รถเมล์สาย 18 – ตอนที่ 17 + 18

บทที่  17  คนวงใน

 

          “ นี่คือสิ่งที่เรารู้จนถึงตอนนี้” เย่ปินบอกรายละเอียดเกี่ยวกับผลการสืบสวนในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาให้กับตำรวจที่เหลือทั้งสามคนฟัง

          “ รถเมล์ ‘สาย  18’  ร้ายมากเลยหรือ ?”  เหล่าสวีขมวดคิ้ว หลังจากได้ฟังเย่ปินพูดเกี่ยวกับรถเมล์ ‘สาย  18’  เขารู้สึกราวกับกำลังฟังเรื่องผี ซึ่งดูไม่เหมือนเรื่องจริงเลย

          “ ถ้างั้นเราคงตรวจสอบรถเมล์ ‘สาย  18’  ไม่ได้แน่ๆ งั้นเราสามารถหาวิธีตรวจสอบแบบอื่นได้ใช่ไหม ?”  จ้าวเจิ้นนั่งกอดอกพูดพึมพำ

          เย่ปินพยักหน้า “อืม ถ้าเราตรวจสอบรถเมล์ ‘สาย  18’  โดยตรง เราก็จะตกอยู่ในอันตราย”

          “ หมู่บ้านเฮยสุ่ยที่พวกคุณพูดถึง เพื่อนเก่าของผมเป็นผู้รับผิดชอบคดีนี้ บางทีคุณอาจไปถามเขาได้ เผื่อว่าจะพบเบาะแสบ้าง” จ้าวเจิ้นที่กำลังนั่งเหมือนกับทำสมาธิ พูดขึ้น

          “ หมู่บ้านเฮยสุ่ย ?”  ทุกคนที่ได้ยินต่างหันไปมองจ้าวเจิ้น

          “ อืม เท่าที่ผมได้ยินมา คดีหมู่บ้านเฮยสุ่ย ไม่ใช่คดีอุบัติเหตุง่ายๆ” จากที่พูดแสดงให้เห็นว่าจ้าวเจิ้นรู้เรื่องคดีหมู่บ้านเฮยสุ่ยไม่มากก็น้อย

          “ อันที่จริง ผมเคยได้ยินเรื่องคดีหมู่บ้านเฮยสุ่ยมาก่อน ว่ากันว่า ตำรวจทุกคนที่เข้าร่วมในคดีนี้ ไม่ขอลาออกก็ย้ายไปอยู่ที่อื่น แม้แต่หัวหน้าตำรวจเก่าที่ทำคดีนี้ก็เป็นรายสุดท้ายที่ขอย้ายไป” เหล่าสวีพูดยืนยันคำกล่าวของจ้าวเจิ้น ว่าคดีหมู่บ้านเฮยสุ่ยทำให้เกิดความโกลาหลขึ้นในวงการตำรวจ และต่อมาเมื่อตำรวจทุกคนที่ทำคดีนี้ทั้งหมดถูกย้ายหรือไม่ก็ลาออกไป ข้อมูลที่เกี่ยวกับหมู่บ้านเฮยสุ่ยก็ถูกทำลาย ความจริงของคดีในขณะนั้นจึงไม่ค่อยมีใครรู้

          “ จากการสืบสวนในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ผมพบว่า การปรากฏตัวของรถเมล์ผี ‘สาย  18’  อยู่ในเวลาที่ใกล้เคียงมากกับคดีหมู่บ้านเฮยสุ่ย” เย่ปินเคยประมาณเวลาการปรากฏขึ้นของรถเมล์ผีจากเวลาที่ถูกโพสต์บนอินเตอร์เน็ต ผลปรากฏว่ามันเกิดขึ้นในเวลาที่ไม่ห่างจากการเกิดคดีหมู่บ้านเฮยสุ่ยมากนัก

          “ ยังไงก็ตาม ในเมื่อตอนนี้เรามีคนวงในแล้ว ก็ลองไปดูกันเถอะว่า มีอะไรเกิดขึ้นในหมู่บ้านเฮยสุ่ยกันแน่ บางทีเรื่องของรถเมล์ผี ‘สาย  18’  อาจชัดเจนขึ้น”

          ในที่สุด เย่ปินกับพรรคพวกก็ตัดสินใจไปเยี่ยมเพื่อนเก่าของจ้าวเจิ้น เพื่อสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับ ‘หมู่บ้านเฮยสุ่ย’ ในตอนนั้น

          เช้าวันรุ่งขึ้น เย่ปินกับพรรคพวกก็ขับรถไปที่บ้านเพื่อนเก่าของจ้าวเจิ้น

          “ หัวหน้าเย่ การสืบสวนเรื่องหมู่บ้านเฮยสุ่ย น่าจะไม่มีอันตรายใช่ไหม ?”  ระหว่างทางจ้าวเจิ้นถามเย่ปินด้วยความกังวล เขากลัวว่าเพื่อนเก่าจะได้รับผลกระทบจากการสืบคดี

          “ ไม่น่าจะมีอะไรนะ เราตรวจสอบหมู่บ้านเฮยสุ่ยกันมาหลายครั้งแล้ว แต่ก็ไม่เห็นมีเกิดอะไรขึ้นเลย อันตรายจะเกิดเฉพาะเมื่อมีเรื่องรถเมล์ ‘สาย  18’  มาเกี่ยวข้องเท่านั้น ตอนพบกัน คุณช่วยเตือนเพื่อนของคุณก่อนว่า ถ้ามีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับรถเมล์ ‘สาย  18’  ก็อย่าพูดถึงมัน”

          จ้าวเจิ้นพยักหน้าและไม่พูดอะไรอีก

          บ้านของเพื่อนเก่าของจ้าวเจิ้นอยู่ในเขตชานเมือง ซึ่งอยู่ห่างจากใจกลางเมือง  X  พอสมควร เย่ปินกับพรรคพวกใช้เวลาขับรถสองชั่วโมงกว่าก็มาถึงบ้านที่เพื่อนเก่าของจ้าวเจิ้นอาศัยอยู่

          “ ที่นี่เหรอ ?  ใช้ชีวิตได้สันโดษดีจริงๆ !”  จางหลานลงจากรถ มองดูอาคารเก่าๆที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวข้างหน้า แล้วพูดออกมา

          “ อาคารหลังนี้คงมีอายุมากกว่า  30  ปีแล้ว” เหล่าสวีพึมพำขณะมองอาคารที่อยู่ตรงหน้า

          “ ถูกแล้ว อาคารนี้เก่ามาก จำได้ว่าตอนผมมาที่นี่ครั้งสุดท้าย ก็ตอนอยู่ชั้นมัธยมปลาย” จ้าวเจิ้นอดนึกถึงอดีตไม่ได้ ตอนที่เขาเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย เขากับเพื่อนเก่าต่างก็เป็นเพื่อนสนิทที่ดีที่สุดต่อกัน แต่พอโตขึ้น ด้วยสถานที่ทำงานและที่พักอาศัยที่อยู่ห่างกัน แม้จะอยู่เมืองเดียวกัน แต่ก็ไม่ค่อยได้ติดต่อกันเหมือนเดิม

          “ แน่ใจนะว่าเขายังอยู่ที่นี่ ?”  จางหลานถามขึ้นด้วยความสงสัยเมื่อได้ยินคำพูดของจ้าวเจิ้น

          “ ไม่ต้องห่วง ผมติดต่อเขาแล้วเมื่อคืนนี้ เขายังคงอาศัยอยู่ที่นี่”

          “ อืม งั้นก็ดีแล้ว” จางหลานพยักหน้าและไม่พูดอะไรอีก

          ทั้งหมดเดินเข้าไปในอาคารโดยอิงจากความทรงจำเมื่อนานแล้วของจ้าวเจิ้น และก็พบบ้านของเพื่อนเก่าอย่างรวดเร็ว

          ก๊อก ก๊อก ก๊อก !  ก๊อก ก๊อก ก๊อก !

          หลังจากเคาะประตูอยู่ไม่นาน ก็มีชายวัยกลางคนสูงประมาณ  1.87  เมตรมาเปิดประตู พอเห็นจ้าวเจิ้น เขาก็มีรอยยิ้มตื่นเต้นขึ้นบนใบหน้า และร้องทักว่า “ไอ้หย่า เล่ยเจิ้นจื่อ ( ไอ้สายฟ้าเจิ้น )  นายมาแล้ว !”

          “……”

          “ ฮ่าฮ่าฮ่า !  ฮ่าฮ่าฮ่า !”  ยกเว้นจ้าวเจิ้นกับเย่ปินที่มีสีหน้าคล้ำลงแล้ว คนอื่นๆ ต่างหัวเราะลั่นอย่างอดไม่ไหว  ( จ้าวเจิ้นในปัจจุบัน เป็นคนเรื่อยเฉื่อย ไม่ชอบพูด )

          “ ซ่งต้าส่า ( ไอ้โง่ซ่ง )  มันจะมากเกินไปแล้ว” เล่ยเจิ้นจื่อเป็นชื่อเล่นของจ้าวเจิ้นตั้งแต่สมัยอยู่ชั้นมัธยม และพวกเขาก็ไม่ได้พบกันนานแล้ว เขาจึงคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะยังจำความผูกพันเก่าก่อนได้ดี และทักทายเขาด้วยชื่อเล่นทันทีที่เห็นหน้า ส่วนจ้าวเจิ้นก็ไม่ยอมแพ้โพล่งชื่อเล่นของเพื่อนเก่าออกมาเช่นกัน

          ซ่งเฟย สูง  1.87  เมตร แม้จะสูง แต่ก็ผอมมาก เหมือนต้นอ้อย ทำให้คนที่เห็นรู้สึกว่า เขาเหมือนกำลังจะล้มลงได้ตลอดเวลา 

          “ ฮ่าฮ่า !  เอาล่ะ เอาล่ะ !  เข้ามาเร็ว” ซ่งเฟยหัวเราะเมื่อได้ยินจ้าวเจิ้นเรียกชื่อเล่น แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร รีบทักทายทุกคนแล้วเรียกเข้าไปในบ้าน

          บ้านของซ่งเฟย ไม่ใหญ่นัก มีขนาดประมาณ  70  ตารางเมตร เมื่อคนทั้งหมดมานั่งลงที่โซฟา ห้องนั่งเล่นก็ดูแออัดไปเล็กน้อย

          “ เฮ้ วันนี้เสี่ยวหลิงไม่อยู่บ้านเหรอ ?”  จ้าวเจิ้นถาม  หลังจากมองไปรอบๆ บ้านแล้วไม่เห็นเจี่ยหลิง ภรรยาของซ่งเฟย

          “ พอได้ยินว่านายจะมาหา ฉันก็บอกให้เธอกลับไปอยู่บ้านพ่อแม่ของเธอก่อน !”  ซ่งเฟยพูด ขณะลำเลียงจานชามออกมาจากห้องครัว “มา มาลองกินกับแกล้มฝีมือฉันก่อน”

          “ นี่นาย !  ยังทำกับแกล้มกินเองอยู่เหมือนเดิมนะ !”  จ้าวเจิ้นชิมกับแกล้มฝีมือซ่งเฟย แล้วพยักหน้า “อืม ไม่เลว ไม่เลว !  พวกคุณก็มาลองชิมดู !  ตามสบายเลย !”  จ้าวเจิ้นกล่าว พร้อมกับเชิญชวนให้ทุกคนกินกับแกล้มกันก่อน

          จากนั้นทุกคนก็หยิบตะเกียบมากินกับแกล้มของซ่งเฟย

          “ จานนี้อร่อย !”

          “ อืม !  อร่อยจริงๆ !”  หลังจากลองชิม ทุกคนก็ต่างชมเชยออกมา

          “ ฮ่าฮ่า !  ดีแล้ว !  กินกันให้อร่อยนะ !  อย่าเพิ่งกินจนอิ่มล่ะ เดี๋ยวจะไปเอาเครื่องดื่มมาให้” ซ่งเฟยพูด หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็นำเบียร์กล่องใหญ่ออกมา “มา มาดื่มไปคุยไปกันดีกว่า”

          “ ต้าส่า ฉันดื่มไม่ได้ ฉันยังทำงานอยู่ !”  จ้าวเจิ้นปฏิเสธความเอื้อเฟื้อของซ่งเฟยแทนทุกคน

          “ อ๊ะ !  ฉันก็ลืมไปเลย มามามา !  งั้นก็กินกับแกล้มพวกนี้แทนก็แล้วกัน !”  ซ่งเฟยวางเบียร์ไว้ข้างๆ แล้วชักชวนให้ทุกคนกินกับแกล้มแทน

          ด้วยวิธีนี้ ทุกคนจึงพูดคุยกันไปกินกันไป ด้วยความกลมกลืนอย่างมาก เมื่อต่างอิ่มกันแล้วก็นั่งกอดคอกันบนโซฟา เริ่มพูดคุยกันเรื่อง ‘หมู่บ้านเฮยสุ่ย’

          “ ต้าส่า !  เมื่อวานฉันบอกพวกเขาไปว่า นายรับผิดชอบคดีหมู่บ้านเฮยสุ่ย ตอนนั้นมันเกิดอะไรขึ้น ?  ทำไมทุกคนที่เกี่ยวข้องไม่ย้ายก็ลาออกไปล่ะ ?”  จ้าวเจิ้นถามซ่งเฟย

          พอได้ยินคำถามของจ้าวเจิ้น ดวงตาของซ่งเฟยก็ดูเศร้าเล็กน้อย เหมือนกำลังนึกถึงเรื่องเศร้าที่เกิดขึ้นมานานแล้ว นานกว่าซ่งเฟยจะถอนหายใจออกมา และพูดช้าๆว่า “หมู่บ้านเฮยสุ่ย ผ่านไปหลายปีจนฉันเกือบจะลืมมันได้แล้ว”

 

*******

(เนื่องจากบทที่ 17 สั้นเกินไป จึงแถมบทที่ 18)

บทที่  18  เรื่องราวของหมู่บ้านเฮยสุ่ย

 

          พอพูดถึง ‘หมู่บ้านเฮยสุ่ย’ ซ่งเฟยก็ดูซึมไป รอยยิ้มบนใบหน้าหายไปทันที

          “ ห้าปีก่อน ทีมสืบสวนของพวกเรามีทั้งหมด  12  คน” ซ่งเฟยถอนหายใจยาว เริ่มเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปีนั้น

          ขณะที่ซ่งเฟยเริ่มพูดออกมาสองสามคำ จ้าวเจิ้นก็พูดขัดจังหวะขึ้นว่า “ต้าส่า นายรู้เรื่องรถเมล์ ‘สาย  18’  หรือเปล่า ?”  จ้าวเจิ้นกลัวว่า ซ่งเฟยจะพูดถึงรถเมล์ ‘สาย  18’  จึงรีบถาม เพื่อจะได้เตือนอีกฝ่ายก่อน

          “ สาย  18 ?”  สีหน้าของซ่งเฟยแสดงถึงความประหลาดใจ เห็นได้ชัดว่า ไม่รู้เรื่องรถเมล์ ‘สาย  18’

          “ โอ้ ไม่เป็นไร นายพูดต่อไปเถอะ” จ้าวเจิ้นยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าเช่นนั้นของเพื่อน และโบกมือให้ซ่งเฟยพูดต่อ

          ซ่งเฟยพยักหน้าและพูดต่อไปอย่างไม่คิดอะไรมาก

          “ ในตอนนั้น ทีมของเราได้รับภารกิจสืบสวนคดีหมู่บ้านเฮยสุ่ย ยังไม่ทันข้ามคืนทั้งทีมก็มุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านเฮยสุ่ย พอมาถึงพวกเราก็พบว่า ทั้งหมู่บ้านอยู่ในสภาพน่ากลัว มีไฟไหม้และซากศพอยู่ทุกหนทุกแห่ง มีรถดับเพลิงห้าคันกำลังดับไฟอยู่ แต่เพลิงที่ลุกไหม้มีขนาดใหญ่เกินไป มันจึงแทบจะไร้ประโยชน์”

          “ ไฟไหม้อยู่ทั้งคืน จนใกล้รุ่งสาง ถึงได้มีรถดับเพลิงมาเพิ่มอีก  7-8  คัน ขนาดมีรถดับเพลิงมากกว่าสิบ คันร่วมมือกันดับไฟ ยังต้องใช้เวลาอีกเกือบหนึ่งชั่วโมงถึงจะดับไฟได้อย่างสมบูรณ์ ในเวลานั้น หมู่บ้านเฮยสุ่ยตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย ซากศพและโครงกระดูกที่ถูกเผาจนดำเป็นตอตะโกพบเห็นได้ทั่วไปหมด”

          เมื่อได้ยินคำบรรยายของซ่งเฟย สีหน้าของทุกคนก็ดิ่งลง จากคำพูดของเขาทุกคนสามารถจินตนาการได้ถึงฉากของความอเนจอนาถที่เขาได้พบ

          “ ไม่มีผู้รอดชีวิตเลยเหรอ ?”  เย่ปินถาม ตามรายงานข่าว ไม่มีใครในหมู่บ้านเฮยสุ่ยที่รอดชีวิต แต่เย่ปินรู้สึกว่าคดีหมู่บ้านเฮยสุ่ยนั้นแปลกมาก มันอาจมีผู้รอดชีวิต แต่ถูกปิดข่าวไว้ก็เป็นได้

          “ ฉันจำได้ว่าเพื่อนร่วมงานได้ทำการสืบสวนจำนวนประชากรของหมู่บ้าน ในตอนแรกเขาบอกว่ามีคนทั้งหมด  115  คน แต่เราพบศพในหมู่บ้านเพียง  98  ศพเท่านั้น”

          “ แล้วมีผู้รอดชิวิตไหม ?”  จางหลานขมวดคิ้วถาม

          ซ่งเฟยสั่นหัว “ไม่ แม้ตอนแรกจะพบศพเพียง  98  ศพ แต่เราไปพบศพอีก  5  ศพที่ป้ายรถเมล์ที่อยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้าน สภาพศพเหล่านั้นเหมือนกับสภาพศพที่อยู่ในหมู่บ้านเฮยสุ่ย คือถูกเผาดำจนเป็นตอตะโก จนไม่สามารถแยกแยะว่าเป็นใคร”

          ทันทีที่ซ่งเฟยพูดถึงป้ายรถเมล์ ทุกคนก็มีสีหน้าตกตะลึง สำหรับป้ายรถเมล์ที่อยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านเฮยสุ่ยนั้น เย่ปิน จางหลานกับเฉินฮุ่ยเคยไปตรวจสอบมาแล้ว และพวกเขาก็เคยบอกเล่าให้จ้าวเจิ้นกับสมาชิกที่เหลือฟังแล้ว ดังนั้นจ้าวเจิ้นจึงรู้เรื่องป้ายสถานีปลายทางของรถเมล์ ‘สาย  18’

          “ คุณกำลังพูดถึงป้ายรถเมล์ ‘สาย  18’  ที่อยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านเฮยสุ่ยใช่ไหม ?”  เย่ปินถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง

          “ คุณรู้จักป้ายรถเมล์นั่นด้วยเหรอ ?”  ซ่งเฟยมองเย่ปินด้วยความสงสัย

          เย่ปินพยักหน้า “เราเคยไปที่ป้ายรถเมล์นั่นมาก่อน”

          “ อ้อ รอบๆหมู่บ้านเฮยสุ่ยมีป้ายรถเมล์เพียงแห่งเดียว ผมคิดว่าป้ายที่คุณพูดถึงควรเป็นป้ายนั้น”

          “ แล้วทั้ง  5  ศพมาอยู่ตรงป้ายรถเมล์ได้ยังไง ?”  ในเวลานั้นเอง จางหลานก็ถามคำถามที่อยู่ในใจออกมา

          “ พูดถึงเรื่องนี้ ในตอนนั้นทั้งทีมสืบสวน ทั้งเจ้าหน้าที่ดับเพลิง ทุกคนก็ต่างสับสน แม้ว่าป้ายรถเมล์จะอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านเฮยสุ่ยนัก แต่เพลิงที่ไหม้หมู่บ้านไม่ได้ลุกลามไปถึงป้ายรถเมล์ และดูจากสภาพศพ มันดูเหมือนเป็นฝีมือมนุษย์มากกว่า”

          “ ฝีมือคน ?”

          “ อืม ตอนแรกผมก็คิดแบบนั้น แต่มีบางอย่างที่เกิดขึ้นในภายหลังที่ทำให้ทีมสืบสวนทั้งหมดต้องตื่นตระหนก” พูดถึงตรงนี้ จู่ๆ ซ่งเฟยก็ตัวสั่น

          “ ต้าส่า นายโอเคไหม ?”  จ้าวเจิ้นพูดขึ้นด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นเพื่อนเป็นเช่นนั้น

          ซ่งเฟยส่ายหน้าเล็กน้อย “ไม่เป็นไร จู่ๆ ฉันแค่นึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้น จนถึงตอนนี้ฉันยังรู้สึกกลัวอยู่เลย”

          “ มันเกิดอะไรขึ้น ?”  ทุกคนต่างสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ถึงได้ทำให้ซ่งเฟยหวาดกลัวมาได้ตั้งหลายปี

          “ หลังจากตรวจสอบ เราก็พบว่าศพทั้ง  5  ที่ป้ายรถเมล์เป็นคนของหมู่บ้านเฮยสุ่ยจริงๆ แม้ว่าเราจะไม่รู้แน่ชัดว่าพวกเขาไปอยู่ที่ป้ายรถเมล์ได้ยังไง แต่ในตอนแรกเราก็ไม่ได้กังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก และฝังเรื่องนี้ไปพร้อมกับการฝังศพผิดปกติทั้ง  5  ไว้ที่หมู่บ้านเฮยสุ่ย” ซ่งเฟยถอนหายใจ แม้กระทั่งตอนนี้ เขายังรู้สึกว่า ทุกอย่างในคดีหมู่บ้านเฮยสุ่ย เกี่ยวข้องกับศพผิดปกติทั้ง  5  ที่ถูกฝังไปแล้วเหล่านี้

          พอได้ยินคำพูดของซ่งเฟย ทุกคนต่างรู้สึกเย็นวาบที่ด้านหลัง จนเหล่าสวีอดไม่ได้ที่จะหันไปมอง

          “ หลังจากฝังศพทั้ง  5  แล้ว พวกเรา  12  คนก็รีบแบ่งกันขึ้นรถ  3  คันกลับไปสถานี แต่มีเพียง  2  คันเท่านั้นที่กลับถึงสถานี ส่วนคันที่หายไปไม่ว่าจะติดต่ออย่างไรก็ติดต่อไม่ได้ จนกระทั่งเช้าวันรุ่งขึ้น คนที่เหลือในทีมสืบสวนก็กลับไปที่หมู่บ้านเฮยสุ่ยอีกครั้ง และที่ป้ายรถเมล์ที่อยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านเฮยสุ่ย เราก็พบศพไหม้เกรียม  5  ศพ และมี  2  ศพที่ถูกตัดหัว” ซ่งเฟยแทบหายใจไม่ออกเมื่อพูดถึงเหตุการณ์นั้น

          นอกจากเย่ปินที่มีท่าทางค่อนข้างเย็นชาแล้ว คนที่เหลือต่างก็กลืนน้ำลาย และมีสีหน้าตกใจมาก

          “ ทั้ง  5  ศพเป็นสมาชิกในทีมสืบสวนงั้นเหรอ ?”  เย่ปินมองไปที่ซ่งเฟยและถามขึ้น

          “ ไม่ใช่ ตอนแรกเราก็คิดเหมือนกันว่า ทั้ง  5  ศพเป็นสมาชิกในทีมของเรา แต่พอสังเกตดูก็พบว่า ทั้ง  5  ศพคือศพที่เราพบที่นั่นและนำไปฝังไว้ที่หมู่บ้านเฮยสุ่ยก่อนหน้านี้”

          “ อะไรนะ !  แล้วทีมสืบสวน  5  คนนั้นหายไปไหน ?”  คำพูดของจางหลานมีทั้งความสงสัยและความหวาดกลัว

          “ พวกเราเชื่อว่า เมื่อศพที่อยู่ตรงป้ายรถเมล์ เป็นศพของชาวบ้าน ดังนั้นสมาชิกในทีมสืบสวนทั้ง  5  อาจไม่ได้ถูกฆ่า หรือถ้าถูกฆ่าจริงๆ ศพของพวกเขาก็อาจจะอยู่ในหลุมที่เราฝังศพผิดปกติทั้ง  5  นั่น แต่พอเราขุดเปิดหลุมฝังศพ ก็พบเพียงหัวสองหัวที่ถูกเผาจนดำ” ซ่งเฟยพูดพร้อมกับมีเหงื่อเย็นไหลจากหน้าผาก เพื่อสงบสติอารมณ์เขาจึงหยิบเบียร์ข้างตัวขึ้นมาดื่มจนหมดแก้วภายในลมหายใจเดียว

          “ แล้วสมาชิกทีมสืบสวน  5  คนนั้นหายไปไหน ?”

          “ หลังจากนั้น เราก็สืบกันอยู่นาน ขโมยผลงานมาจากเว็บ  ThaiNovel  แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่พบอะไร และเนื่องจากเหตุการณ์นี้ ทีมสืบสวนที่เหลือ ไม่ลาออก ก็ขอย้ายตัวเองไป” พูดมาถึงตรงนี้ ซ่งเฟยก็มองเหม่อไปข้างนอกอย่างเหงาหงอย

          จ้าวเจิ้นพอเห็นเพื่อนเป็นแบบนั้น ก็ตบไหล่ของซ่งเฟยเบาๆ และไม่ได้พูดอะไร

           หลังจากได้รู้เรื่องราวที่ยังไม่รู้ของ ‘หมู่บ้านเฮยสุ่ย’ จากปากคำของซ่งเฟยแล้ว เย่ปินกับพรรคพวกก็กล่าวขอบคุณซ่งเฟย และจากไปโดยไม่รบกวนซ่งเฟยอีก

          “ พวกคุณคิดยังไงกับเรื่อง ‘หมู่บ้านเฮยสุ่ย’ ?”  หลังจากกลับมาถึงสถานีตำรวจ เย่ปินกับพรรคพวกก็มาประชุมกัน คนทั้งหกเริ่มพูดคุยกันเกี่ยวกับคดี ‘หมู่บ้านเฮยสุ่ย’

          “ ตอนนี้มีปัญหาอยู่  2  ข้อ ข้อแรก  12  คนที่ไม่พบศพในหมู่บ้านเฮยสุ่ย หายไปไหน ?  ข้อ  2  เกิดอะไรขึ้นกับทีมสืบสวน  5  คนที่หายไปและตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหน ?”

          “ แม้ว่าคดีหมู่บ้านเฮยสุ่ยจะไม่เกี่ยวกับรถเมล์ ‘สาย  18’  แต่เนื่องจากพบศพที่ป้ายรถเมล์ ฉันคิดว่าหมู่บ้ายเฮยสุ่ยคงมีส่วนเกี่ยวข้องกับรถเมล์ ‘สาย  18’  ไม่มากก็น้อย”

          “ ด้วยเหตุนี้ เราจึงไม่มีความคืบหน้าที่ชัดเจนเกี่ยวกับคดีนี้” จางหลานถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ หลังจากสำรวจ ‘หมู่บ้านเฮยสุ่ย’ มาสองวัน แม้จะพบว่าคดีนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องเหนือธรรมชาติ แต่ก็ค้นไม่พบเบาะแสสำคัญใดๆ

          “ หากไม่มีหลักฐาน แล้วไปโทษว่าเป็นเพราะคดีเกี่ยวข้องกับเรื่องเหนือธรรมชาติ เบื้องบนคงไม่เห็นด้วยแน่”

          “ ผมจะไปคุยกับผู้บังคับบัญชาเอง” เย่ปินลุกขึ้นทันทีที่ตัดสินใจได้ในที่สุด และออกไปรายงานผลการสืบสวนล่าสุดต่อผู้บังคับบัญชา

Comment

Options

not work with dark mode
Reset