ย้อนเวลากลับมาเป็นเทพยุทธ์ – ตอนที่ 201

ทั้งหมดเพราะเรื่องแค่นี้เองเหรอ?

จิวโมไป๋และเซี่ยลี่เยว่เดินออกจากสนามต่อสู้จำลอง A ระหว่างทางจิวโมไป่อดไม่ได้ที่จะลอบมองใบหน้าของเซี่ยลี่เยว่ เขาขมวดคิ้วแน่นใจลอยเล็กน้อย

อาจเป็นเรื่องบังเอิญที่ทั้งสองจะมีชื่อคล้ายกัน

จิวโมไป๋ลอบถอนหายใจ เมื่อนึกถึงเรื่องในอดีต ตัวเขาสั่นเล็กน้อยด้วยความหวาดกลัว

แม้เซี่ยลี่เยว่จะมีชื่อเหมือนกับ มารกระบี่เซี่ยลี่เยว่ และมีพรสวรรค์ในด้านกระบี่ เหมือนกัน แต่มารกระบี่เซี่ยลี่เยว่ไม่ได้เป็นคนของโลก

มารกระบี่เซี่ยลี่เยว่เป็นลูกหลานตระกูลเซี่ย ตระกูลเทพยุทธ์ที่เคยปกครอง มิติหมื่นกระบี่บรรพกาล หนึ่งในสี่มิติชั้นสูงที่อยู่ใกล้กับดินแดนแห่งความโกลาหลที่สุด

กฏแห่งสวรรค์ไม่มีอะไรยั้งยืน มีขึ้นสู่จุดสูงสุดก็ต้องมีวันตกลงมาถึงจุดต่ำสุด ตระกูลเซี่ยที่ยิ่งใหญ่ ปกครองมิติหมื่นกระบี่บรรพกาลมาหลายหมื่นปี ก็ต้องมีวันพบจุดจบ

แม้การล้มสลายของตระกูลเซี่ย จะไม่ได้เกิดจากการกระทำของพวกเขาเอง แต่เกิดจากความถดถอยของตระกูล ทำให้มีผู้คนเกิดความคิดแย่งชิง พวกเขาซ่อนความคิดมาเนิดนาน เมื่อเห็นโอกาสพวกเขาก็พร้อมที่จะแย่งชิง ทรยศหักหลัง

ทำให้ตระกูลเซี่ยที่ยิ่งใหญ่ น่าเกรงขาม ต้องล้มสลายลงเพียงเวลาไม่ถึง 1 วัน คนในตระกูลเซี่ยกว่า 9 ล้านคนถูกสังหารจนหมดสิ้น

มารกระบี่เซี่ยลี่เยว่ เป็นหญิงสาวผู้เหลือรอดเพียงคนเดียว ที่หลบหนีจากการสังหารหมู่ออกไปได้ เธอหลบซ่อนหายไปเหมือนไม่เคยมีตัวตน ในช่วงเวลา 30 ปีหลังจากการล้มสลายของตระกูลเซี่ย ไม่มีใครรู้ว่าหญิงสาวไปอยู่ที่ไหน ใช้ชีวิตและฝึกฝนอย่างไร แต่เมื่อหญิงสาวกับมา เธอสังหารล้างตระกูลที่เป็นคู่อริ ร่วมถึงคนที่ร่วมมือกันทำลายตระกูลเซี่ยหมดสิ้น

ในเวลานั้นคนที่เธอสังหารมีทั้งหมด 9 ล้านคน เท่ากับจำนวนคนในตระกูลของเธอที่เสียชีวิตพอดี

การสังหารหมู่ของหญิงสาว ทำให้กลุ่มคนที่แอบอ้างว่าเป็นผู้มีคุณธรรมสูงส่ง หมายหัวว่าเธอเป็นมารชั่วร้าย พวกเขาได้ออกคำสั่งล่าตัวหญิงสาว พวกเขาหาวิธีสังหารหญิงสาวนับครั้งไม่ถ้วน แต่สุดท้ายก็ต้องเป็นฝ่ายเสียชีวิตเอง และมีคนที่ต้องการแก้แค้นให้กับคนที่ตายภายใต้กระบี่ของหญิงสาว ตามมาแก้แค้น หญิงสาวก็ฆ่าคนๆนั้น

ยิ่งคนที่ตกตายภายใต้คมกระบี่ของเธอมากขึ้น คนที่จะตามมาแก้แค้นยิ่งมากขึ้นเป็นเท่าทวี ยิ่งเวลาผ่านไปจำนวนผู้ที่ตกตายภายใต้กระบี่ของเธอมีมากมายนับไม่ถ้วน มีคนคาดเดาว่าผู้เสียชีวิตมีมากกว่าพันล้านคน

แม้ไม่ได้เป็นจำนวนการสังหารที่มากมายอะไรในมิตินับไม่ถ้วน มีคนชั่วช้าที่สังหารคนมากกว่าหญิงสาวจำนวนมากมาก แต่เพราะคนที่หญิงสาวสังหารส่วนมากเป็นผู้บ่มเพาะพลังที่แข็งแกร่งทรงพลัง และเป็นพวกที่แอบอ้างคุณธรรม และมีคนคอยกล่าวประณามหญิงสาวตลอดเวลา ทำให้ชื่อเสียงชั่วร้ายของเธอจึงมากกว่าผู่บ่มเพาะพลังชั่วร้ายอื่นๆ สุดท้ายเธอได้รับสมญานาม มารกระบี่ ได้เป็น 1 ใน 7 มารร้ายแห่งยุค

ในการต่อสู้ครั้งสุดท้าย หญิงสาวได้สร้างตำนาน ที่ทำให้เธอกลายเป็นที่หวาดกลัวต่อผู้บ่มเพาะพลังทั้งมวล จนไม่มีใครกล้าปรากฏตัวให้เธอเห็นอีก แม้แต่พวกที่ชอบพูดว่าเป็นผู้มีคุณธรรมเหลือล้นก็นิ่งเงียบ

ในช่วงเวลาที่มารกระบี่เซี่ยลี่เยว่ ใกล้จะสลายตำหนักยุทธ์ หลอมกฏแห่งธาตุ เพื่อกำเนิดเต๋า สร้างร่างเทพยุทธ ผู้บ่มเพาะพลังคุณธรรมจำนวนมาก เข้าขัดขวางพวกเขาใช้วิธีสกปรกจำนวนมาก เพื่อขัดขวางไม่ให้หญิงสาวกลายเป็นเทพยุทธ พวกเขาเกือบทำสำเร็จ พวกเขาสามารถทำลายตำหนักยุท์ และพลังธาตุทั้งหมดของหญิงสาวได้สำเร็จ

เหลือไว้เพียงร่างที่ว่างเปล่า

แต่ใครจะคิด แค่ประมาทผ่อนคล้ายเพียงพริบตาเดียว หญิงสาวใช้ความเข้าใจในวีถีกระบี่อันสูงส่ง สละกระบี่ล้ำค่าที่เธอพกติดตัวมาหลายสิบปีจนมีวิญญาณกระบี่ หลอมรวมเข้ากับร่างกายแทนที่ตำหนักยุมธ์ ทำให้สามารถใช้ปราณได้อีกครั้ง เธอเข่นฆ่าสังหารผู้ที่ล้อมรอบจนแผ่นดินกลายเป็นทะเลเลือด แต่น้ำน้อยย่อมแพ้ทะเลเพลิง วิญญาณกระบี่อ่อนแรงใกล้แตกสลาย ร่างกายเหนื่อยล้าถึงขีดสุด

ในชั่วเวลาเป็นตาย หญิงสาวได้ตระหนัก เต๋ากระบี่

เมื่อบรรลุเต๋า ก่อกำเนิดร่างเทพยุทธ แม้สายฟ้าแห่งกรรมก็แตกสลายภายใต้คมกระบี่ เธอกลายเป็นเทพยุทธ์ที่กำเนิดจากเต๋ากระบี่ที่แสนร้ายกาจ เพียงกระบี่เดียวหญิงสาวทำลายมิติชั้นสูงจนแตกสลายผู้คนนับไม่ถ้วนตกตาย

การทำลายมิติชั้นสูงในครั้งนั้น มีเทพยุทธ 10 คนที่เสียชีวิต ผู้บ่มเพาะที่ทรงพลังนับไม่ถ้วน และมีผู้บริสุทธิ์เสียชีวิตนับล้านล้านคน ไม่แปลกที่จิวโมไป๋จะรู้

การทำลายมิติชั้นสูงเคยเกิดขึ้นแค่ 3 ครั้ง แต่ครั้งที่ 3 ครั้งสุดท้ายที่มารกระบี่เซี่ยลี่เยว่ทำ เป็นการกระทำที่รุนแรงที่สุด เด็ดขาดที่สุด เพียงแค่กระบี่เดียวสามารถทำลายมิติชั้นสูงได้ ถ้าเธออกแรงไปทำลายมิติชั้นสูงอื่นๆ จะมีผู้คนกี่ชีวิตที่ต้องสูญเสียไป

โชคดีที่หลังจากกลายเป็นเทพยุทธ มารกระบี่เซี่ยลี่เยว่ก็จากไปยังดินแดนแห่งความโกลาหน ทิ้งตำนานของเธอไว้เบื้องหลัง

ก่อนหน้านั้นจิวโมไป๋เคยลอบสังหารเธอมารกระบี่เซี่ยลี่เยว่ แต่ก็ไม่สำเร็จ เขาเกือบถูกฆ่าตาย เขาไหวตัวทันหลบหนีมาได้ แต่ในครั้งนั้นเขาเสียแขนขวาไปหนึ่งข้าง โชคดีที่เขาตระหนักกฏแห่งธาตุไม้ และมีเคล็ดบ่มเพาะพลังประเภทพื้นฟูที่แข็งแกร่ง ทำให้เขาสามารถงอกแขนกลับมาได้ แต่ต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะสมบูรณ์

ความรู้สึกที่ต้องหลบหนีอย่างไม่คิดชีวิต ยังติดตาตึงใจของเขาจนถึงทุกวันนี้

ความแข็งแกร่งของมารกระบี่เซี่ยลี่เยว่ ก่อนกลายเป็นเทพยุทธ เธอแทบจะไร้ผู้ต่อกร มีเพียงจี้หยางเฟยที่เคยปะมือและสามารถเอาชนะหญิงสาวได้ แต่เขาก็ไม่สามารถฆ่าหญิงสาวได้

จิวโมไป๋ถอนหายใจอีกครั้ง แม้เขาจะไม่เคยเห็นหน้ามารกระบี่เซี่ยลี่เยว่ เพราะเธอมักจะใส่ผ้าคลุมปิดหน้า แต่เขาคิดว่าเซี่ยลี่เยว่และมารกระบี่เซี่ยลี่เยว่ ไม่มีทางเป็นคนๆเดียวกันแน่ๆ โลกยังไม่ได้เชื่อมประตูมิติ คนของมิติอื่นไม่สามารถที่จะเข้ามาได้แม้ว่าจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ตาม และเขารู้ว่าเซี่ยลี่เยว์เป็นคนของตระกูลเซี่ยบนโลก ไม่มีทางที่จะแฝงตัวได้โดยไม่มีใครรู้

จิวโมไป๋ปลอบใจตัวเอง

ทั้งสองเดินไปที่ทางออก ท่าทางของเซี่ยลี่เยว่กลับมาเป็นเหมือนเดิม กลายเป็นหญิงสาวที่เฉยชากับทุกสิ่ง

จิวโมไป๋แปลกใจเล้กน้อย แต่ก็ไม่คิดอะไร

เมื่อไปถึงห้องโถงใหญ่ ก็มีคน 8 คน รออยู่ก่อนแล้ว เมื่อรวมจิวโมไป๋และเซี่ยลี่เยว่ ก็ได้ผู้ผ่านการทดสอบทั้ง 10 คน

หวังเสี่ยวเปา เฉินหูและอูเหวิน รอเขาอยู่ เมื่อจิวโมไปถึงพวกเขาทั้งสี่ก็ไปรวมกลุ่มกัน

หลานซูเมิงมองพวกเขาจากอีกด้าน เธอกำลังคุยกับหญิงสาวคนหนึ่งที่ผ่านการทดสอบเช่นกัน

เซี่ยลี่เยว่เดินไปยืนอยู่ห่างออกไป ไม่รวมกลุ่มกับใคร

พวกเขารอไม่นาน กรรมการชายชุดดำเดินเข้ามา ก่อนที่โฮโลแกรมด้านหลังของเขาจะปรากฏรายชื่อผู้เข้ารอบ

สนามA จิวโมไป๋ เซี่ยลี่เยว่

สนามB ตงฟางหวังเหยียน อูเหวิน

สนามC หวังเสี่ยวเปา จูหวังเฉิน

สนามD เฉินหู อู่ถงจวิน

สนามE จางหลี่เฉียง หลานซูเมิง

“วันนี้จะเป็นการทดสอบเพื่อแย่งชิงสิทธิ์ เข้าร่วมการประลองของ 4 ชั้นปี พรุ่งนี้จะเป็นวันเริ่มการประลองภายในมหาวิทยาลัย ถ้าใครต้องการพักผ่อนสามารถกลับไปก่อนได้เลย พรุ่งนี้จะประกาศตารางการต่อสู้อีกครั้ง ถ้าพวกเธอมาไม่ทันจัเป็นการสละสิทธิ์การแระลอง”กรรมการชายชุดดำพูดจบ เขาก็จากไป

คนในห้องก็ค่อยๆทยอยเดินเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเก็บอาวุธ

ชายย้อมผมสีแดงเดินไปที่หวังเสี่ยวเปา ใบหน้าของเขาฉายแววโกรธแค้นอย่างมาก

“ไอ้อ้วนออกไปสู้กับฉันอีกครั้ง”จูหวังเฉินชี้หน้าหวังเสี่ยวเปา

“เฮ้ แกจะทำอะไรพี่ใหญ่ของฉัน”เฉินหูพุ่งเข้าไปขวาง

“ถอยไป ฉันไม่ชอบพูดกับพวกมีแต่กล้ามเนื้อ ไม่มีสมอง”จูหวังเฉินกล่าวอย่างดูแคลน

“แกว่าอะไรนะ!”เฉินหูตาลุกวาวด้วยความโกรธ แต่เขาไม่ลงมือ ถ้าพวกเขาต่อสู้จะเสียสิทธิ์ทันที

“โอ้ ยังฉลาดอยู่บ้าง”จูหวังเฉินยิ้มล้อเลียน

“พอ! จูหวังเฉิน พรุ่งนี้ถ้าฉันได้จับสู้กับนาย ฉันจะแสดงให้นายได้เห็นอีกครั้ง ว่านายอ่อนแอขนาดไหน”หวังเสี่ยวเปากล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงความรู้สึกคุกคาม

จูหวังเฉินละสายตาจากเฉินหู หันไปมองหวังเสี่ยวเปา ก่อนจะยิ้มเยียด

“หึ แล้วฉันจะรอ”พูดจบจูหวังเฉินก็หันหลังจากไปทันที

“พี่ใหญ่ ทำไมเจ้านั้นถึงหาเรื่องนายละ”อูเหวินถาม

“ตอนที่ฉันกำลังต่อสู้อยู่ เขาลอบเข้ามาทำร้ายฉันจากด้านหลัง แต่เพราะฉันฝึกจิตสัมผัสมาอย่างดี การซ่อนตัวแบบนั้น ไม่มีผลกับฉันเลย ฉันรอจังหวะและหันไปจัดการกับเขาจนพลังชีวิตลดไปครึ่ง แต่เขาก็เก่งพอตัวสามารถตอบโต้ฉันได้ แต่เพราะเสียพลังชีวิตไปก่อนครึ่งหนึ่ง เขาเสีบเปรียบอย่างมาก จนพลังชีวิตเหลือแค่ 10 เขาหลบหนีไป ฉันไม่คิดเลยว่าพลังชีวิตแค่นั้น จะสามารถผ่านการทดสอบได้”หวังเสี่ยวเบาพูด

เฉินหูและอูเหวินตกใจเล็กน้อย เพราะพวกเขาทั้ง 3 อยู่ขั้นที่ 4 ต้น และได้รับการฝึกนรกจากจิวโมไป๋ ทำให้พวกเขามีประสบการณ์ต่อสู้มากกว่าเดิม ความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด

พวกเขาไม่คิดเลยว่าคนที่มีท่าทางเหมือนอันธพาล จะสามารถต่อสู้กับหวังเสี่ยวเปาได้ แม้ว่าหวังเสี่ยวเปาจะยังไม่ใช้ความสามารถจริงๆก็ตาม ทำได้ขนาดนี้ก็น่าตกใจแล้ว

เฉินหูและอูเหวินถอนหายใจ แววตาเป็นประกายตื่นเต้น

ในตอนนั้นเอง หลานซูเมิงก็เดินมาหาพวกเขา หวังเสี่ยวเปา เฉินหูและอูเหวินลอบสบตากัน

“ไปก่อนเลย ฉันมีอะไรจะพูดกับหลานซูเมิงก่อน คุยเสร็จฉันจะตามไป”จิวโมไป๋หันมาบอกพี่น้องทั้งสาม

ทั้งสามพยักหน้าพากันเดินออกไป แต่ก่อนจะเดินไปถึงประตูพวกเขาก็หันมามองด้วยความเป็นห่วง จิวโมไป๋โบกมือ ทั้งสามถึงเดินออกไป

หลานซูเมิงเดินยิ้มมาทางจิวโมไป๋ ท่าทางเหมือนนางฟ้าที่ใสซื่อบริสุทธิ์ไร้มลทินเช่นเคย

“เมื่อฉันพบจื่อหยาง ฉันได้ถามเขาว่าใครอยู่เบื้องหลัง ที่ต้องการทำลายตำหนักยุทธ์ของฉัน ฉันก็พบเดาได้แล้วว่าเป็นใคร แม้ว่ามันจะไม่น่าเชื่อก็ตาม”จิวโมไป๋กล่าวช้าๆ ในตอนที่เขาจัดการจื่อหยาง เขาได้ใช้จิตสัมผัสติดตามจื่อหยางตลอดเวลา จนเขาพบว่าจื่อหยางติดต่อกับหลานซูเมิง เขาก็รู้ว่าหลานซูเมิงเป็นคนสั่งให้ จื่อหยางทำลายตำหนักยุทธ์ของเขา

หลานซูเมิงยังคงมีสีหน้าเหมือนเดิม เธอไม่แปลกใจ ตกใจหรือแสดงอาการอะไรเลย

“ใช่ ฉันเป็นคนบอกให้จื่อหยาง ไปทำลายตำหนักยุทธ์ของนายเอง”หลานซูเมิงยอมรับอย่างง่ายดาย เธอมองจิวโมไป๋และก้มหัวให้เขา

“ฉันขอโทษ ที่จริงแล้วฉันไม่ต้องการทำให้นายพิการเลย ที่ฉันต้องการคือทำลายตำหนักยุทธ์ของนายอย่างสมบูรณ์ นายยังสามารถกลับมาบ่มเพาะพลังใหม่ได้”สีหน้าที่ยิ้มแย้มกลายเป็นรู้สึกผิด หลานซูเมิงส่ายหน้าเบา

“ฉันไม่คิดเลยว่าจื่อหยางจะใจร้อน ยังไม่เข้าใจวิชาที่ฉันให้ไป เขาก็ไปท้าสู้กับนายแล้ว ทำให้ตำหนักยุทธ์ของนายถูกทำลายแบบไม่สมบูรณ์กลายเป็นคนพิการ”

จิวโมไป๋เงียบไปเล็กน้อยก่อนจะถาม

“ฉันแค่อยากรู้ว่า เธอทำแบบนั้นไปทำไม”

หลานซูเมิงฉีกยิ้มกว้างออกมาอย่างอ่อนหวาน บรรยากาศในห้องเปลี่ยนเป็นอบอุ่นอ่อนโยน ดินแดนแห่งความรัก

“นายรู้ไหม ว่าฉันและพี่หนานจิ้นเป็นคู่ที่สมบูรณ์แบบและไร้ที่ติ พวกเราเข้ากันได้ดีในทุกๆเรื่อง มันทำให้ไม่มีอุปสรรคในการเป็นคนรักของกันและกันเลย ยิ่งพวกเราได้รู้จักกันมากขึ้น ฉันก็รู้สึกว่าถ้าพวกเราเริ่มคบกันจริงๆ โดยที่ทุกอย่างราบรื่น ไม่พบอุปสรรคอะไรเลยสักครั้ง พวกเราจะไม่มีความผูกพันที่ลึกซึ้ง ในอนาคตเมื่อฉันและพี่หนานจิ้นแต่งงานกัน มันจะเกิดผลกระทบกับการครองคู่ของเราได้”

หนานซูเมิงพูดไปพร้อมกับดวงตาที่เป็นประกายแวววาว

“ในวันประกาศผลสอบเทอมแรก”หลานซูเมิงมองสบตาจิวโมไป๋”ฉันพบว่านายมีอันดับวิชาการเป็นอันดับที่ 1 เหนือกว่าฉัน ในตอนนั้นฉันจึงตัดสินใจเลือกนายมาเป็นอุปสรรคความรักของฉันและพี่หนานจิ้น

หลังจากวันประกาศผลสอบ ฉันไปทานอาหารที่ร้านอาหารของนาย ฉันเลือกเฉพาะวันที่นายไปช่วยที่งานร้าน เพื่อเข้าใกล้นาย”

หลานซูเมิงพูด ใบหน้าของเธอยังประดับด้วยรอยยิ้ม ไม่มีความรู้สึกผิดแม้แต่น้อย

จิวโมไป๋ในตอนนี้ใบหน้าของเขาราบเรียบไม่แสงความรู้สึก ในสมองของเขากำลังเต้นอย่างรุนแรง

“เมื่อฉันและนายใกล้ชิดกันมากขึ้น ฉันก็หาวิธีที่จะทำให้ฉันสามารถแสดงออกถึงความห่วงใยกับนายได้ โดยที่ไม่รู้สึกแปลกและไม่รู้สึกใกล้ชิดจนเกินไป เป็นการแสดงออกถึงความห่วงใยระหว่างเพื่อน เพื่อที่จะทำให้พี่หนานจิ้นเกิดความหึงหวง”

จิวโมไป๋กำมือแน่น แต่ใบหน้ายังคงเรียบเฉย

“ฉันจึงเลือกที่จะทำลายตำหนักยุทธ์ของนาย เพราะฉันรู้ว่านายไม่ชอบการบ่มเพาะพลัง ถึงฉันจะทำลายไปนายก็ไม่เสียใจเท่าไหร่นัก และฉันก็เตรียมโอสถที่ช่วยในการบ่มเพาะพลัง เพื่อฟื้นฟูการบ่มเพาะพลังของนายให้กลับมาเหมือนเดิมพร้อมเอาไว้อยู่แล้ว”

หลายซูเมิงยิ้ม ก่อนจะส่ายหัวเบาๆ

“ฉันไม่คิดเลยว่าจื่อหยางจะผิดพลาด ทำลายตำหนักยุทธ์ของนายแบบไม่สมบูรณ์ มันเป็นความผิดของฉันจริงๆ ฉันจึงหาทางช่วยเหลือนาย ฉันจะหางานให้นายทำหลังจากจบการศึกษา”

จิวโมไป๋เงียบไปแล้ว เขาเหม่อไปเล็กน้อย

หลานซูเมิงยังคงพูดต่อ

“แม้ฉันจะทำตามแผนที่วางเอาไว้จนเสร็จ แต่พี่หนานจิ้นไม่หึงหวงอะไรเลย เขายังเป็นสุภาพบุรุต ไม่โกรธและยังไว้วางใจที่ฉันจะมีเพื่อนเป็นผู้ชาย เขายังเป็นเหมือนเดิมเอาใจใส่ดูแลฉันอย่างดี”หลายซุเมิงส่ายหัวเบาๆเหมือนผิดหวัง

“ทั้งหมดที่ฉันทำไปไร้ประโยชน์ทั้งหมด แต่ยังดีที่นายสามารถฟื้นฟูตำหนักยุทธ์ได้ ไม่อย่างนั้นฉันจะรู้สึกผิด ที่ตัวเองทำให้นายเป็นแบบนั้น”

หลานซูเมิงมองจิวโมไป๋ ก่อนจะขอโทษอีกครั้ง

“ฉันขอโทษจริงๆ ที่ฉันหลอกใช้นาย”

จิวโมไป๋ในตอนนี้ไม่สนใจฟังอะไรแล้ว มองสมองของเขาว่างเปล่า ปากขยับพูดออกมาอย่างแผ่วเบาราวกระซิบโดยไม่รู้ตัว

“ทั้งหมดเพราะเรื่องแค่นี้เองเหรอ?”

แค่ต้องการให้เซี่ยวหนานจิ้นหึง แค่นี้เองเหรอ?

จบ เหตุผลแค่นี้แหละ ชาติที่แล้วชีวิตจิวโมไป๋เลยพังแบบนั้น…

ย้อนเวลากลับมาเป็นเทพยุทธ์

ย้อนเวลากลับมาเป็นเทพยุทธ์

ย้อนเวลากลับมาเป็นเทพยุทธ์
Status: Ongoing
อ่านนิยายย้อนเวลากลับมาเป็นเทพยุทธ์ จิวโมไป๋ ชายอายุเกือบ100ปี ได้ย้อนเวลากลับมาก่อนที่จะเกิดโศกนาฏกรรมที่ทำให้ครอบครัวของเขาต้องพังพินาศ เขาใช้ความรู้ในอนาคตเพื่อปกป้องครอบครัวและสหาย สร้างกองกำลังที่แข็งแกร่งเพื่อเข้าร่วมสงครามในอนาคต

Comment

Options

not work with dark mode
Reset