ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม – ตอนที่ 245 ผู้เฝ้าสุสานที่โดดเดี่ยว

สุสานมังกรเหมันต์ตั้งอยู่บนที่ราบสูงที่มีเขตติดต่อกับแคว้นสือหลงทางทิศตะวันตกของแคว้นเทียนเหอ

อันหลินขี่ต้าไป๋ เหาะเป็นระยะทางร่วมพันลี้กว่าจะมาถึงที่ราบสูงที่เป็นเส้นแบ่งเขตระหว่างสองแคว้น

“อืม…ดูจากพิกัดในแผนที่แล้ว ตรงนี้แหละ”

อันหลินพูดพลางชี้บริเวณทะเลทรายโกบีที่มีต้นไม้เหี่ยวเฉาไม่กี่ต้นโอบล้อม

สวีเสี่ยวหลานมองจุดหมายปลายทางที่อยู่ไม่ไกลแล้วพูดว่า “ที่นี่ไม่มีอะไรเลย หรือจะมีค่ายกลบดบัง”

อันหลินพยักหน้า “แผนที่บอกข้าว่า ที่นี่เป็นค่ายกลมิติ ต้นไม้เหี่ยวเฉาพวกนั้นคือธงค่ายกล ต้องย้ายที่จึงจะเปิดประตูมิติแล้วเข้าไปในสุสานได้”

“เจ้าคุยกับแผนที่ได้ด้วยหรือ!” สวีเสี่ยวหลานพูดอย่างตกใจ

“แน่นอนสิ เจ้านี่มีปัญญานะ พอยอมรับข้าแล้ว ก็สามารถสื่อสารกับด้วยกระแสจิตได้” อันหลินพูดอย่างภาคภูมิใจ

สวีเสี่ยวหลานตกใจเล็กน้อย ไม่ว่าของอะไรเมื่อนานวันเข้าล้วนกลายเป็นของวิเศษ

อันหลินทำตามวิธีที่แผนที่บอก ใช้พลังเคลื่อนย้ายตำแหน่งของต้นไม้

สุดท้ายเมื่อเคลื่อนย้ายต้นไม้ต้นหนึ่งแล้ว พลังปราณก็โหมซัดอย่างบ้าคลั่ง ค่ายกลขนาดใหญ่ก่อตัวบนธรณิน ถึงขั้นว่ามีเมฆสีรุ้งปรากฏบนท้องฟ้า เสียงดังสนั่นหวั่นไหว

“จิ๊ๆ ๆ ยิ่งใหญ่เสียจริง ราวกับสวรรค์ประทานของล้ำค่า หากมีคนอื่นมาจะทำอย่างไร” อันหลินอดบ่นไม่ได้

“อย่าพูดจาส่งเดช!” สวีเสี่ยวหลานมองอันหลินตาขวางแล้วพูดเตือน

อันหลินปิดปากฉับ ของแบบนี้ลี้ลับมากจริงๆ โดยเฉพาะหลังได้คลุกคลีกับการบำเพ็ญเซียน ก็ยิ่งเคารพยำเกรงต่อมูลเหตุลึกลับเหล่านี้

ไม่นานก็มีประตูแสงสีขาวปรากฏขึ้นตรงใจกลางค่ายกล ไม่เห็นว่าข้างในคืออะไร

“หากไม่มีอำนาจของแผนที่ จะผ่านประตูบานนี้ไม่ได้ จับมือข้าเร็ว”

อันหลินพูดแล้วจับมือที่อ่อนนุ่มของสวีเสี่ยวหลานก้าวเข้าไปในประตูมิติ

สวีเสี่ยวหลานตื่นเต้นเล็กน้อย แต่ก็ไม่พูดอะไร ปล่อยให้อันหลินทำเช่นนี้

หลังเข้ามาในประตู สิ่งที่เข้ามาในคลองจักษุคือแดนพิศวงที่แยกตัวเป็นเอกเทศ

ท้องฟ้าเป็นสีขาว ไม่มีแผ่นดินเป็นรูปเป็นร่าง สิ่งที่แทนที่คือก้อนหินขนาดใหญ่มากมายที่ลอยอยู่กลางอากาศ

มีตำหนักหลังใหญ่โตอยู่เหนือก้อนหินทุกก้อน

“โอ้โห อลังการจังเลย ดูตำหนักเหล่านั้นสิ ที่นี่ต้องมีของดีแน่นอน!” อันหลินอดอุทานไม่ได้ ต้องรู้ว่าอย่างไรเขาก็เป็นบุรุษที่เคยไปท่องวังชิงมู่แล้ว

ตำหนักเหล่านี้หากมองจากภายนอก ไม่ด้อยไปกว่าตำหนักของวังชิงมู่เลยสักนิด วิจิตรตระการตา งดงามเรืองรอง โอ่อ่ายิ่งนัก ฉายความฟุ้งเฟ้อตามแบบฉบับ

สวีเสี่ยวหลานยิ้ม “ตำหนักเป็นก่ายกองเช่นนี้ เราจะไปหลังไหนก่อนล่ะ”

“เริ่มจากหลังที่ใกล้ที่สุดก่อน ค้นหาแบบปูพรม ริบของมีค่าให้หมด!” อันหลินพูดด้วยแววตาที่เป็นประกาย

เขานับตำหนักเหนือก้อนหินที่ลอยอยู่กลางเวหาโดยสายตา มีทั้งสิ้นยี่สิบสามหลัง รวมกับเศษก้อนหินทั้งน้อยใหญ่แล้วก่อเป็นรูปร่างที่มีความพิเศษ ละม้ายคล้ายคลึงกับมังกรที่เลื้อยคดเคี้ยว

ตำหนักที่อยู่ไกลที่สุดส่องแสงสีขาว เมื่อมองแล้วให้ความรู้สึกอยากจะพุ่งเข้าไปสำรวจให้รู้แล้วรู้รอดทันที แต่อันหลินเป็นผู้ปฏิบัติการที่ยึดกลยุทธ์ตรวจค้นแบบปูพรม ยืนยันจะเริ่มสำรวจจากตำหนักหลังแรก

พวกเขาจึงก้าวขึ้นก้อนหินลอยฟ้าก้อนแรก ด้านบนเป็นตำหนักสีคราม ป้ายแขวนสลักอักษรว่า ‘ตำหนักแห่งวสันต์’

อาชีพอะไรน่าเบื่อที่สุด

องครักษ์หรือ แม้องครักษ์จะไร้ซึ่งอิสรภาพ แต่อย่างน้อยก็สามารถวิ่งตามเจ้านายไปทั่วได้ แถมยังช่วยเพิ่มความเท่ให้กับเจ้านายได้บ่อยครั้ง

ทหารยามหรือ แม้ทหารยามจะติดแหง็กอยู่กับที่ แต่อย่างน้อยก็มีวันหยุด ออกไปท่องโลกได้ ระหว่างการทำงานก็ยังพบเจอผู้คนมากหน้าหลายตา ยามเฝ้าประตูยังสามารถทำเรื่องฆ่าเวลาต่างๆ นานาได้

หากถามชุนหนาน อาชีพที่น่าเบื่อที่สุดในโลก คงไม่พ้นผู้เฝ้าสุสาน

ใช่แล้ว ก็คืออาชีพที่เขากำลังทำอยู่ตอนนี้นี่แหละ น่าเบื่อที่สุดแล้ว!

อิสระหรือ ไม่มีหรอก!

วันๆ ติดแหง็กอยู่ในมิติที่เป็นเอกเทศ อยากออกไปก็ไปไม่ได้

วันหยุดหรือ อืม สำหรับเขาแล้ว งานนี้ก็ถือเป็นการหยุดเหมือนกัน

เขาสามารถทำทุกอย่างได้ตามใจชอบในตำหนัก ขอเพียงไม่ทำลายข้าวของ จะทำอะไรก็ได้ แต่เหมือนทำอะไรก็ไม่สนุก เพราะในนี้ไม่มีอะไรน่าสนุกเลยสักนิด

เขาอยากร้องเพลง แต่เหมือนว่าให้ยุงตัวหนึ่งมาเป็นผู้ฟังของเขา ก็ถือเป็นเรื่องที่ฟุ้งเฟ้อ…

ทำงานนี้มานานแค่ไหนแล้ว ร้อยปี พันปีหรือหมื่นปีงั้นหรือ

ชุนหนานจำไม่ได้แล้วว่าเนิ่นนานเพียงใดแล้ว

เขารู้แค่ว่าหนึ่งเรื่องที่เสียใจที่สุดในชั่วชีวิตนี้ก็คือ การตัดสินใจเป็นผู้เฝ้าสุสาน

ตอนนั้นแม่เขาเสียสติไปแล้ว ถึงได้ให้คำสัตย์ปฏิญาณเช่นนั้น บอกว่าจะเฝ้าพิทักษ์สุสานมังกรเหมันต์ไปชั่วชีวิต จนกว่าจะมีคนมีวาสนามาสืบทอดตำแหน่งนี้ จึงจะมีอิสระอีกครั้ง

หากสวรรค์ให้โอกาสเขา ให้เขาได้ยืนตรงหน้าเสิ่นอิงอีกครั้ง

เขาจะพูดกับเสิ่นอิงว่า

“ไปให้พ้น!”

หากต้องเพิ่มระยะเวลาหลังประโยคนี้ได้ เขาหวังว่าจะเป็น ‘หนึ่งหมื่นปี!’

ชุนหนานสังหรณ์ใจว่า เขาทำหน้าที่ผู้เฝ้าสุสาน คงต้องทำไปชั่วชีวิต…

วันนี้ชุนหนานยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ในตำหนักแห่งวสันต์ เหม่อลอย งีบหลับและครุ่นคิดเช่นเดิม

เขาออกไปจากตำหนักหลังนี้ไม่ได้ ทุกอย่างในตำหนักหลังนี้ เขาเล่นจนเบื่อแล้ว รวมถึงเสาต้นใหญ่พวกนั้นด้วย

“วันนี้ก็อีกวันที่น่าเบื่อ…” ชุนหนานพึมพำ

“เฮ้อ เล่นเป่ายิ้งฉุบแล้วกัน”

เขายื่นมือซ้ายกับมือขวาออกมา “เป่า…ยิ้ง…ฉุบ!”

ข้างซ้ายออกค้อน ข้างขวาออกกระดาษ

“เป่า…ยิ้ง…ฉุบ!”

มือซ้ายออกกรรไกร มือขวาออกค้อน

“หึๆ เจ้ามือซ้ายแพ้สองตาแล้วนะ ต้องพยายามเข้าล่ะ…”

แอ๊ด…

เสียงที่ดังขึ้นกะทันหัน ทำให้เกมของชุนหนานหยุดชะงัก

ประตูเปิดแล้ว ชุนหนานสั่นไปทั้งตัว

ไม่ใช่ลมพัด ไม่ใช่วิญญาณ แต่มีคนมา!

เขามองสองร่างนั้น แสงแดดที่สาดเข้ามาแยงตาเหลือเกิน

มันคือแสงอรุณ! มันคือการช่วยเหลือ! มันคือความหวังในชีวิต!

“อ๊าก!” ชุนหนานร้องเสียงหลง ปรี่เข้าไปหาสองคนนั้นแล้วตะโกนว่า “ผู้มีวาสนา!”

“หมัดสะเทือนขุนเขาอัสนี!”

“กระบี่พญาหงส์!”

ตูม! ชุนหนานถูกหมัดอัสนีสีทองกระแทกเข้าอย่างจัง และถูกกระบี่เปลวเพลิงฟันจนกระเด็นออกไปไกล

“วะฮ่าๆ ๆ…เป็นเรื่องจริง ความเจ็บปวดที่สมจริงเช่นนี้ ข้าไม่ได้ฝันไป ฮ่าๆ ๆ…” ชุนหนานตื่นเต้นจนระเบิดเสียงหัวเราะ น้ำตาจวนจะไหลออกมาแล้ว

ผู้ที่บุกรุกตำหนักแห่งวสันต์ คืออันหลินกับสวีเสี่ยวหลานนั่นเอง

พวกเขาสบตากัน ต่างก็เห็นความงุนงงในแววตาของกันและกัน

คนที่เฝ้าตำหนักคนนี้…เป็นคนสติวิปลาสหรือ

ชุนหนานลุกขึ้นอีกครั้ง เนื้อตัวสั่นเทิ้ม เลือดที่หลับใหลไปเนิ่นนานกำลังพลุ่งพล่าน

จู่ๆ ก็มีภาพของต้นไม้โอบล้อม เถาวัลย์ลุกลามไปทั่วทุกหนแห่งอย่างสมจริงปรากฏขึ้นรอบตัวเขา มันเป็นบาเรียที่ยิ่งใหญ่เป็นล้นพ้น

ระดับแปลงจิต!

อันหลินกับสวีเสี่ยวหลานต่างก็ชะงัก เพ่งสมาธิจดจ้องชุนหนาน

พวกเขาไม่คิดเลยว่า เพิ่งเข้ามาในสุสานโบราณ ก็จะพบกับศัตรูที่แข็งแกร่งปานนี้แล้ว คราวนี้จะทำอย่างไร

“ฮ่าๆ ๆ ยินดีต้อนรับผู้มีวาสนาสู่ตำหนักแห่งวสันต์ ข้าชุนหนาน เป็นผู้ดูแลตำหนักแห่งวสันต์ ขอแค่ได้รับอนุญาตจากเรา จะได้รับมรดกการปรุงยาแห่งตำหนักแห่งวสันต์!” ชุนหนานหัวเราะร่า แต่กลับมีความน่าเกรงขามดูน่าเชื่อถือ

อันหลินปากกระตุกเล็กน้อย ชุนหนานเหรอ ใครตั้งชื่อประหลาดแบบนี้ให้กันนะ ทำไมไม่ชื่อชุนเกอเลยล่ะ

“แล้วพวกเราต้องทำอย่างไรถึงจะได้รับการยอมรับจากเจ้า” สวีเสี่ยวหลานเอ่ยถามอย่างหวาดระแวง

“ถามได้ดี!” ชุนหนานสะบัดแขนเสื้อแล้วพูดต่อว่า “อันดับแรก พลังปรุงยาของพวกเจ้าต้องถึงระดับรวมปราณก่อน!”

อันหลิน “ระดับรวมปราณคืออะไร”

สวีเสี่ยวหลาน “ตอนเรียนไม่ตั้งใจอีกแล้วละสิ ระดับการปรุงยาแบ่งออกเป็นระดับไฟวัฏฏะ ระดับสมฤทัย ระดับรวมปราณ ระดับจิตนิรมิต และระดับอันติมะทั้งหมดห้าระดับ แต่ข้าเองก็เพิ่งอยู่ในระดับสมฤทัย…”

อันหลิน “ข้าได้แค่ปั้นยา ไม่ถึงระดับไฟวัฏฏะด้วยซ้ำ เราสู้กับเขาสักตั้งดีกว่า”

สวีเสี่ยวหลานเหลือบมองเขา “เจ้าโง่หรือไง ไม่ได้สืบทอดจะต่อสู้ทำไม หนีสิ!”

อันหลินตบเข่าฉาด “จริงด้วย”

ทั้งคู่เริ่มกลับหลังหัน

“อย่าไป!” ชุนหนานตะโกนลั่นแล้วยื่นมือ เถาวัลย์ยืดออกไปผนึกประตูไว้

“คิดเสียว่า…ข้าไม่ได้พูดประโยคเมื่อครู่!”

ชุนหนานนัยน์ตาแดงก่ำ

“ฮะ” อันหลินอึ้ง มองชุนหนานอย่างประหลาดใจ

“อันที่จริง ขอเพียงพวกเจ้าปรุงยาได้ ก็รับมรดกของข้าได้แล้ว” ชุนหนานพูดเสียงหนักแน่น

อันหลิน “…”

สวีเสี่ยวหลาน “…”

“เอ่อ หมือนว่าข้าจะปรุงยาวิเศษต่ำกว่าขั้นแปดได้” สวีเสี่ยวหลานยิ้มอย่างเก้อเขิน

ชุนหนานพยักหน้า ชี้สวีเสี่ยวหลานแล้วพูดเสียงเข้มว่า “ดี ยินดีกับผู้มีวาสนาท่านนี้! เจ้าผ่านการทดสอบ รับมรดกการปรุงยาแห่งตำหนักแห่งวสันต์ได้!”

อันหลิน “…”

สวีเสี่ยวหลาน “…”

ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม

ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม

อ่านนิยาย
Status: Ongoing
ในโลกมนุษย์ อันหลินดูเหมือนจะถูกพระเจ้าทอดทิ้ง เมื่อจู่ๆ พ่อของเขาก็หายตัวไปพร้อมทิ้งหนี้ก้อนโตไว้ให้ ทำให้ชีวิตเขาตกอยู่ในอันตราย หลังจากถูกเจ้าหนี้บีบจนต้องขึ้นไปถึงดาดฟ้าตึก อันหลินกลับถูกลมประหลาดพัดออกจากดาดฟ้าและดิ่งลงพื้น แต่เขากลับไม่ตาย แถมยังรอดพ้นจากเจ้าหนี้ จากนั้นจึงพบว่าผู้ที่ช่วยตนไว้คือท่านเซียนคนหนึ่ง ท่านเซียนยังได้มอบของขวัญที่ดูเหมือนมาจากความเมตตาอันบริสุทธิ์ให้กับเขา นั่นคือ ‘ระบบเทพสงคราม’ พร้อมกับจดหมายรับรองเพื่อมุ่งหน้าไปบำเพ็ญเพียรบนสวรรค์!? มาร่วมเดินทางในโลกอันเป็นตำนานใบใหม่ไปพร้อมกับอันหลิน พบปะเพื่อนใหม่มากมาย ได้รับอาวุธและเครื่องไม้เครื่องมือในตำนาน และเริ่มต้นเส้นทางการกลายเป็นผู้บำเพ็ญเซียนที่แข็งแกร่งที่สุด… ชีวิตใหม่ของอันหลินพร้อมกับระบบที่ ‘ยอดเยี่ยม’ ของเขา จะไม่มีช่วงเวลาให้เงียบเหงาอย่างแน่นอน!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset