ยามดอกวสันต์ผลิบาน – ตอนที่ 67 เสียงพิณ

ห่านจากเหิงหยางกว่าหมื่นหลี่ มักจะกลับมาในเวลานี้

 

 

เมื่อเสียงพิณมาถึงส่วนที่ลึกซึ้งที่สุด น้ำตาของโจวเสาจิ่นก็ไหลออกมาเงียบ ๆ

 

 

ห่านป่ายังมีที่ให้พักเท้า แล้วที่ของนางเล่าอยู่แห่งหนใด?

 

 

ความรู้สึกโศกเศร้าเช่นนี้โลดแล่นอยู่ในส่วนลึกของหัวใจนางอยู่เนิ่นนาน กระทั่งตอนที่นางได้สติกลับมา ถึงได้พบว่าคนที่ฟังจนดื่มด่ำเข้าไปในจิตวิญญาณนั้นไม่ได้มีแค่นางเพียงคนเดียวเท่านั้น เฉิงเจียนั่งเท้าคางอยู่ข้าง ๆ โต๊ะกลมตรงกลางโถง ดวงตาทั้งคู่ปิดอยู่เบา ๆ เงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ พานชิงพิงอยู่บนเก้าอี้เหม่ยเหรินที่พาดยาว มองไปที่เฉิงสือที่อยู่ด้านนอกฉากกั้นนั้นอย่างตั้งอกตั้งใจ แววตาดึงดูดยิ่งนัก มีเพียงพี่สาวเท่านั้นที่เป็นเช่นเดียวกับนาง ดวงตาคลอไปด้วยหยาดน้ำตา ท่าทางเจ็บปวด ก้มหน้าลงใช้ผ้าเช็ดผ้าซับน้ำตา

 

 

โจวเสาจิ่นอดยิ้มไม่ได้

 

 

เห็นได้ชัดว่าประสบการณ์ที่ไม่เหมือนกันทำให้เกิดความรู้สึกที่ไม่เหมือนกันด้วย

 

 

สุดท้ายแล้วนางยังคงใกล้ชิดกับพี่สาวมากที่สุด

 

 

โจวเสาจิ่นเช็ดน้ำตา

 

 

เสียงดนตรีอ้อยอิ่ง และจบลง สติของทุกคนจึงกลับมา

 

 

ด้านนอกศาลานั้นมีเสียงปรบมือไม่ขาดสาย และเสียงชื่นชมก็ไม่สิ้นสุด

 

 

โจวชูจิ่นเองก็รู้สึกท่วมท้น “ข้าอาศัยอยู่ในจวนมาตั้งหลายปี แต่กลับไม่เคยรู้มาก่อนว่าพี่ชายสือจะเป็นผู้มีฝีมือสูงส่งขนาดนี้!”

 

 

เฉิงเจียรู้สึกขุ่นเคืองแทนเฉิงเจิ้งผู้เป็นพี่ชาย กล่าวขึ้นว่า “นี่นับว่ามีอะไรหรือ ตระกูลของพวกเรามีคนมากมายที่ไม่เปิดเผยความสามารถดั่งมังกรซ่อนเร้นและเสือหมอบ! พี่ชายของข้าก็บรรเลงพิณได้ไพเราะยิ่ง หากไม่เชื่อประเดี๋ยวข้าจะให้เขาบรรเลงด้วยสักเพลงหนึ่ง รับรองว่าทำให้ฝูงชนประหลาดใจอย่างแน่นอน”

 

 

“ถึงขนาดทำให้ฝูงชนประหลาดใจเลยรึ!” พานชิงหัวเราะ หึหึ “การดีดพิณนั้นคือการพูดถึงทักษะอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นไม่กลายเป็นเรื่องของความเชี่ยวชาญไปแล้วหรือ! การดีดพิณต้องกล่าวถึงอารมณ์ร่วมในงานศิลปะ เมื่ออารมณ์ถึงแล้ว ทักษะจะเป็นเพียงตัวช่วยเสริมเท่านั้น ไม่ได้สลักสำคัญขนาดนั้น…”

 

 

เฉิงเจียทนฟังคำพูดของนางไม่ได้ จึงตัดบทคำพูดของพานชิง ยิ้มพลางเอ่ยถามโจวชูจิ่นว่า “พี่สาว ท่านรู้จักฉายาของพี่ชายสือหรือไม่เจ้าคะ”

 

 

โจวชูจิ่นส่ายศีรษะ

 

 

เฉิงเจียกล่าวยิ้ม ๆ อย่างเจ้าเล่ห์ว่า “ฉายาของพี่ชายสือเรียกว่า คฤหัสถ์พิศวาสดอกไม้…”

 

 

โจวเสาจิ่นและคนอื่น ๆ ต่างก็นิ่งเงียบไปเล็กน้อย

 

 

พักใหญ่ พานชิงถึงได้กล่าวขึ้นมาอย่างขุ่นเคืองว่า “น้องสาวเจีย ทำไมเจ้าถึงได้กล่าวลอย ๆ อย่างไร้เหตุผลได้ทั้งวันโดยที่ไม่มีเวลาไหนที่จะจริงจังบ้างเลย ฉายาของพี่ชายสือ ใช่เรื่องที่เจ้าสามารถเอาไปโพนทะนาทุกที่หรือ”

 

 

เฉิงเจียหัวเราะร่าเสียงดัง พลางกล่าว “สิ่งที่พี่ชายสือชื่นชอบมากที่สุดก็คือการปลูกดอกไม้ ดอกเบญมาศที่เขาปลูก แต่ละดอกล้วนบานจนใหญ่เท่าขอบชาม ดอกซีฝู่ไห่ถัง ช่วงเวลาของการบานสรั่งนั้นยาวนานจนถึงเดือนที่สองของฤดูใบไม้ผลิ ด้วยเหตุนี้จึงได้รับฉายาว่า คฤหัสถ์พิศวาสดอกไม้…พี่สาวชิงคิดไปถึงไหนต่อไหนกันหรือเจ้าคะ”

 

 

พานชิงหน้าแดงก่ำไปทั้งหน้า กล่าวอย่างไม่ยอมจำนนว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้ากำลังคิดอะไรอยู่ เป็นเจ้าเองที่คิดอกุศล แต่กลับผลักมาให้ผู้อื่น…”

 

 

สองพี่น้องตระกูลโจวไม่คิดเข้าไปร่วมวงด้วย

 

 

โจวชูจิ่นมองคนทั้งสองยิ้ม ๆ ส่วนสายตาของโจวเสาจิ่นมองไปที่ร่างของเฉิงสือและเฉิงเจิ้งที่อยู่ด้านนอกศาลาอี้ชุ่ย

 

 

คนทั้งสองต่างก็สูงใหญ่ หล่อเหลา และมีมารยาทเฉกเช่นบัณฑิตเหมือนกัน ส่วนที่ไม่เหมือนกันคือเฉิงสือนั้นมีกลิ่นอายของหนอนหนังสือ และค่อนข้างสง่างามตามแบบของลูกหลานตระกูลผู้ดีมากกว่าอยู่หลายส่วน ขณะที่เฉิงเจิ้งนั้นสุขุมรอบคอบ ดูมีประสบการณ์และความสามารถ เสมือนลูกหลานของตระกูลบัณฑิตและชาวนาที่สืบทอดกันมาหลายต่อหลายรุ่น แฝงความเรียบง่ายเอาไว้อยู่หลายส่วน

 

 

ทั้งสองคนกำลังกระซิบกระซาบคุยบางอย่างกันอยู่ ร้อยยิ้มสุกใส การแสดงออกอย่างจริงใจ ท่าทีโอภาปราศรัย เสมือนกับสหายสนิทที่รู้จักกันมาเป็นเวลานานหลายปี

 

 

แต่ในความเป็นจริงแล้วในใจของพวกเขาคิดอย่างไรกันแน่นั้น เกรงว่าใครก็ไม่อาจรู้ได้

 

 

โจวเสาจิ่นหันศีรษะกลับมา

 

 

หางตาเหลือบไปเห็นเฉิงสวี่

 

 

เขากำลังจ้องมาที่ศาลาอี้ชุ่ยพอดี

 

 

โจวเสาจิ่นขมวดคิ้วมุ่น

 

 

เฉิงสวี่เก็บสายตากลับไป พูดคุยและหัวเราะขึ้นมากับเฉิงเก้าและพานจ้าวที่อยู่ข้าง ๆ

 

 

ไม่นานหลังจากนั้น มีบ่าวชายถือพิณตัวหนึ่งเข้ามา เฉิงสวี่นั่งลงบนพื้น เริ่มจัดวางพิณให้เข้าที่

 

 

ทันใดนั้นข้าง ๆ หูของโจวเสาจิ่นก็ได้ยินเสียงของพานชิงดังเข้ามา “ไม่รู้ว่าอีกประเดี๋ยวพี่ชายสวี่จะบรรเลงเพลงอะไร มีพี่ชายสือที่เก่งกาจอยู่ตรงหน้าเช่นนี้ ไม่รู้ว่าพี่ชายสวี่จะรู้สึกกดดันหรือไม่”

 

 

ในน้ำเสียงของนางให้ความรู้สึกบางอย่างที่อธิบายให้ชัดเจนได้ยาก ทำให้โจวเสาจิ่นรู้สึกไม่ชอบยิ่งนัก นางยิ้มพลางกล่าวอย่างเรียบ ๆ ว่า “พี่สาวชิงรู้หรือไม่ว่าพี่ชายสวี่เชี่ยวชาญบทเพลงอะไร ข้าไม่รู้เลย!”

 

 

พานชิงยิ้ม

 

 

ไม่รู้ว่าพานจ้าวพูดอะไร เฉิงเก้าและคนอื่น ๆ ต่างก็หันมามองที่ศาลาอี้ชุ่ยด้วยสีหน้าประหลาดใจ จากนั้นก็หัวเราะขึ้นมา ราวกับว่าเห็นอะไรบางอย่างที่น่าสนใจ

 

 

โจวเสาจิ่นหลบออกไปจากมู่ลี่ไผ่

 

 

มีสาวใช้วิ่งเข้ามา เอ่ยขึ้นยิ้ม ๆ เสียงดังว่า “พวกคุณชายหลายท่านกล่าวว่า ไม่อาจปล่อยให้พวกเขาได้รับคำชื่นชมเพียงเท่านั้น จึงเชิญให้คุณหนูทั้งหลายร่วมบรรเลงสักสองสามเพลง แล้วทุกคนมาร่วมแสดงความเห็นต่อกันและกันเจ้าค่ะ”

 

 

เช่นนี้ก็คือต้องการประลองการดีดพิณกันแล้ว!

 

 

เฉิงเจียตกใจจนหน้าซีด กล่าวขึ้นว่า “นี่เป็นความคิดของผู้ใดกัน”

 

 

สาวใช้ไม่กล้าตอบ

 

 

พานชิงยิ้มพลางพูดแทนสาวใช้ผู้นั้นว่า “นางก็แค่นำความมาแจ้งมาเท่านั้น เจ้าไปโมโหนางเช่นนั้นมีประโยชน์อันใด” จากนั้นก็กล่าวเสียงอ่อนโยนว่า “คำพูดนี้เป็นใครบอกมาหรือ”

 

 

สาวใช้มองพานชิงอย่างรู้สึกขอบคุณ พลางกล่าว “คุณชายทั้งหลายต่างก็พูดเช่นนี้เจ้าค่ะ…”

 

 

เฉิงเจียโกรธจนกระทืบเท้าไม่หยุด

 

 

มีเสียงหัวเราะใสกังวานของเฉิงสือดังมาจากด้านนอกของศาลาอี้ชุ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะกล้าไม่ทำตามได้อย่างไร”

 

 

โจวเสาจิ่นและคนอื่น ๆ มองไปตามเสียงนั้น

 

 

ไม่รู้ว่าพานจ้าวไปยืนอยู่ข้าง ๆ เฉิงสือและเฉิงเจิ้งตั้งแต่เมื่อไหร่ เฉิงสือกำลังถอดจี้หยกตรงบริเวณเอว พลางกล่าว “นี่คือจี้หยกที่ได้รับมาจากท่านปู่ทวด ถือเป็นของรางวัลการประลอง!” กล่าวจบก็ตบหน้าผากอย่างแสนเสียดาย พลางกล่าวขึ้นว่า “ข้าว่า หากพวกน้องสาวทั้งหลายชนะ จี้หยกชิ้นนี้คงไม่เหมาะสมเท่าไหร่แล้ว…” เขาครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นตะโกนเรียกเฉิงสวี่ว่า เจียซ่าน และกล่าวขึ้นว่า “ข้าจำได้ว่าเจ้ามีพิณดี ๆ อยู่หลายตัว ถึงเวลานั้นนำออกมาสักตัวเป็นของรางวัลให้พวกน้องสาวเถิด”

 

 

เฉิงสวี่ยิ้มพลางกล่าวอย่างองอาจว่า “พี่ชายใหญ่ออกปากเช่นนี้แล้ว น้องเล็กจะกล้าไม่ทำตามได้อย่างไร!” เขาสั่งฮวนสี่เสียงดังว่า “เจ้าไปหยิบ หวงหมิง ชิ้นนั้นของข้าออกมา”

 

 

เฉิงสือยิ้มพลางกล่าว “ยังคงเป็นเจียซ่านที่ใส่ใจ คิดได้รอบด้าน พิณ หวงหมิง นั้นมีน้ำหนักเบาและใช้ง่าย เสียงกังวานใส เหมาะสำหรับให้เด็กสาวดีดยิ่งนัก”

 

 

เฉิงเจียปรารถนาให้ตนเองสามารถก้าวออกไปแล้วกระทุ้งแรง ๆ ใส่เฉิงเจิ้งผู้เป็นพี่ชายนัก “เขาเป็นพี่ชายแบบไหนกัน ไม่ว่าเวลาไหนข้าก็คิดเผื่อเขา แต่ในเวลาเพียงชั่วพริบตาเขากลับขายข้าไปแล้ว หากข้าไม่ไปฟ้องท่านย่าจนเขาต้องคุกเข่าสำนึกผิดล่ะก็ ข้าก็ไม่ใช่ นายแห่งเรือนหรูอี้ แล้ว…”

 

 

นางตั้งฉายาให้ตัวเองว่า นายแห่งเรือนหรูอี้

 

 

พานชิงไม่พอใจ กล่าวขึ้นว่า “เพียงเรื่องหยอกล้อระหว่างพี่ชายน้องสาว คุ้มค่าแล้วหรือกับการที่เจ้าจะโจมตีพี่ชายเจิ้งเช่นนี้”

 

 

“ข้าว่าพี่ชายของข้า เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย”

 

 

ทั้งสองคนประชันฝีปากกันอีกครั้ง

 

 

โจวชูจิ่นมองไปที่โจวเสาจิ่นครั้งหนึ่ง

 

 

โจวเสาจิ่นไม่ได้กล่าวอะไร

 

 

นางค่อย ๆ ลุกขึ้นมา

 

 

พานชิงและคนอื่น ๆ ต่างมองมาที่นางด้วยความประหลาดใจ

 

 

มีสาวใช้วิ่งเข้ามา ทำความเคารพโจวชูจิ่นและโจวเสาจิ่นด้วยอาการหอบ พลางกล่าว “คุณหนูรอง พี่สาวปี้อวี้กล่าวว่ามีเรื่องต้องการพบท่าน เชิญท่านไปที่ศาลาฝูหรงเจ้าค่ะ”

 

 

เฉิงเสียนต้อนรับแขกอยู่ที่ศาลาฝูหรง บรรดาสตรีมีหน้ามีตาทั้งหลายล้วนอยู่ที่นั่น ปี้อวี้คือผู้ที่รับใช้อยู่ข้างกายของฮูหยินผู้เฒ่ากัว

 

 

โจวชูจิ่นถามสาวใช้ผู้นั้นว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”

 

 

สาวใช้ส่ายศีรษะ มองไปที่โจวเสาจิ่นอย่างเขินอาย

 

 

โจวเสาจิ่นกลับไม่ได้อธิบายอะไร ปลอบโยนพี่สาวเสียงหนึ่งว่า “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้าไปครู่หนึ่งก็มา” จากนั้นออกจากศาลาอี้ชุ่ยทันทีโดยพาชุนหว่านไปด้วย

 

 

ปี้อวี้รอนางอยู่ในศาลาข้างทางที่อยู่ข้าง ๆ ศาลาฝูหรง

 

 

พอเห็นโจวเสาจิ่น นางก็ยิ้มพลางก้าวออกไปทักทาย และกล่าวขึ้นว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ ท่านถึงให้สาวใช้นำความไปบอกข้า ให้ข้าเรียกท่านออกมากลางคันเช่นนี้”

 

 

“ก็แค่มีใครบางคนที่น่ารังเกียจ ไม่อยากเห็นหน้าก็เท่านั้น” โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างคลุมเครือ ดึงมือของปี้อวี้เอาไว้ “พี่สาวคนดี ครั้งนี้ขอบคุณท่านยิ่งนักแล้ว พรุ่งนี้จะเชิญพวกท่านไปกินดื่ม”

 

 

ต่อให้ก่อนหน้านี้ต้องไปที่ศาลาอี้ชุ่ยอย่างฝืนใจ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านางจะต้องนั่งทนทุกข์อยู่ที่นั่น!

 

 

“เรื่องกินดื่มก็ช่างมันเถอะ” ปี้อวี้ยิ้มพลางมองสำรวจร่างผอมบางของนาง กล่าวขึ้นว่า “รูปร่างท่านนี้แค่ลมพัดก็ปลิวแล้ว ถึงเวลานั้นไม่ใช่ว่าจะหลอกให้พวกข้าดื่ม ขณะที่ท่านเพียงมองอยู่ข้าง ๆ หรอกนะ”

 

 

ทั้งสองคนหัวเราะคิกคัก

 

 

ปี้อวี้กล่าว “ข้ายังต้องรับใช้ฮูหยินผู้เฒ่า ไม่คุยกับท่านแล้ว ประเดี๋ยวท่านจะไปที่ไหนหรือ”

 

 

“จะนั่งอยู่ตรงนี้แหละ” โจวเสาจิ่นกล่าว “รอให้งานเลี้ยงเลิก ข้าก็จะกลับเรือนหว่านเซียงเลย”

 

 

ปี้อวี้ยิ้มพลางพาสาวใช้เดินจากไป

 

 

ด้านล่างของศาลาข้างทางมีเป็ดน้ำแมนดารินกำลังว่ายน้ำอยู่ มีปลาจิ๋นหลี่กำลังแหวกว่ายอยู่เป็นกลุ่มก้อน โจวเสาจิ่นหักกิ่งหลิวมากิ่งหนึ่ง แล้วนั่งลงบนเก้าอี้หินไท่หูที่อยู่ด้านนอกศาลาข้างทางและหยอกเย้าเล่นกับปลาฝูงนั้น

 

 

ชุนหว่านเห็นดวงอาทิตย์ค่อย ๆ เคลื่อนตัวสูงขึ้น ทางด้านของศาลาฝูหรงก็เริ่มนั่งลงกันแล้ว จึงปรึกษาโจวเสาจิ่นว่า “คุณหนูรอง ข้าไปยกอาหารจากในครัวมาสักหน่อยดีหรือไม่เจ้าคะ”

 

 

ใกล้เที่ยงแล้ว และเมื่อเช้าโจวเสาจิ่นก็ทานโจ๊กขาวไปเพียงครึ่งถ้วยเท่านั้น กลิ่นหอมของอาหารลอยมาจากทางด้านศาลาฝูหรงอยู่จาง ๆ ท้องของนางเองก็รู้สึกหิวแล้วเล็กน้อย

 

 

“เช่นนั้นเจ้าก็ระมัดระวังตัวหน่อย” นางกล่าวย้ำกับชุนหว่าน “อย่าให้ใครเห็นข้อบกพร่องได้”

 

 

ชุนหว่านรู้ว่านางต้องการหลีกเลี่ยงงานเลี้ยงของตระกูลเฉิง จึงพยักหน้ายิ้ม ๆ และเดินไปที่ห้องครัวอย่างเงียบ ๆ

 

 

โจวเสาจิ่นทิ้งกิ่งหลิวไป นั่งกอดเข่าอยู่ข้างริมทะเลสาบ หรี่ตาครุ่นคิดบางอย่างอยู่ในใจ

 

 

แต่ว่าเรื่องบางอย่าง ก็ช่างเป็นเรื่องที่บังเอิญมากเกินไป

 

 

พานจ้าวสอบได้ซิ่วไฉ เฉิงเสียนจัดงานเลี้ยง…เรื่องที่จวนสี่หันหลังให้เฉิงลู่นั้น ด้วยความเมตตาของท่านลุงใหญ่และคนอื่น ๆ แล้ว ย่อมไม่พูดออกไปอย่างแน่นอน เมื่อไม่มีจวนสี่คอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลังแล้ว ต่อให้เฉิงลู่อยากจะใช้ประโยชน์จากตระกูลเฉิงเพื่อก้าวเข้าไปอีกก้าว ไม่ว่าจะเป็นจวนไหน ล้วนต้องชั่งน้ำหนักความกตัญญูระหว่างเขากับจวนสี่อย่างระมัดระวัง ดังนั้นเฉิงลู่เองก็ย่อมไม่พูดออกไปเช่นกัน ตอนนี้ทุกคนจึงยังไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทว่ากลับไม่เชิญเฉิงลู่ในฐานะที่เป็นซิ่วไฉคนใหม่เหมือนกัน…เฉิงสือและคนอื่น ๆ มาบรรเลงพิณกันที่สวนดอกไม้ ทั้งหมดต่างก็เป็นคนจากครอบครัวของตัวเอง และทั้งหมดยังเป็นคนจากครอบครัวของพานชิงและเฉิงเจีย…ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่และ…พวกนางไปที่ศาลาอี้ชุ่ย…นางกับพี่สาวจึงกลายเป็นคนประกอบฉากส่วนหนึ่งเท่านั้น…

 

 

โจวเสาจิ่นนึกถึงท่าทีแปลก ๆ ของพานชิงที่มีต่อตนเอง

 

 

นางกับพี่สาวอาจจะไม่ใช่คนประกอบฉาก ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นหมากของผู้อื่นเสียมากกว่าก็เป็นได้

 

 

โจวเสาจิ่นแสยะยิ้ม

 

 

มีคนเดินผ่านมาจากกำแพงหินไท่หูที่อยู่ข้าง ๆ กระซิบกล่าวเสียงเบาว่า “…คุณหนูได้รางวัลตามที่คาดเอาไว้ ก็ไม่เสียแรงที่สองวันมานี้คุณหนูของพวกเราคัดเลือกบทเพลงและแอบฝึกซ้อมอย่างเหน็ดเหนื่อยอยู่เงียบ ๆ!”

 

 

โจวเสาจิ่นลุกขึ้น

 

 

เห็นร่างบอบบางสองร่างในชุดเขียวแดงกำลังมุ่งไปทางศาลาฝูหรง

 

 

ที่นี่เป็นอาณาบริเวณของจวนสาม สาวใช้สองคนนี้หากว่าไม่ใช่สาวใช้ของจวนสามก็ต้องเป็นสาวใช้ของตระกูลพาน

 

 

นี่กำลังจะไปรายงานเฉิงเสียนหรือนายหญิงผู้เฒ่าหลี่กันแน่?

 

 

ดูจากท่าทีแล้วพานชิงตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะต้องแต่งเข้าตระกูลเฉิงให้ได้

 

 

แต่หากนางคิดใช้ตนเองหรือไม่ก็พี่สาวเป็นสะพานให้นางด้วยเหตุนี้แล้วล่ะก็ เกรงว่าคงจะไม่ง่ายดายขนาดนั้นแล้ว!

 

 

โจวเสาจิ่นกำนิ้วมือแน่น

 

 

เฉิงสือเป็นคุณชายใหญ่ของจวนรอง แล้วเขาเล่นเป็นตัวละครอะไรในเหตุการณ์ครั้งนี้กันนะ?

 

 

โจวเสาจิ่นกลับไปที่ศาลาฝูหรง ทุกคนต่างก็กำลังคุยกันถึงเรื่องการบรรเลงพิณที่ศาลาอี้ชุ่ย “…ทางด้านโน้นเป็นคุณชายใหญ่สวี่ที่ได้รับรางวัล ส่วนทางนี้เป็นคุณหนูชิงที่ได้รับรางวัล…คุณชายทั้งหลายยังต่อบทกลอนกันด้วย คุณชายสือกล่าวว่าอยากออกหนังสือรวมเล่มสักเล่ม…น่าเสียดายแทนคุณหนูใหญ่ตระกูลโจวยิ่งนัก บทเพลงที่คุณหนูชิงบรรเลงคือ ‘ความงามแห่งดอกเหมย’ ส่วนบทเพลงที่คุณหนูใหญ่ตระกูลโจวบรรเลงคือ ‘ท่วงทำนองแห่งความสงบสุข’ ถึงแม้ว่าก็บรรเลงได้ดี ทว่าเป็นบทเพลงที่เรียบง่ายเกินไป…ไม่เช่นนั้นผู้ที่ชนะในวันนี้ก็คงจะเป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลโจวแล้ว…”

 

 

ไม่ใครพูดถึงเฉิงเจีย และก็ไม่มีใครพูดถึงโจวเสาจิ่นด้วยเช่นกัน ราวกับว่าเรื่องของพวกนางทั้งสองคนนั้นไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมาย

 

 

เฉิงเจียกัดฟันด้วยความโกรธอย่างเกลียดชัง ทว่าโจวเสาจิ่นกลับมองมันด้วยใจที่สงบนิ่ง

 

 

นางได้ความคิดหนึ่งขึ้นมา บางทีอาจจะสามารถสืบหาความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลจวงกับตระกูลเฉิงในปีนั้นให้กระจ่างขึ้นมาได้

 

 

……………………………………………………………………..

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ในยามที่ โจวเสาจิ่น เด็กสาวจากตระกูลโจวผู้แสนอ่อนหวานและว่านอนสอนง่ายถูกชายคนรักที่นางไว้ใจหักหลังคร่าชีวิต นางได้แต่ภาวนาร้องขอโอกาสที่จะได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง หากนางสามารถย้อนเวลากลับไปได้ นางจะหนีไปให้ห่างไกลจากบุรุษจอมเสแสร้งอย่างเขา นางจะไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกย่ำยีอย่างน่าอดสู จะไม่ทำให้ตระกูลต้องอับอายขายขี้หน้า ไม่มีวันทำให้พี่สาวผู้แสนอ่อนโยนหัวใจแตกสลาย ขอแค่โอกาสอีกเพียงสักครั้ง… ดูเหมือนสวรรค์จะสดับฟังคำอธิษฐานก่อนสิ้นใจของนาง ท่ามกลางค่ำคืนอันแสนสงบปราศจากเค้าลางของพายุ โจวเสาจิ่นสะดุ้งตื่นขึ้นจากฝันร้ายและพบว่าตนได้ย้อนเวลากลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งราวปาฏิหาริย์ในร่างเดิมวัยสิบสองปี! ด้วยประสบการณ์อันขื่นขมที่นางได้เผชิญมาในชาติก่อน หญิงสาวตั้งปณิธานว่าจะต้องหาทางแก้ไขชะตาชีวิตของตนเองและของตระกูลในชาตินี้ให้ได้ ไม่มีอีกแล้วเด็กสาวที่ขี้ขลาดและอ่อนแอ แม้แต่ดอกไม้ก็ยังไม่กล้าเด็ดคนนั้น ได้เวลาที่นางต้องยืนหยัดลุกขึ้นสู้เพื่อตัวเองแล้ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset