นพบว่าที่ผ่านมานั้น เรื่องที่เฉิงฉือไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรือนหานปี้ซานไม่ใช่เพียงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวันเท่านั้น แม้แต่ค่าใช้จ่ายประจำวัน ทางด้านเรือนหานปี้ซานก็ไม่ยุ่งเกี่ยวด้วยเช่นกัน

 

 

ถ้าหากไม่ใช่เพราะรู้อยู่แล้วว่ามีเฉิงฉืออยู่ด้วยผู้หนึ่งเช่นนี้ นางต้องเข้าใจว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวให้กำเนิดเพียงเฉิงจิงและเฉิงเวิ่นสองพี่น้องเท่านั้นเป็นแน่

 

 

โจวเสาจิ่นนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่ได้เห็นเฉิงฉือกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวอยู่ด้วยกันเมื่อคราวก่อนขึ้นมา

 

 

มีมารดาและบุตรบ้านไหนบ้างที่เวลาเจอหน้ากันแล้วไม่พูดถึงเรื่องต่างๆ ภายในจวน ไม่ถามไถ่ถึงสารทุกข์สุกดิบกัน พวกเขากลับนั่งเล่นหมากล้อมด้วยกันแทน

 

 

ระหว่างฮูหยินผู้เฒ่ากัวและท่านน้าฉือ ช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก!

 

 

………………………………………………………………………

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ในยามที่ โจวเสาจิ่น เด็กสาวจากตระกูลโจวผู้แสนอ่อนหวานและว่านอนสอนง่ายถูกชายคนรักที่นางไว้ใจหักหลังคร่าชีวิต นางได้แต่ภาวนาร้องขอโอกาสที่จะได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง หากนางสามารถย้อนเวลากลับไปได้ นางจะหนีไปให้ห่างไกลจากบุรุษจอมเสแสร้งอย่างเขา นางจะไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกย่ำยีอย่างน่าอดสู จะไม่ทำให้ตระกูลต้องอับอายขายขี้หน้า ไม่มีวันทำให้พี่สาวผู้แสนอ่อนโยนหัวใจแตกสลาย ขอแค่โอกาสอีกเพียงสักครั้ง… ดูเหมือนสวรรค์จะสดับฟังคำอธิษฐานก่อนสิ้นใจของนาง ท่ามกลางค่ำคืนอันแสนสงบปราศจากเค้าลางของพายุ โจวเสาจิ่นสะดุ้งตื่นขึ้นจากฝันร้ายและพบว่าตนได้ย้อนเวลากลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งราวปาฏิหาริย์ในร่างเดิมวัยสิบสองปี! ด้วยประสบการณ์อันขื่นขมที่นางได้เผชิญมาในชาติก่อน หญิงสาวตั้งปณิธานว่าจะต้องหาทางแก้ไขชะตาชีวิตของตนเองและของตระกูลในชาตินี้ให้ได้ ไม่มีอีกแล้วเด็กสาวที่ขี้ขลาดและอ่อนแอ แม้แต่ดอกไม้ก็ยังไม่กล้าเด็ดคนนั้น ได้เวลาที่นางต้องยืนหยัดลุกขึ้นสู้เพื่อตัวเองแล้ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset