รถเมล์สาย 18 – ตอนที่ 19 ความรับผิดชอบที่ไม่เปลี่ยนแปลง

บทที่  19  ความรับผิดชอบที่ไม่เปลี่ยนแปลง

 

          หลังจากตัดสินใจแล้ว เย่ปินก็เข้าไปพบ เลี่ยวมู่หยาง ผู้บังคับบัญชาของเขา

          “ ตามคำกล่าวของคุณ คดีการหายตัวไปและคดีฆาตกรรมของเด็กชาย กับคดีศพในแท่งปูน ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ล้วนเป็นฝีมือของภูติผีปีศาจใช่ไหม ?”  เลี่ยวมู่หยางจ้องหน้าเย่ปินด้วยสีหน้าเย็นชา

          เย่ปินพยักหน้าตอบรับอย่างหนักแน่น “จากการสืบสวนของเราจนถึงปัจจุบัน เบาะแสทั้งหมดชี้ไปทางเรื่องเหนือธรรมชาติ”

          “ ผมไม่สนว่าสิ่งนี้จะเหนือธรรมชาติหรือไม่ คุณจะให้ผมบอกกับพ่อแม่ของเด็กที่หายตัวไปกับพ่อแม่ของเด็กที่ถูกฆาตกรรมว่ายังไง ?  บอกว่าลูกของพวกเขาถูกภูติผีฆ่าตายงั้นรึ ?”  เลี่ยวมู่หยางกล่าวอย่างเย็นชา

          เย่ปินเงียบ อันที่จริง นี่เป็นข้อกังวลใหญ่ที่สุดของเขา ถ้าเขาบอกพ่อแม่ของเด็กทั้งสองคนเช่นนี้ อันดับแรกจะทำให้เกิดความรู้สึกขุ่นเคือง ต่อมาก็จะเกิดความวุ่นวายในสังคม

          “ เย่ปิน คุณควรเข้าใจ ว่าต่อให้สิ่งที่คุณพูดจะเป็นความจริง แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่โลกต้องการ และถ้าหากคุณเผยแพร่สิ่งที่คุณบอกผมต่อสาธารณะ รูปแบบของโลกก็จะเปลี่ยนไป ในฐานะตำรวจ เราต้องป้องกันไม่ให้โลกปั่นป่วน” คำพูดของเลี่ยวมู่หยางเผยให้เห็นการหมดสิ้นทางเลือก

          “ หัวหน้าเลี่ยว  ( ผู้แปล – เป็นผู้บังคับบัญชาสถานีตำรวจ แต่ไม่ได้ระบุยศ จึงขอใช้คำนี้แทน )  ผมเข้าใจแล้วครับ” เย่ปินไม่พูดอะไรอีก เขาหันหลังและเดินจากไป

          ภายในวันนั้น เย่ปิน จางหลาน เฉินฮุ่ย เหล่าสวี จ้าวเจิ้น และหนิงหวา ต่างก็ยื่นใบลาออก  ( ปล .  ไม่รู้ว่าเป็นการลาออกจากตำรวจ หรือเป็นการลาออกจากทีมสืบสวน )  ซึ่งการลาออกของทั้ง  6  คนในครั้งนี้ ทำให้การสืบสวนดำเนินต่อไปได้

          เลี่ยวมู่หยางนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานมองดูใบลาออกที่กระจายอยู่บนโต๊ะอย่างไตร่ตรอง อันที่จริงเขารู้อยู่แล้วว่า คดีนี้เป็นเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ แต่เพื่อปกป้องโลกให้เป็นอย่างที่เป็นอยู่ เลี่ยวมู่หยางทำได้เพียงเลือกที่จะไม่เชื่อเท่านั้น

          “ หัวหน้าเย่ จะสืบคดีต่อไหม ?”  หลังจากพวกเย่ปินยื่นใบลาออก พวกเขาก็ออกจากสถานีตำรวจ

          เย่ปินเงียบไป ในเมื่อทั้ง  6  คนยื่นใบลาออกแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีเหตุผลที่จะดำเนินการสืบสวนต่อ

          “ หยุดตรงนี้ เราได้ทำในสิ่งที่ควรทำแล้ว” จางหลานแหงนหน้ามองฟ้า รอยยิ้มโล่งใจปรากฏขึ้นบนใบหน้า

          “ ไม่สืบต่อก็ไม่มีการฆาตกรรมเกิดขึ้นอีก งั้นพวกเราก็หยุดตรงนี้เถอะ” เฉินฮุ่ยแสดงความคิดเห็นเช่นเดียวกับจางหลาน

          “ บางครั้งก็ไม่จำเป็นที่จะต้องค้นหาความจริง บางเรื่องต่อให้รู้ความจริงแล้ว แล้วจะทำอะไรได้ ?”  เหล่าสวีถอนหายใจและส่ายหน้า

          พอได้ยินสิ่งที่ทุกคนพูด เย่ปินก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี ในเวลานี้เขาก็กำลังตกอยู่ในความสับสนเช่นกัน

         “ ทำไมพวกเราถึงได้มาเป็นตำรวจ ?”  ในขณะที่ทุกคนกำลังสับสน หนิงหวาที่ไม่เคยพูดอะไรเลย ก็เอ่ยถามขึ้น

          พอได้ยินทุกคนก็ต่างตกตะลึงและหันหน้าไปมองหนิงหวา

          “ ความปรารถนาในวัยเด็กของฉัน คือการเป็นหมอ” หนิงหวาไม่สนใจทุกคน เริ่มบอกเล่าเรื่องราวของตนเอง

          “ ตอนที่ฉันอายุ  19  แม่ของฉันไปเจอโจรวิ่งราวกระเป๋า ตอนนั้นในกระเป๋ามีเงินอยู่  30,000  หยวน ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการเรียนมหาวิทยาลัยของฉัน เพื่อเงินจำนวนนี้แม่จึงจับกระเป๋าไว้แน่น ระหว่างยื้อยุดกัน โจรได้ใช้มีดแทงแม่ของฉันไปสองแผล สุดท้ายกระเป๋าก็ไม่ได้ถูกกระชากเอาไป แต่แม่ของฉัน…” หนิงหวาพูดพลางน้ำตาไหล

          “ ในโรงพยาบาล ฉันมองแม่ที่นอนอยู่บนเตียง คำพูดสุดท้ายของแม่ ฉันยังจำมันได้ดี” หนิงหวาถอนหายใจ นึกถึงฉากนั้นในใจ

          “ ลูกแม่ ค่าเล่าเรียนของลูกยังอยู่ไหม ?”

          “ ยังอยู่”

          ……

          “ ถ้าเราละทิ้งหน้าที่ แล้วคนที่ได้รับบาดเจ็บจะทำอย่างไร ?”  เมื่อหนิงหวาพูดจบ ทุกคนก็เงียบไป

          “ ไม่ว่าเราจะเป็นตำรวจหรือไม่ก็ตาม ตั้งแต่เรามาเป็นตำรวจความรับผิดชอบบนบ่าก็จะไม่เปลี่ยนแปลง” เย่ปินตบบ่าหนิงหวาเบาๆ และมองไปที่ทุกคน

          “ ฉันนะไม่เป็นไรหรอก แค่ติดตามนายไปก็พอ” จางหลานกางมือออกและยิ้ม

          เฉินฮุ่ยไม่พูด แต่เดินไปยืนอยู่ข้างๆจางหลาน

          “ เหล่าสวี อายุก็มากแล้ว มาทำเป็นอายอยู่ทำไม รุ่นน้องเขาเลือกกันหมดแล้ว นายล่ะ ?”

          รอยยิ้มน่าอายปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเหล่าสวี เขายักไหล่และพูดว่า “ฉันมีทางเลือกเหรอ ?”

          ในที่สุด ทุกคนก็บรรลุข้อตกลง ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นตำรวจหรือไม่ก็ตาม อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ที่พวกเขามาเป็นตำรวจความรับผิดชอบที่แบกรับไว้บนบ่าจะไม่มีวันหายไป

          ทั้งหกคนตัดสินใจมาที่บ้านของเฉินฮุ่ยที่อยู่คนเดียว

          สภาพครอบครัวของเฉินฮุ่ยนั้นดีมาก บ้านในเขตเมืองที่คึกคักของเขามีขนาดกว่า  150  ตารางเมตร ด้วยความที่อาศัยอยู่เพียงคนเดียว  ดังนั้นสำหรับการสืบสวนคราวนี้ เฉินฮุ่ยจึงริเริ่มจัดตั้งบ้านของตัวเองเป็นวอร์รูมชั่วคราว

          “ ตามเบาะแสที่เรามีตอนนี้ ถ้าอยากรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ต้องเริ่มจาก  2  จุด จุดแรก รถเมล์ผี ‘สาย  18’  ซึ่งเป็นแนวทางสืบสวนที่อันตรายมาก ยิ่งกว่านั้น เบาะแสที่สำคัญที่สุด  2  ชิ้น หนึ่งคือบันทึกการเดินรถ ‘สาย  18’  ของบริษัทรถเมล์ กับ โทรศัพท์มือถือที่ถูกซุนสี่เทาหยิบไป ซึ่งตอนนี้ทั้งหมดได้สูญหายไปแล้ว ดังนั้นเราต้องพักการสืบสวนเรื่องรถเมล์ ‘สาย  18’  ไว้ก่อน แล้วมุ่งเน้นพลังทั้งหมดไปที่ ‘หมู่บ้านเฮยสุ่ย’”

          เย่ปินหยิบปากกาขึ้นเขียนอธิบายสถานการณ์ที่ทุกคนเผชิญมาบนกระดานไวท์บอร์ท

          “ ในคดีหมู่บ้านเฮยสุ่ย เรามีปัญหา  2  เรื่องที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข ได้แก่ ชาวบ้านกับสมาชิกในทีมสืบสวนที่หายตัวไป” จางหลานกล่าวถึงปัญหาที่กำลังเผชิญในการสืบสวนคดี ‘หมู่บ้านเฮยสุ่ย’

          “ ถ้าเราต้องการไขคดี เราต้องสืบสวนคดีหมู่บ้านเฮยสุ่ยเมื่อ  5  ปีก่อน แต่แฟ้มข้อมูลทั้งหมดของคดีหมู่บ้านเฮยสุ่ย ถูกทำลายไปแล้ว หากเราต้องการสืบสวนคดีนี้ก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย”

          “ ถึงจะมีต้าส่าเป็นคนวงใน แต่สำหรับคดีนี้ เขารู้เพียงว่ามีเรื่องเหนือธรรมชาติเกิดขึ้นเท่านั้น แต่ไม่มีเบาะแสอย่างอื่น ตอนนี้พวกเรามีเพียง  6  คน และไม่มีสิทธิพิเศษในสถานีอีก หากให้ทำการสืบสวนคดีเมื่อ  5  ปีก่อน มันก็ยากเกินไปจนหาจุดเริ่มต้นไม่ได้”

          “ ใช่ !  หากปราศจากความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ ถึงจะมีเบาะแสก็ยากที่จะรู้”

          มีการถกเถียงกันมากมาย จนมุมมองของสถานการณ์ปัจจุบันเริ่มเลวร้ายลง ทั้งไม่มีจุดเริ่มต้นในการสืบคดี หากจำเป็นต้องทำการสืบสวน หรือ ข้อจำกัดต่างๆที่ต้องเผชิญเมื่อเริ่มการสืบสวน

          “ สำหรับเรื่องผู้เชี่ยวชาญไม่ต้องห่วง ฉันหาคนมาช่วยได้ สิ่งสำคัญที่สุดคือเราต้องหาเบาะแส ไม่ว่าจะเป็นรถเมล์ผี ‘สาย  18’  หรือว่า ‘หมู่บ้านเฮยสุ่ย’ ถ้าเราได้เบาะแสมา เราก็สามารถสืบต่อไปได้”

          “ พวกเราน่าจะแบ่งกันเป็น  2  กลุ่ม กลุ่มแรกสืบคดีรถเมล์ ‘สาย  18’  อีกกลุ่มสืบคดี ‘หมู่บ้านเฮยสุ่ย’” เหล่าสวีเสนอให้แบ่งการสืบสวนออกเป็น  2  กลุ่ม

          พอได้ยินคำแนะนำของเหล่าสวี ทุกคนก็ต่างพยักหน้าเห็นด้วย

          “ เราจะใช้วิธีจับสลากว่าใครจะสืบคดีรถเมล์ผี ‘สาย  18’  และใครจะสืบคดี ‘หมู่บ้านเฮยสุ่ย’”

          “ ดี”

          ทุกคนไม่มีข้อโต้แย้ง สุดท้ายพวกเขาก็จัดกลุ่มกันตามสลากที่จับได้

          เย่ปิน จางหลาน และหนิงหวา รับผิดชอบสืบคดี รถเมล์ ‘สาย  18’  ในขณะที่ เฉินฮุ่ย เหล่าสวี และจ้าวเจิ้น รับผิดชอบสืบคดี ‘หมู่บ้านเฮยสุ่ย’

 

Comment

Options

not work with dark mode
Reset