ยามดอกวสันต์ผลิบาน – ตอนที่ 65 งานเย็บปักถักร้อย

โจวเสาจิ่นรู้สึกว่าเฉิงฉือนั้นเสมือนกับขุนเขาในม่านหมอก มองเห็นได้ชัดเจน แต่ถ้าเจ้าปรารถนาจะมองให้ชัดเจนอย่างละเอียดมากยิ่งขึ้น กลับทำอย่างไรก็มองไม่เห็น

 

 

แต่โจวชูจิ่นที่ได้รับเงินส่วนตัวจากหลี่ซื่อมาสองร้อยเหลี่ยงนั้น ก็ปรึกษากับโจวเสาจิ่นเกี่ยวกับเรื่องการส่งของขวัญตอบแทนกลับไป “คงไม่อาจรับเงินของนางมาเปล่า ๆ หรอกกระมัง มันจะดูเหมือนกับว่าพวกเรานั้นตระหนี่ถี่เหนียวอย่างไรอย่างนั้น หากเป็นพวกเครื่องประดับต่าง ๆ ของจินหลิง ก็รู้สึกว่าไม่ค่อยจริงใจเท่าไหร่ หรือถ้าเป็นพวกอาหารการกินต่าง ๆ ระยะทางก็อยู่ห่างไกลกันเกินไป กลัวแต่ว่าสิ่งของยังส่งไปไม่ถึงก็เสียอยู่ระหว่างทางไปเสียก่อนแล้ว…”

 

 

โจวเสาจิ่นยิ้มพลางกล่าว “เช่นนั้นก็ทำชุดสำหรับฤดูหนาวให้ท่านพ่อกับมารดาเลี้ยงอีกสักสองสามชุดก็แล้วกันเจ้าค่ะ! ข้าเห็นท่านพ่อชอบมันมาก”

 

 

โจวชูจิ่นครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก็เห็นว่าไม่มีอะไรเหมาะสมไปกว่านี้แล้วจริงๆ

 

 

เพียงแต่ไม่ว่าจะเป็นโจวชูจิ่นก็ดี หรือโจวเสาจิ่นก็ดี ต่างก็น้อยครั้งมากที่จะได้ทำชุดให้บุรุษ ชุดสำหรับหลี่ซื่อนั้นไม่เป็นปัญหาอะไร แต่ชุดสำหรับโจวเจิ้นกลับไม่ค่อยไม่มั่นใจสักเท่าไหร่

 

 

โจวเสาจิ่นคิดว่าตระกูลเฉิงนั้นมีโรงตัดเย็บ และฝีมือเย็บปักของตนเองก็ไม่แย่นัก จึงกล่าวขึ้นว่า “เชิญช่างตัดเย็บเสื้อผ้าที่ตัดชุดให้ท่านป้าใหญ่เหมี่ยนบ่อย ๆ มาให้คำแนะนำสักหน่อยก็น่าจะได้แล้วเจ้าค่ะ!”

 

 

โจวชูจิ่นพยักหน้าเห็นด้วย

 

 

โจวเสาจิ่นจึงอยากจะกลับออกไปจากเรือนหานปี้ซานให้เร็วขึ้นหน่อย

 

 

นี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่นางมาคัดพระธรรมที่เรือนหานปี้ซาน

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวอดไม่ได้เอ่ยถามอย่างประหลาดใจว่า “มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นที่เรือนหรือเปล่า”

 

 

“เปล่าเจ้าค่ะ ๆ” โจวเสาจิ่นยิ้มกล่าว “เมื่อหลายวันก่อนเป็นวันเกิดของท่านพ่อ ข้าทำชุดส่งไปให้สองชุด ได้รับคำชมจากท่านพ่อ มารดาเลี้ยงยังส่งเงินมาให้ข้ากับพี่สาวอีกสองร้อยเหลี่ยงเป็นพิเศษ ข้าก็เลยคิดว่าจะทำชุดสำหรับฤดูหนาวให้ท่านพ่ออีกสักสองชุดเจ้าค่ะ…”

 

 

นางเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวฟัง

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะร่าพลางกล่าว “ข้าก็คิดว่ามีเรื่องอะไร ก็แค่อยากจะทำชุดให้พ่อของเจ้าด้วยตัวเองสักสองชุดเท่านั้นหรอกหรือ เช่นนั้นก็ให้คนจากโรงตัดเย็บที่จวนช่วยหาตัวอย่างสักสองสามตัวอย่างมาให้ก็ได้แล้ว จะต้องไปเชิญคนถึงข้างนอกอีกทำไมกัน คนจากข้างนอกไหนเลยจะมีฝีมือดีเท่ากับซือฟูในบ้านได้”

 

 

โจวเสาจิ่นทราบดีว่าตระกูลเฉิงนั้นมีโรงตัดเย็บอยู่โรงหนึ่ง ซึ่งจ้างช่างตัดเย็บและช่างปักที่มีฝีมือดีที่สุดของเจียงหนาน แต่พวกเขาจะทำชุดให้กับนายท่านผู้เฒ่า นายท่านและฮูหยินของตระกูลเฉิงจวนหลักและจวนรองเท่านั้น แม้แต่เฉิงเวิ่นก็ยังไม่กล้ารบกวนพวกเขา

 

 

อย่างน้อยจวนสี่ก็ไม่เคยไปหาที่โรงตัดเย็บของตระกูลเฉิงให้ทำชุดให้มาก่อน…

 

 

นางอดใจเต้นไม่ได้

 

 

ช่างตัดเย็บและช่างปักที่ดีที่สุดของเจียงหนาน…กับช่างตัดเย็บและช่างปักทั่วไปจะมีข้อแตกต่างกันอย่างไรบ้างนะ?

 

 

โจวเสาจิ่นกล่าวขึ้นอย่างใคร่ครวญ “เช่นนี้จะเหมาะสมหรือเจ้าคะ”

 

 

“มีอะไรไม่เหมาะสมกัน?” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้ม ๆ “หากไม่ใช่เพราะเห็นแก่พวกเจ้าพี่น้องที่กตัญญูต่อบิดามารดา ตามความเห็นของข้า ก็คงจะให้โรงตัดเย็บทำให้พวกเจ้าไปแล้ว” ขณะที่นางพูดก็ตะโกนเรียกปี้อวี้เข้ามา “เจ้าไปที่โรงตัดเย็บเป็นเพื่อนคุณหนูรองสักหน่อย ดูว่าคุณหนูรองต้องการสอบถามอะไรบ้าง ก็ให้พวกนางบอกคุณหนูรองอย่างเหมาะสมด้วย”

 

 

ปี้อวี้ยิ้มพลางกล่าวตอบรับ จากนั้นพาโจวเสาจิ่นมุ่งหน้าไปที่โรงตัดเย็บ

 

 

ระหว่างทาง นางก็เล่าเรื่องของโรงตัดเย็บให้โจวเสาจิ่นฟังว่า “มีซือฟูแซ่หูอยู่ผู้หนึ่ง เป็นผู้ดูแลโรงตัดเย็บ เขาจะทำชุดให้กับท่านผู้นำตระกูลเท่านั้น ส่วนชุดของนายท่านหลาย ๆ ท่านนั้นจะเป็นลูกศิษย์ของเขาเป็นผู้ทำให้…ส่วนต้าเหนียงแซ่จางที่โรงปักนั้น อายุเพียงยี่สิบปีกว่า ๆ เท่านั้น เพิ่งจะเข้ามาที่จวนเมื่อปีที่แล้ว กระโปรงจีบหม่าเมี่ยนสีแดงสดลายผีเสื้อท่ามกลางมวลดอกไม้ที่ฮูหยินสวมในงานวันเกิดนั้นก็เป็นนางที่เป็นคนปัก ผีเสื้อนั้น มีชีวิตชีวิตราวกับของจริง ราวกับว่าต้องการจะบินออกมาอย่างไรอย่างนั้น แม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่าที่เห็นแล้วก็ยังบอกว่างดงาม ช่วงนี้นางได้รับคำสั่งจากฮูหยินผู้เฒ่าให้ช่วยปักผ้าคลุมเด็กทารกลายเด็กน้อยวิ่งเล่นให้กับคุณหนูรอง…”

 

 

กำหนดคลอดของเฉิงเซียวคือเดือนเก้า ทางฝั่งของตระกูลเฉิงจะต้องส่งของขวัญครบรอบสามวัน ของขวัญครบรอบเดือนและของขวัญครบรอบหนึ่งร้อยวัน ผ้าคลุมเด็กทารกนี้ก็คือของขวัญครบรอบเดือนซึ่งเป็นหนึ่งในของขวัญแสดงความยินดีที่ตระกูลฝั่งมารดาจะต้องส่งไปให้

 

 

โจวเสาจิ่นถามขึ้นว่า “ทางด้านของพี่สาวเซียวมีข่าวคราวส่งมาหรือไม่”

 

 

ปี้อวี้ยิ้มพลางกล่าว “เมื่อคราวก่อนส่งจดหมายมาบอกว่าทุกอย่างล้วนราบรื่นดี หมอตำแยต่าง ๆ ล้วนเชิญมาถึงที่บ้านแล้ว…”

 

 

ทั้งสองคนคุยกันเจื้อยแจ้วจนถึงโรงตัดเย็บ

 

 

โรงตัดเย็บของตระกูลเฉิงไม่ใหญ่มากนัก เป็นลานเล็ก ๆ ลานหนึ่งที่มีอาณาบริเวณไม่มากไปกว่าหนึ่งถึงสองหมู่เท่านั้น ทั้งสี่ด้านต่างเป็นห้องข้างที่มีขนาดสามห้องกั้น ในสวนเล็ก ๆ นั้นมีต้นไหวซู่เก่าแก่ขนาดแขนคนโอบรอบอยู่หนึ่งต้น พุ่มของต้นไม้ราวกับร่ม ร่มไม้ช่วยบดบังดวงอาทิตย์เอาไว้ ดูร่มรื่นเย็นสบายยิ่ง รูปแบบค่อนข้างคล้ายคลึงกับลานบ้านสี่เหลี่ยมจัตุรัสของทางเหนือ

 

 

ตอนที่พวกเราเดินเข้าไปนั้น ภายในลานเงียบเชียบ มีสตรีเจ็ดถึงแปดคนกำลังนั่งเย็บปักกันอย่างขะมักเขม้นอยู่ใต้ต้นไหวซู่เก่าแก่นั้น บนกิ่งไม้แห้งที่ยื่นออกมาของต้นไหวซู่เก่าแก่นั้นยังแขวนเอาไว้ด้วยถุงและตะกร้าเล็ก ๆ สำหรับทำงานเย็บปัก บรรยากาศโดยรอบอวลไปด้วยความอบอุ่นและนิ่งสงบ

 

 

เมื่อเห็นว่ามีคนเดินเข้ามา สตรีเหล่านั้นที่กำลังทำงานเย็บปักอยู่นั้นเพียงเงยหน้าขึ้นและเหลือบมองมาอย่างรวดเร็วครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ก้มหน้าลงไปขยับเข็มและด้ายต่อไป ไม่มีใครออกมาทักทายด้วย

 

 

โจวเสาจิ่นและปี้อวี้ถูกปล่อยทิ้งให้อยู่ตรงนั้น

 

 

ปี้อวี้มองมาที่โจวเสาจิ่นอย่างขอลุแก่โทษครั้งหนึ่ง กระซิบเสียงเบาว่า “ที่โรงตัดเย็บนี้มีงานมาก อีกทั้งยังเป็นงานที่จุกจิก ด้วยเหตุนี้อารมณ์ของพวกนางจึงไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ คุณหนูรองท่านอย่าเก็บมาใส่ใจเลยนะเจ้าคะ” ขณะที่พูดก็ก้าวออกไปสองสามก้าว เอ่ยเสียงดังขึ้นว่า “มีคนอยู่หรือไม่ พวกเรามาจากเรือนหานปี้ซาน มีเรื่องอยากขอคำชี้แนะเจ้าค่ะ”

 

 

โจวเสาจิ่นยิ้ม

 

 

ปี้อวี้ช่างมีมารยาทดีจริง ๆ

 

 

ที่โรงตัดเย็บของตระกูลเฉิงนี้เกรงว่าจะไม่ใช่ว่าเพราะมีงานมาก จึงทำให้อารมณ์ไม่ดีหรอกกระมัง?

 

 

อย่างไรก็ตาม ไหน ๆ ก็มาแล้ว ก็คงทำอะไรไม่ได้นอกจากลองดูสักหน่อยแล้วค่อยกลับไป

 

 

มีสตรีอายุประมาณสามสิบปีสวมผ้ากันเปื้อนผู้หนึ่งก้าวอย่างรวดเร็วออกมาจากห้องข้างทางด้านตะวันออก

 

 

นางสวมเสื้อผ้าที่สะอาดและเรียบร้อย มีรอยยิ้มที่กระตือรือร้น บนมือยังสวมเอาไว้ด้วยปลอกเงินสวมนิ้วสำหรับเย็บผ้าเอาไว้อันหนึ่ง กล่าวทักทายปี้อวี้อย่างกระตือรือร้นว่า “ที่แท้ก็เป็นแม่นางเองหรอกหรือ! มีคำสั่งอะไรมาจากทางฮูหยินผู้เฒ่าหรือไม่” ขณะที่นางพูด หางตาก็เหลือบมองมาทางโจวเสาจิ่น ในแววตามีความประหลาดใจอยู่อย่างยากที่จะปิดบังเอาไว้ได้

 

 

ปี้อวี้ลอบยิ้ม แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น และแจ้งถึงเหตุผลที่มาในครั้งนี้

 

 

“ที่แท้ก็เป็นคุณหนูจากจวนสี่” ใบหน้าของสตรีผู้นั้นเผยความประหลาดใจออกมา มองสำรวจโจวเสาจิ่นไปครั้งหนึ่ง พาโจวเสาจิ่นและปี้อวี้ไปต้อนรับที่ห้องข้างทางด้านตะวันออก เมื่อนำน้ำชาขึ้นโต๊ะแล้ว จึงกล่าวยิ้ม ๆ ว่า “แม่นางปี้อวี้นำคุณหนูรองมาหาข้าก็ถูกต้องแล้ว ชุดของนายท่านหลาย ๆ ท่านล้วนเป็นข้าที่กำลังทำอยู่ ไม่ทราบว่าคุณหนูรองต้องการทำชุดแบบใดให้ใต้เท้าโจวหรือ และใช้สำหรับสวมใส่ในช่วงเวลาใด ข้าเองก็ไม่เคยไปที่เมืองหนานชางมาก่อน ฤดูหนาวของที่นั่นจะหนาวเย็นกว่าหรืออบอุ่นกว่าของพวกเราที่นี่…”

 

 

ลานเปิดโล่งที่อยู่ทางด้านตะวันตกของห้องข้างตะวันออกมีโต๊ะขนาดใหญ่วางเอาไว้ มีสตรีเจ็ดถึงแปดคนกำลังนั่งล้อมกันอยู่ข้าง ๆ และทำงานเย็บปักไปอย่างเงียบ ๆ โดยไม่ส่งเสียงใด

 

 

โจวเสาจิ่นนั่งอยู่ข้าง ๆ โต๊ะกลมที่ห้องโถง นางกล่าวยิ้ม ๆ ว่า “ข้าเองก็ไม่เคยไปที่เมืองหนานชางมาก่อนเช่นกัน จึงไม่รู้ว่าอากาศในฤดูหนาวของที่นั่นเป็นอย่างไรบ้าง ข้าคิดว่า ทางด้านท่านพ่อก็คงไม่ขาดแคลนเสื้อผ้าอย่างแน่นอน เป็นเพียงความกตัญญูเล็ก ๆ น้อย ๆ ของข้าเท่านั้น ซือฟูช่วยแนะนำตัวอย่างให้ข้าสักสองสามตัวอย่างก็พอแล้ว”

 

 

“คุณหนูรองรอสักครู่!” ขณะที่สตรีผู้นั้นพูดอยู่ ก็หมุนกายหายเข้าไปที่ด้านหลังของฉากกั้นที่อยู่ข้าง ๆ

 

 

มีสาวใช้กล่าวอยู่ตรงปากประตูว่า “หวังเหนียงจื่ออยู่หรือไม่”

 

 

สตรีผู้นั้นขมวดคิ้วมุ่นเดินออกมาจากด้านหลังของฉากกั้น กล่าวขึ้นว่า “มีเรื่องอะไรหรือ”

 

 

สาวใช้กล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า “หวังเหนียงจื่อจำข้าไม่ได้แล้วหรือ ข้าคือหงหรุ่ยผู้เป็นสาวใช้ข้างกายของสะใภ้ใหญ่สือจวนรอง สะใภ้ใหญ่ของพวกเราอยากจะเย็บผ้าคลุมให้กับคุณชายน้อยคนโตสักผืน ฮูหยินใหญ่ได้ยินมาว่าต้องการหยกสีดำเพื่อทำเป็นกระดุม แต่ตอนนี้หาไม่เจอ ก็เลยให้ข้ามาดูที่นี่เสียหน่อยว่าท่านมีหรือไม่เจ้าค่ะ”

 

 

“รอสักครู่!” สตรีที่ถูกขนานนามว่าหวังเหนียงจื่อกล่าวอย่างไม่อดทน และหมุนกายหายเข้าไปในฉากกั้นอีกครั้ง

 

 

หงหรุ่ยรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่นางก็ยังคงกล่าวทักทายโจวเสาจิ่นและปี้อวี้อย่างยิ้มแย้ม “พวกพี่สาวเป็นคนจากจวนใดกันหรือ ดูไม่คุ้นหน้ายิ่งนัก ข้ามาจากจวนรอง รับใช้อยู่ข้างกายของสะใภ้ใหญ่สือเจ้าค่ะ”

 

 

หรือก็คือสาวใช้ของเจิ้งซื่อผู้เป็นภรรยาของเฉิงสือจวนรอง เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นบ่าวรับใช้ที่ติดตามมาจากบ้านเดิมหรือเป็นบ่าวรับใช้ของตระกูลเฉิง?

 

 

โจวเสาจิ่นยิ้มพลางพยักหน้าให้นาง ในขณะที่ปี้อวี้กระซิบแนะนำโจวเสาจิ่นให้นางรู้จัก

 

 

หงหรุ่ยเพียงมองก็รู้ว่าควรทำอย่างไร รีบก้าวออกไปทำความเคารพโจวเสาจิ่น และเรียกปี้อวี้อย่างสนิทสนมว่า ‘พี่สาว’

 

 

หวังเหนียงจื่อหาชุดออกมาได้สี่ถึงห้าชุด กล่าว “นี่คือชุดที่สวมใส่ประจำวันอยู่ภายในบ้าน พวกแขนเสื้อต่าง ๆ ก็จะหลวมหน่อย…ส่วนนี่ก็จะเป็นชุดที่สวมใส่ออกไปรับแขกหรือพบปะมิตรสหาย ต้องเลือกผ้าที่ผืนกว้างมากสักหน่อย และแขนเสื้อตรงหัวไหล่นี้ ก็ต้องทำให้แนบเนื้อสักหน่อย…”

 

 

โจวเสาจิ่นเห็นนางพูดอย่างเชี่ยวชาญ อดไม่ได้เงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ

 

 

หงหรุ่ยถูกปล่อยทิ้งไว้ข้าง ๆ

 

 

ซึ่งนางก็สงบและใจเย็น ฟังหวังเหนียงจื่อพูดอยู่ข้าง ๆ พวกนางไปด้วยอย่างเงียบ ๆ

 

 

มีคนตะโกนมาจากด้านนอก “ในนี้ใครเป็นผู้รับผิดชอบหรือ”

 

 

น้ำเสียงคมชัดและกังวานใส

 

 

หวังเหนียงจื่อกำลังพูดถึงส่วนที่สำคัญ ได้ยินแล้วก็ไม่ขานตอบ ยังคงพูดกับโจวเสาจิ่นต่อไป

 

 

ด้านนอกกลับมีเสียงเอะอะเล็กน้อยดังขึ้นมา

 

 

“แม่นางหมิงเฮ่อ ท่านมาแล้ว!”

 

 

หวังเหนียงจื่อได้ยินแล้วหน้าเปลี่ยนสี ผละออกจากโจวเสาจิ่นและคนอื่น ๆ แล้วก็วิ่งออกไป

 

 

โจวเสาจิ่นและคนอื่น ๆ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

 

 

มีเสียงฉอเลาะของหวังเหนียงจื่อดังเข้ามาจากด้านนอกห้อง “แม่นางหมิงเฮ่อ ท่านมาได้อย่างไรหรือ อากาศร้อนอ้าวเช่นนี้ ท่านมีเรื่องอะไรก็แค่ใช้ให้สาวใช้นำความมาแจ้งสักคำก็ได้แล้ว ยังอุตส่าห์มาด้วยตัวเองอีก ดูท่านสิเดินมาจนเหงื่อท่วมไปทั้งตัวแล้ว รีบเข้าไปพักผ่อนข้างในก่อน…”

 

 

น้ำเสียงกังวานใสของสตรีหัวเราะพลางกล่าวขึ้นว่า “ก็ไม่มีเรื่องอะไรหรอก เพียงแต่ว่าพี่สาวหนานผิงกล่าวว่า ถุงเท้าสำหรับฤดูร้อนที่พวกเจ้าส่งไปให้ครั้งก่อนนั้นทำได้ไม่เลวเลยทีเดียว อยากให้ทำให้อีกสักสองสามคู่…”

 

 

“นี่นับเป็นปัญหาอะไรกัน?” แม่นางหวังกล่าวยิ้ม ๆ “เป็นผู้ใดต้องการสวมหรือ แล้วต้องทำขนาดใหญ่เท่าใด ประเดี๋ยวเช้าตรู่ของวันพรุ่งนี้จะช่วยท่านนำส่งไปให้”

 

 

นี่คือใครกัน?

 

 

โจวเสาจิ่นหันไปมองปี้อวี้

 

 

ปี้อวี้ยิ้มพลางกล่าวว่า “หากว่าข้าจำไม่ผิด ก็น่าจะเป็นหมิงเฮ่อผู้เป็นสาวใช้ใหญ่ในเรือนของนายท่านสี่เจ้าค่ะ!”

 

 

พอพูดถึงโจโฉ โจโฉก็โผล่ออกมาจริง ๆ

 

 

ก่อนหน้านี้ยังคิดอยากจะสอบถามเกี่ยวกับเรื่องจี๋อิ๋ง แล้วก็ได้พบกับบ่าวรับใช้ในเรือนของเฉิงฉือโดยไม่คาดคิดอยู่ที่นี่

 

 

โจวเสาจิ่นตะลึงงัน

 

 

น้ำเสียงกังวานใสของสตรีหัวเราะพลางกล่าวขึ้นว่า “ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนขนาดนี้ ช่วงนี้พวกเจ้าเองก็กำลังรีบทำของขวัญครบรอบเดือนให้คุณหนูรองอยู่ไม่ใช่หรือ รอให้ทำของขวัญครบรอบเดือนของคุณหนูรองเสร็จแล้วค่อยทำให้พวกข้าก็ยังไม่สาย”

 

 

“ถุงเท้าสำหรับฤดูร้อนเพียงไม่กี่คู่ ไหนเลยจะหาเวลามาทำให้ไม่ได้กัน!” หวังเหนียงจื่อลูบหน้าอก ขณะที่เดินมุ่งหน้ามาทางห้องข้างด้านตะวันออกพร้อมกับผู้มาเยี่ยม

 

 

โจวเสาจิ่นนั่งหลังตรง

 

 

แม่นางหวังโอบหญิงสาวอายุประมาณยี่สิบปี ผิวขาวเนียนละเอียด คิ้วหนาตาโต และสวมชุดเพ่ยจื่อผ้าไหมหังโจวสีเขียวอ่อนผู้หนึ่งเดินเข้ามา

 

 

เมื่อเห็นโจวเสาจิ่นและคนอื่น ๆ นางประหลาดใจ และกล่าวขึ้นว่า “ปี้อวี้ ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้”

 

 

ปี้อวี้ยิ้มพลางก้าวออกไปทำความเคารพหมิงเฮ่อ กล่าวยิ้ม ๆ ว่า “ข้าได้รับคำสั่งจากฮูหยินผู้เฒ่าให้มาหาตัวอย่างชุดสักสองสามแบบเป็นเพื่อนคุณหนูรองเจ้าค่ะ…”

 

 

ทั้งสองคนทักทายกันอยู่ครู่หนึ่ง

 

 

แม่นางหวังยิ้มอย่างประจบอยู่ข้าง ๆ พลางกล่าวขึ้นว่า “จะว่าไปแล้วต่างก็ไม่ใช่คนนอกที่ไหน ผู้นี้คือคุณหนูรองตระกูลโจว…ส่วนผู้นี้ก็คนข้างกายของสะใภ้ใหญ่จวนรอง…” นางชี้ไปที่หงหรุ่ย

 

 

หมิงเฮ่อพยักหน้าให้หงหรุ่ย และย่อเข่าลงทำความเคารพโจวเสาจิ่นครั้งหนึ่งอย่างเหมาะสม

 

 

“แม่นางหมิงเฮ่อไม่จำเป็นต้องมากพิธี” โจวเสาจิ่นกล่าวทักทายกับนางอย่างเกรงใจ “เจ้ารับใช้อยู่ในเรือนท่านน้าฉือหรือ ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยเห็นไปที่เรือนหานปี้ซานสักเท่าไหร่นัก?”

 

 

หมิงเฮ่อยิ้มพลางกล่าว “ข้าทำงานทั่วไปอยู่ในเรือนของนายท่านเท่านั้น ไหนเลยจะกล้าไปทำขายหน้าถึงเรือนหานปี้ซานกัน”

 

 

น้ำเสียงของนางสดใสยิ่งนัก ทำให้โจวเสาจิ่นเกิดความสึกดีอยู่ในใจ

 

 

หวังเหนียงจื่อถือถุงเท้าสำหรับฤดูร้อนออกมาสองสามคู่ กล่าวขึ้นว่า “แม่นางหมิงเฮ่อ ท่านต้องการทำถุงเท้าแบบใดหรือ”

 

 

หมิงเฮ่อพลิกดูสักพัก แล้วชี้ไปที่สองคู่ที่อยู่ตรงกลาง กล่าว “ทำตามแบบนี้สักสองสามคู่ก็แล้วกัน”

 

 

แม่นางหวังรับปากซ้ำ ๆ

 

 

โจวเสาจิ่นพบว่าถุงเท้าสำหรับฤดูร้อนที่นางต้องการนั้นเป็นแบบของสตรี

 

 

หมิงเฮ่อมาเป็นธุระให้ผู้ใดกันนะ?

 

 

โจวเสาจิ่นนึกถึงจี๋อิ๋งที่ท่วงท่าสง่างามและสวมชุดดำทั้งตัว…นางกล่าวขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า “ถุงเท้านี้มีตรงส่วนไหนที่แตกต่างหรือ ทำไมแม่นางหมิงเฮ่อถึงได้เลือกสองแบบนี้”

 

 

“ไม่ได้มีอะไรแตกต่างเจ้าค่ะ” ดูเหมือนหมิงเฮ่อจะรู้สึกว่าคำพูดของนางนั้นน่าขบขันยิ่งนัก กล่าวขึ้นว่า “เพียงแต่รู้สึกว่าทั้งสองแบบนี้สวยกว่าเท่านั้น”

 

 

โจวเสาจิ่นหน้าแดง

 

 

……………………………………………………………….

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ในยามที่ โจวเสาจิ่น เด็กสาวจากตระกูลโจวผู้แสนอ่อนหวานและว่านอนสอนง่ายถูกชายคนรักที่นางไว้ใจหักหลังคร่าชีวิต นางได้แต่ภาวนาร้องขอโอกาสที่จะได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง หากนางสามารถย้อนเวลากลับไปได้ นางจะหนีไปให้ห่างไกลจากบุรุษจอมเสแสร้งอย่างเขา นางจะไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกย่ำยีอย่างน่าอดสู จะไม่ทำให้ตระกูลต้องอับอายขายขี้หน้า ไม่มีวันทำให้พี่สาวผู้แสนอ่อนโยนหัวใจแตกสลาย ขอแค่โอกาสอีกเพียงสักครั้ง… ดูเหมือนสวรรค์จะสดับฟังคำอธิษฐานก่อนสิ้นใจของนาง ท่ามกลางค่ำคืนอันแสนสงบปราศจากเค้าลางของพายุ โจวเสาจิ่นสะดุ้งตื่นขึ้นจากฝันร้ายและพบว่าตนได้ย้อนเวลากลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งราวปาฏิหาริย์ในร่างเดิมวัยสิบสองปี! ด้วยประสบการณ์อันขื่นขมที่นางได้เผชิญมาในชาติก่อน หญิงสาวตั้งปณิธานว่าจะต้องหาทางแก้ไขชะตาชีวิตของตนเองและของตระกูลในชาตินี้ให้ได้ ไม่มีอีกแล้วเด็กสาวที่ขี้ขลาดและอ่อนแอ แม้แต่ดอกไม้ก็ยังไม่กล้าเด็ดคนนั้น ได้เวลาที่นางต้องยืนหยัดลุกขึ้นสู้เพื่อตัวเองแล้ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset