ยามดอกวสันต์ผลิบาน – ตอนที่ 88 แขกผู้มาเยือน

หลังจากที่หัวเราะกันเสร็จแล้ว โจวเสาจิ่นก็เรียกฝานฉีเข้ามาหา กล่าวย้ำกับเขาเงียบๆ ว่า “ตอนว่างๆ เจ้าลองไปคลุกคลีอยู่กับคนของนายท่านสี่จากจวนหลักดู ไปสืบข่าวของเรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ยมาสักหน่อย”

 

 

ฝานฉีที่มักจะกระตือรือร้นกับเรื่องทำนองนี้อยู่เสมอมานั้นกลับแสดงความลังเลออกมาให้เห็นอยู่หลายส่วนอย่างคาดไม่ถึง พลางกล่าวขึ้นว่า “คุณหนูรอง ทางด้านของนายท่านสี่ฝั่งโน้นนั้น มีคนที่คอยจะประจบประแจงอยู่เป็นจำนวนมากเกินไป ข้ากลัว…ข้ากลัวว่าจะเข้าไปไม่ถึงขอรับ!”

 

 

โจวเสาจิ่นตะลึงงันไปเล็กน้อย

 

 

มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ

 

 

แต่พอนางลองทบทวนดูอีกครั้งแล้ว เฉิงฉือนั้นดูแลเรื่องต่างๆ ภายในตระกูล ก็สมเหตุสมผลหากบรรดาพ่อบ้าน ป้าแม่บ้าน และบ่าวชายเหล่านั้นจะเสี่ยงชีวิตเข้าไปประจบสอพลอ!

 

 

นางจำต้องกล่าวว่า “เจ้าเก็บเรื่องนี้เอาไว้ในใจก่อน รอให้มีโอกาสแล้วค่อยว่ากันอีกทีก็แล้วกัน”

 

 

นี่คุณหนูรองต้องการทำอะไรกันแน่?

 

 

ฝานฉีพยักหน้า ถอยกลับออกไปด้วยจิตใจที่เต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้

 

 

ดูเหมือนว่า จะหวังพึ่งพาฝานฉีเพียงคนเดียวคงจะไม่ได้การแล้ว คงต้องคิดหาวิธีอื่นร่วมด้วย

 

 

โจวเสาจิ่นใช้เวลานั่งอยู่ข้างๆ โต๊ะกลมนั้นอยู่เป็นเวลานาน

 

 

วันต่อมา โจวเสาจิ่นและพี่สาวต่างก็ได้รับเทียบเชิญจากจวนเหลียงกั๋วกง เชิญพวกนางไปเที่ยวงานวัดและชมดอกไม้ในเทศกาลวันสารทจีน

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนและฮูหยินใหญ่เหมี่ยนต่างก็ประหลาดใจเป็นอย่างมาก ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนยิ่งแล้วใหญ่ มองไปที่โจวเสาจิ่นด้วยสายตายิ้มๆ มีความภาคภูมิใจประเภทหนึ่งทำนองว่า ‘บ้านข้ามีเด็กสาวที่กำลังจะเติบใหญ่’ ฉายอยู่บนใบหน้า พลางกล่าวขึ้นว่า “คิดไม่ถึงว่าเสาจิ่นติดตามข้าออกไปข้างนอกเพียงครั้งหนึ่ง ก็ได้ผูกมิตรกับคุณหนูใหญ่จากจวนเหลียงกั๋วกงแล้ว ฉะนั้นต่อไปเจ้าต้องออกไปข้างนอกกับข้าบ่อยๆ เสียแล้ว”

 

 

โจวเสาจิ่นรู้สึกว่าหากต้องนั่งคุยสัพเพเหระอยู่กับบรรดาคุณหนูเหล่านั้นไม่สู้นั่งทำงานเย็บปัก หรือไม่ก็นั่งคัดพระธรรมอยู่ในบ้านยังจะทำให้รู้สึกสบายใจมากกว่า

 

 

แต่คำพูดเหล่านี้นางไม่อาจกล่าวกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยนได้

 

 

ท่านป้าใหญ่ล้วนแล้วแต่ทำเพื่อประโยชน์ของนาง คิดเผื่อนาง อยากให้นางมีชื่อเสียงที่ดีในหมู่ญาติพี่น้อง ต่อไปไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานแต่งหรือแต่งงานออกเรือนไปกับใคร ก็ล้วนแล้วแต่เป็นข้อดีทั้งนั้น

 

 

โจวชูจิ่นได้ยินแล้วก็พยักหน้าไม่หยุด ยิ้มพลางเอ่ยถามฮูหยินใหญ่เหมี่ยนว่า “เช่นนั้นพวกเราก็ส่งจดหมายตอบกลับไปให้จวนเหลียงกั๋วกงสักฉบับใช่หรือไม่เจ้าคะ”

 

 

“นั่นเป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้ว” ไม่รอให้ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนกล่าว ฮูหยินผู้เฒ่ากวนก็กล่าวยิ้มๆ ออกมาเสียก่อน “พวกเจ้าไม่เพียงต้องไปร่วมเท่านั้น ยังต้องแต่งตัวให้งดงามอีกด้วย ให้ผู้อื่นได้รู้ว่าตระกูลเฉิงของพวกเรามีดอกไม้งามอยู่สองดอก”

 

 

ผู้อาวุโสตื่นเต้นไปชั่วขณะ จึงลืมไปว่าสองพี่น้องตระกูลโจวนั้นแซ่ ‘โจว’

 

 

แต่ใครเล่าอยากจะทำให้เสียบรรยากาศ

 

 

แต่ไหนแต่ไรมาฮูหยินผู้เฒ่าล้วนปฏิบัติกับพวกนางราวกับหลานแท้ๆ มาโดยตลอด

 

 

ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนเห็นบรรยากาศกำลังชื่นมื่น จึงใช้โอกาสที่ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกำลังสำราญใจนี้กล่าวขึ้นว่า “ม้าจะงามก็ขึ้นอยู่กับอานม้า คนจะงามก็ขึ้นอยู่กับเสื้อผ้าอาภรณ์ ความงดงามนี้ไม่ใช่ว่าแค่พูดก็จะงดงามขึ้นมาได้ นอกจากต้องตัดชุดใหม่แล้ว ยังต้องสั่งเครื่องประดับใหม่ด้วยเจ้าค่ะ ข้าเองก็จะไม่ทำให้ท่านต้องลำบากใจมาก ขอเพียงท่านนำเงินส่วนตัวที่เก็บเอาไว้ออกมาสักเล็กน้อยเพื่อทำปิ่นปักผมทองให้สองพี่น้องสักคู่หนึ่ง ส่วนเรื่องอื่นๆ ข้าจะเป็นผู้รับผิดชอบเอง ท่านคิดเห็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”

 

 

“ที่แท้พวกเจ้าก็ตั้งใจจะมารีดไถเอาเงินเก็บส่วนตัวของข้าใช่หรือไม่!” ฮูหยินผู้เฒ่ากัวชี้ไปยังฮูหยินใหญ่เหมี่ยน หัวเราะร่าพลางกล่าว “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนที่มีอะไรก็เก็บเอาไว้ไม่พูดออกมา ข้าก็จะไม่ตอแยเจ้าแล้ว เจ้าเพียงพาพวกนางสองพี่น้องไปตัดชุดและสั่งเครื่องประดับ ค่าใช้จ่ายพวกนี้ข้าจะเป็นคนรับผิดชอบเองทั้งหมด!”

 

 

โจวเสาจิ่นและโจวชูจิ่นหัวเราะคิก และร่วมหยอกล้อด้วยอย่างสนุกสนาน ไม่รอให้ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนเอ่ยปาก ก็รีบก้าวออกไปกล่าวขอบคุณฮูหยินผู้เฒ่ากวนก่อนแล้ว

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนยิ้มแก้ปริอย่างไม่สามารถปิดบังเอาไว้ได้ กล่าวกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยนอย่างตรงไปตรงมาว่า “ข้าจะออกให้ห้าสิบเหลี่ยง นอกจากตัดชุดและสั่งทำเครื่องประดับให้พวกนางสองพี่น้องแล้ว เจ้าก็ตัดชุดให้เก้าเกอเอ๋อร์และอี้เกอเอ๋อร์ด้วยคนละสองชุดก็แล้วกัน เพราะอีกไม่กี่วันก็จะถึงเทศกาลวันไหว้พระจันทร์ในวันที่สิบห้าเดือนแปดแล้ว”

 

 

ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนจึงยิ้มพลางกอดไหล่ของโจวเสาจิ่นและโจวชูจิ่นไว้ในอ้อมแขน กล่าวขึ้นว่า “ครั้งนี้เก้าเกอเอ๋อร์และอี้เกอเอ๋อร์ของพวกข้าถือว่าได้ลาภจากความโชคดีของพวกเจ้าสองพี่น้องเสียแล้ว ถึงเวลานั้นข้าจะให้พวกเขามากล่าวขอบคุณพวกเจ้าสองพี่น้อง”

 

 

โจวชูจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ไม่ต้องกล่าวขอบคุณหรอกเจ้าค่ะ พวกเราเองก็ไม่ได้ลงแรงอะไร ไม่สู้ให้น้องชายทั้งสองช่วยร่างรูปวาดดอกเหมยฤดูหนาวทั้งเก้ามาให้พวกข้าสักสองสามแผ่น พวกข้าจะได้เอาดอกเหมยมาระบายอยู่ที่เรือนในยามว่างได้เจ้าค่ะ”

 

 

ทุกคนต่างหัวเราะกันเสียงดังลั่น

 

 

ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนจึงเรียกช่างตัดเย็บเข้ามาตัดชุดให้พวกนาง

 

 

โจวเสาจิ่นบอกปัดไปว่า “ท่านตัดชุดให้พี่สาวไปทั้งหมดเลยก็แล้วกันเจ้าค่ะ ข้ายังมีชุดใหม่ที่ยังไม่เคยได้สวมใส่อยู่ ถึงเวลานั้นท่านช่วยข้าเลือกมาสักหนึ่งชุด หากว่าไม่มีชุดที่เหมาะสมจริงๆ ค่อยตัดใหม่ก็ยังไม่สาย”

 

 

แน่นอนว่าโจวชูจิ่นต้องไม่เห็นด้วย โจวเสาจิ่นต้องเสียเวลาพูดไปกว่าครึ่งค่อนวันถึงสามารถเกลี้ยกล่อมพี่สาวได้สำเร็จ

 

 

ช่างตัดชุดที่ตกลงกันเอาไว้เข้ามาที่จวนช้าไปกว่าครึ่งชั่วยาม

 

 

นางเช็ดเหงื่อบนหน้าผากไปด้วยอาการหอบฮัก กล่าวอธิบายไม่หยุดว่า “ความจริงมาถึงตั้งนานแล้ว แต่ใครจะรู้ว่าจะได้พบกับ**บใส่ของขนาดใหญ่หลายคันรถของคุณชายน้อยผู้เป็นญาติของจวนสามเข้า ทำให้เกี้ยวที่นั่งมาถูกกีดขวางอยู่ด้านนอก ข้าจำต้องรอคุณชายน้อยเคลื่อน**บใส่ของอยู่ที่นั่น…”

 

 

“คุณชายน้อยผู้เป็นญาติของจวนสามหรือ” ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนขมวดคิ้วมุ่น “เป็นผู้ใดกัน”

 

 

นางสงสัยอยู่เล็กน้อยว่าอาจจะเป็นคนจากตระกูลหง…

 

 

ใครจะรู้ว่าช่างตัดชุดกลับกล่าวขึ้นว่า “ได้ยินว่าเป็นคนจากตระกูลเดิมของนายหญิงผู้เฒ่าจวนสาม ทำการค้าเจริญรุ่งเรืองอยู่ที่ก่วงตง กลับบ้านเดิมคราวนี้จึงตั้งใจแวะมาเยี่ยมนายหญิงผู้เฒ่าเป็นการเฉพาะ” ขณะที่นางกล่าว ก็ใช้มือแสดงท่าทางไปด้วย “ได้ยินว่ามีปะการังสีแดงที่มีความสูงกว่าสามฉื่อมาด้วยคู่หนึ่ง…”

 

 

แย่แล้ว!

 

 

นางลืมเรื่องที่หลี่จิ้งจะเข้ามาที่จวนไปได้อย่างไร!

 

 

โจวเสาจิ่นกระโดดตัวโหยงขึ้นมา

 

 

ชาติก่อน ในวันที่อากาศร้อนอบอ้าว ตอนที่หลี่จิ้งไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าหลี่นั้น เป็นตอนที่เฉิงเจียกำลังนั่งดื่มน้ำถั่วเขียวและฆ่าเวลาด้วยการเล่นไพ่เป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่าหลี่อยู่ หลี่จิ้งสนใจเฉิงเจียตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น พอได้พบอีกครั้งก็ตกหลุมรัก

 

 

ตอนนี้หลี่จิ้งมาถึงแล้ว แต่เฉิงเจียกลับถูกกักบริเวณอยู่ แล้วพวกเขาจะได้พบหน้ากันได้อย่างไร

 

 

นี่เป็นเรื่องราวที่เปลี่ยนแปลงไปหลังจากที่นางกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง กล่าวคือ ชาติก่อน นางกับเฉิงสวี่ไม่ได้ตัดขาดกัน อู๋เป่าจางก็ไม่ได้มีเรื่องพิพาทกับนาง และนางก็ไม่ได้คิดบัญชีกับพานชิงด้วย…แต่ตอนนี้ เรื่องราวทั้งหมดกลับเปลี่ยนแปลงไป

 

 

หลี่จิ้ง ถึงแม้ว่าจะมาจากครอบครัวพ่อค้า ตำแหน่งไม่สูงส่ง ทว่ากลับเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ช่วยชีวิตของเฉิงเจียเอาไว้

 

 

อย่างน้อยสุดท้ายแล้ว…เฉิงเจียก็ยังมีหลี่จิ้งที่ปฏิบัติกับนางเป็นอย่างดีอยู่ผู้หนึ่ง

 

 

จะว่านางเห็นแก่ตัวก็ได้

 

 

แต่นางก็ไม่อาจเฝ้ามองเฉิงเจียต้องพลัดพรากจากหลี่จิ้งไปได้

 

 

นอกจากนี้เรื่องทั้งหมดก็เกิดขึ้นมาจากนาง

 

 

โจวเสาจิ่นหาโอกาสหนึ่งสั่งการกับซือเซียงว่า “คุณชายน้อยตระกูลหลี่ผู้เป็นญาติกับจวนสามมา เจ้าไปสอบถามมาสักหน่อยว่า คุณชายน้อยตระกูลหลี่จะออกเดินทางเมื่อไหร่ แล้วพี่สาวเจียยังคงถูกกักบริเวณอยู่เช่นเดิมหรือว่าได้รับการปล่อยตัวออกมาชั่วคราวเพื่อทำความรู้จักกับเครือญาติ”

 

 

ซือเซียงถอยออกไปอย่างเงียบๆ

 

 

รอจนกระทั่งโจวเสาจิ่นวัดตัวเสร็จ เลือกวัตถุดิบผ้าเสร็จ และส่งช่างตัดชุดกลับออกไปเรียบร้อยแล้ว ซือเซียงก็กลับเข้ามา “คุณชายน้อยตระกูลหลี่จะออกเดินทางในอีกสองวัน ส่วนคุณหนูเจียยังคงถูกกักบริเวณอยู่เช่นเดิม ไม่ได้ออกมาทำความรู้จักกับเครือญาติเจ้าค่ะ” กล่าวจบ ก็หยุดไปชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นก็กล่าวขึ้นอีกว่า “ได้ยินคนจากจวนสามกล่าวกันว่า ถึงแม้ว่าคุณชายน้อยตระกูลหลี่ผู้นั้นจะส่งของขวัญล้ำค่ามาให้ แต่ฮูหยินใหญ่หลูยังคงมีท่าทีไม่ทุกข์ไม่ร้อนเช่นเดิม เนื่องจากคุณชายน้อยตระกูลหลี่สามารถทำการค้าได้ใหญ่โตขนาดนั้น จึงเป็นผู้ที่มีอารมณ์ผู้หนึ่ง เดิมทีตั้งใจจะรั้งอยู่อีกหลายวัน แต่พอเห็นท่าทีเช่นนี้แล้ว จึงตรงไปเข้าพักที่โรงเตี๊ยมผิงอันที่ถนนกวนเจีย กล่าวกันว่าหลังจากที่พบปะกับสหายทางการค้าสักสองสามคนแล้ว ก็จะเดินทางกลับบ้านเดิมที่รื่อเจ้าเลยเจ้าค่ะ”

 

 

เหมือนกับชาติที่แล้วไม่มีผิด

 

 

เนื่องจากไม่ได้รับการต้อนรับขับสู้จากเจียงซื่อ หลี่จิ้งจึงไม่แม้แต่จะพักอยู่ที่ซอยจิ่วหรู

 

 

ตอนที่เขาจะออกเดินทางจากไปแล้วนั้นถึงได้เข้ามาที่ตระกูลเฉิงเพื่อกล่าวอำลา

 

 

ก่อนที่จะเกิดเรื่องขึ้นกับเฉิงเจียนั้น เขาเป็นเพียงแขกที่ผ่านทางมาผู้หนึ่ง ได้พบหน้าเฉิงเจียสองครั้ง แต่ใครก็จำเขาไม่ได้ จนกระทั่งเกิดเรื่องขึ้นกับเฉิงเจีย เขาถึงได้ปรากฏตัวเด่นชัดออกมา

 

 

ช่างโชคร้ายเกินไปแล้วจริงๆ!

 

 

โจวเสาจิ่นเดินวนไปวนมาอยู่ในห้อง

 

 

สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือ จะต้องเอาตัวเฉิงเจียออกมาก่อน

 

 

ไม่เช่นนั้นหากรอจนหลี่จิ้งออกจากเมืองจินหลิงไปแล้ว เฉิงเจียกับหลี่จิ้งคงจะไม่มีโอกาสได้พบหน้ากันอีกแล้ว

 

 

โจวเสาจิ่นจึงไปหาเฉิงเจีย

 

 

เมื่อเปรียบเทียบความกระอักกระอ่วนของพวกบ่าวรับใช้ตอนที่นางมาเมื่อคราวก่อนแล้ว เห็นได้ชัดว่าบ่าวรับใช้ที่เฝ้าเฉิงเจียในครั้งนี้ดูสบายๆ และสงบกว่ามาก

 

 

คนที่ไปยกตั่งที่นั่งก็ไปยกตั่งที่นั่ง คนที่ไปต้มน้ำชาก็ไปต้มน้ำชา ส่วนคนที่ไปรายงานต่อผู้ใหญ่ก็ไปรายงาน ดูเป็นระเบียบเรียบร้อยยิ่ง เวลาผ่านไปไม่ถึงหนึ่งเค่อ บริเวณหน้าประตูก็ถูกตกแต่งให้เป็นสถานที่รับแขกชั่วคราวได้สถานที่หนึ่ง

 

 

โจวเสาจิ่นเข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้งราวกับมีกระจกใสอยู่ในใจ

 

 

หากไม่ได้รับคำอนุญาตจากเจียงซื่อ บ่าวรับใช้เหล่านี้จะกล้าทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร

 

 

ถึงแม้ว่าเจียงซื่อจะมีท่าทีว่าต้องการจะกักตัวเฉิงเจียเอาไว้ แต่จริงๆ แล้วก็สงสารบุตรสาว กลัวนางจะเหงาเกินกว่าจะทนได้ จึงลืมตาข้างหนึ่งและหลับตาข้างหนึ่งปล่อยให้เฉิงเจียได้ซุกซนบ้าง แต่เฉิงเจียกลับไม่รับรู้ถึงความใจดีนี้ ทุกครั้งที่พบหน้าโจวเสาจิ่น หากไม่เอ่ยถามนางว่าเหตุใดสองสามวันนี้ถึงไม่มาเยี่ยมนาง ก็จะเป็นการพร่ำบ่นว่ามารดาของนางนั้นใจร้าย พานชิงจากไปตั้งนานแล้ว แต่ก็ยังไม่ยอมให้นางออกไปข้างนอก

 

 

โจวเสาจิ่นมองชาเขียวหลงจิ่งที่กำลังเดือดอยู่ในกาน้ำชา แล้วก็หัวเราะเบาๆ ขึ้นมา

 

 

นางขอให้ตลอดชีวิตของเฉิงเจียจะมีเพียงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ให้ต้องพร่ำบ่นเท่านั้นก็พอ

 

 

ไม่ง่ายเลยกว่าจะรอจนเฉิงเจียได้พูดจนหมด โจวเสาจิ่นเอ่ยถามนางว่า “กลางเดือนเจ็ดเจ้ามีแผนจะทำอะไรหรือยัง”

 

 

“ไม่รู้เหมือนกัน” เฉิงเจียกล่าวอย่างไร้ชีวิตชีวาว่า “ข้าเองก็เคยพูดกับท่านแม่ไปแล้วว่าให้ข้าไปเที่ยวงานวัดในช่วงกลางเดือนเจ็ดได้หรือไม่ จากนั้นค่อยกลับมากักบริเวณต่อ…โดยให้หักเวลาออกจากวันที่ข้าได้ถูกกักบริเวณไปแล้ว แต่ท่านแม่ยังไม่ได้รับปาก” นางถอนหายใจกล่าวอีกว่า “หากสองวันนี้ท่านย่ามาเยี่ยมก็คงจะดี มีท่านย่าช่วยพูดด้วยอีกแรง ท่านแม่ย่อมต้องรับปากอย่างแน่นอน น่าเสียดายตอนที่ท่านย่ามาเยี่ยมข้าเมื่อคราวก่อน ข้าดันลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท”

 

 

“แล้วเจ้าอยากไปหรือไม่” โจวเสาจิ่นถามนาง

 

 

“อยากไปสิ!” เฉิงเจียยิ่งหดหู่มากยิ่งขึ้น กล่าวขึ้นว่า “แต่ต่อให้ข้าอยากไปแล้วจะมีประโยชน์อะไร ต้องได้รับคำอนุญาตจากท่านแม่ของข้าก่อนถึงจะไปได้! นอกจากนี้ตอนนี้พี่ชายของข้ากับท่านแม่ของข้าก็ยังร่วมมือกันอีก ข้าจึงไม่มีทางได้ออกไปเป็นแน่!”

 

 

โจวเสาจิ่นเม้มริมฝีปากพลางยิ้ม เล่าเรื่องที่อาจูส่งเทียบเชิญมาให้นางให้เฉิงเจียฟัง “…ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเป็นไปได้หรือไม่ แต่พวกเราก็น่าจะลองขอเทียบเชิญจากอาจูดู!”

 

 

สีหน้าของเฉิงเจียสดใสขึ้นมา จับแขนของโจวเสาจิ่นเอาไว้แน่น “สามารถทำเช่นนั้นได้หรือ แล้วจะเหมาะสมหรือไม่”

 

 

“ไม่ลองดูแล้วจะรู้ได้อย่างไร” โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ “แต่ถ้าสุดท้ายแล้วไม่ประสบผลสำเร็จ เจ้าจะโทษข้าไม่ได้นะ!”

 

 

“จะโทษเจ้าได้อย่างไร” เฉิงเจียมองค้อนนางครั้งหนึ่ง “เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าสามารถตัดสินใจได้สักหน่อย…”

 

 

นางสามารถเข้าใจได้ก็ดี!

 

 

โจวเสาจิ่นรีบไปหาฮูหยินใหญ่เหมี่ยน เอ่ยถามว่า “ท่านป้า พวกเราพาพี่สาวเจียไปเป็นแขกที่จวนเหลียงกั๋วกงด้วยได้หรือไม่เจ้าคะ”

 

 

ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนประหลาดใจ เอ่ยถามขึ้นว่า “ไม่ใช่ว่านางถูกกักบริเวณอยู่หรือ”

 

 

“ใช่เจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นยิ้มพลางกล่าว “แต่เทศกาลวันสารทจีนทั้งที จะทิ้งนางเอาไว้ที่เรือนหรูอี้คนเดียว ช่างน่าสงสารยิ่งนัก! หากว่าท่านอนุญาต ข้าจะให้คนไปถามอาจูสักหน่อย ดูว่าสามารถส่งเทียบเชิญมาให้อีกสักใบได้หรือไม่”

 

 

ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนเองก็ชื่นชอบความสดใสและมีชีวิตชีวาของเฉิงเจียยิ่งนัก อีกทั้งยังรู้สึกว่านี่เป็นการกระทำที่แสดงถึงความมีน้ำใจต่อผู้อื่นของโจวเสาจิ่น จึงพยักหน้าแล้วสั่งให้ป้าแม่บ้านนำจดหมายไปส่งที่จวนเหลียงกั๋วกง

 

 

บ่ายคล้อย ป้าแม่บ้านที่ไปส่งจดหมายก็นำเทียบเชิญกลับมาด้วย ยังกล่าวด้วยว่า “คุณหนูใหญ่จวนเหลียงกั๋วกงกล่าวว่า คุณหนูรองมีพี่สาวน้องสาวอีกกี่คนก็สามารถพาไปด้วยได้ทั้งหมดทุกคนเจ้าค่ะ”

 

 

โจวเสาจิ่นคิดไม่ถึงว่าอาจูจะออกมาพบป้าแม่บ้านผู้นี้ด้วยตัวเอง

 

 

ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนจึงบอกกับพวกนางสองพี่น้องว่า “เกี้ยวเจ้าสาวนี้ผู้คนต่างช่วยกันแบกหาม ในเมื่อคุณหนูอาจูให้เกียรติพวกเจ้าเช่นนี้ ตอนที่พวกเจ้าไปพบคุณหนูอาจู จึงควรนำของขวัญไปด้วยสักเล็กน้อย”

 

 

พี่น้องทั้งสองต่างก็ขานรับอย่างพร้อมเพียงกัน

 

 

โจวชูจิ่นไปจัดเตรียมของขวัญ ส่วนโจวเสาจิ่นไปหาเฉิงเจียอีกครั้งหนึ่ง

 

 

เฉิงเจียมองตรงมาด้วยดวงตากระตือรือร้น เมื่อเห็นเทียบเชิญสีแดง ก็กอดโจวเสาจิ่นเอาไว้และหอมนางไปฟอดหนึ่ง กล่าวขึ้นอย่างยินดีว่า “เจ้าเป็นน้องสาวที่ดีที่สุดของข้าจริงๆ!” ยังให้คำมั่นสัญญาอย่างใจกว้างอีกว่า “ต่อไปหากเจ้าอยากได้ของอะไรจากข้า ก็สามารถเอาไปตามที่เจ้าปรารถนาได้เลย”

 

 

โจวเสาจิ่นหัวเราะร่า

 

 

…………………………………………………………..

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ในยามที่ โจวเสาจิ่น เด็กสาวจากตระกูลโจวผู้แสนอ่อนหวานและว่านอนสอนง่ายถูกชายคนรักที่นางไว้ใจหักหลังคร่าชีวิต นางได้แต่ภาวนาร้องขอโอกาสที่จะได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง หากนางสามารถย้อนเวลากลับไปได้ นางจะหนีไปให้ห่างไกลจากบุรุษจอมเสแสร้งอย่างเขา นางจะไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกย่ำยีอย่างน่าอดสู จะไม่ทำให้ตระกูลต้องอับอายขายขี้หน้า ไม่มีวันทำให้พี่สาวผู้แสนอ่อนโยนหัวใจแตกสลาย ขอแค่โอกาสอีกเพียงสักครั้ง… ดูเหมือนสวรรค์จะสดับฟังคำอธิษฐานก่อนสิ้นใจของนาง ท่ามกลางค่ำคืนอันแสนสงบปราศจากเค้าลางของพายุ โจวเสาจิ่นสะดุ้งตื่นขึ้นจากฝันร้ายและพบว่าตนได้ย้อนเวลากลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งราวปาฏิหาริย์ในร่างเดิมวัยสิบสองปี! ด้วยประสบการณ์อันขื่นขมที่นางได้เผชิญมาในชาติก่อน หญิงสาวตั้งปณิธานว่าจะต้องหาทางแก้ไขชะตาชีวิตของตนเองและของตระกูลในชาตินี้ให้ได้ ไม่มีอีกแล้วเด็กสาวที่ขี้ขลาดและอ่อนแอ แม้แต่ดอกไม้ก็ยังไม่กล้าเด็ดคนนั้น ได้เวลาที่นางต้องยืนหยัดลุกขึ้นสู้เพื่อตัวเองแล้ว

Comment

Options

not work with dark mode
Reset