รักเธอยิ่งกว่าชีวา คะนึงหาเธอจนเป็นนิจ – ตอนที่ 425: ลังเลใจ

เมื่อลู่เฉิงเฮ่าเห็นหลินอี้ยืนอยู่ข้างนอกแต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร เขาพยักหน้าให้กับหลินอี้แล้วหันหลังเดินเข้าไปในห้องทันที
หลินอี้ซึ่งยืนอยู่ที่ประตูก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองเรือนร่างเปลือยเปล่าของลู่เฉิงเฮ่า
เมื่อชำเลืองมอง หลินอี้ก็มองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าบนหลังของหลินอี้มีรอยขีดข่วนเล็กน้อย ทันทีที่หลินอี้เห็นรอยขีดข่วนนั้นก็รู้ได้ทันทีว่ามันเกิดจากผู้หญิงเป็นคนกระทำอย่างแน่นอน
แววตาของหลินอี้ก็เปลี่ยนไปทันที แต่เมื่อลู่เฉิงเฮ่าหันกลับมามองเธอ เธอก็เริ่มเปลี่ยนสีหน้าให้กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
หลินอี้ดูไม่ผิดอย่างแน่นอน รอยขีดข่วนบนแผ่นหลังของลู่เฉิงเฮ่านั้นเป็นเพราะลั่วเสี่ยวชิงเป็นคนข่วนทั้งหมดนั่นเอง เมื่อคืนนี้ลั่วเสี่ยวชิงรู้สึกเจ็บอย่างมาก ในขณะที่เธอโอบกอดลู่เฉิงเฮ่าอยู่นั้น เธอก็อดไม่ได้ที่ใช้เล็บของเธอข่วนบนหลังของลู่เฉิงเฮ่า
“เลขาหลิน คุณยืนทำอะไรโง่ๆ อยู่ที่หน้าประตูล่ะ? เข้ามาสิ”
เมื่อได้ยินเสียงของลู่เฉิงเฮ่า หลินอี้จึงรีบเดินเข้าไปในห้องและเดินตามหลังลู่เฉิงเฮ่าไปจากนั้นก็นั่งพักที่โซฟา และเมื่อเธอมองเธอก็เห็นลู่เฉิงเฮ่าก็นั่งลงที่โซฟาเช่นกัน หลินอี้ก็รีบเอาเอกสารที่ถืออยู่ในมือวางบนโต๊ะชงชานั้นทันที เธออธิบายไปด้วยพร้อมพูดกับลู่เฉิงเฮ่าไปด้วยว่า : “คุณชายลู่คะ นี่คือชุดสูทและเสื้อเชิ้ตที่คุณสั่งค่ะ และนี่คืออาหารที่คุณโปรดปรานฉันได้แวะซื้อระหว่างทางที่มาที่นี่ค่ะ เมนูอาหารมีเกี๊ยวกุ้ง ซาลาเปา โจ๊กไก่ฝอย”
หลินอี้ตั้งใจไปหาข้อมูลเมนูอาหารที่ลู่เฉิงเฮ่าโปรดปรานกับพ่อครัวในบริษัท ดังนั้นเมื่อหลินอี้ซื้ออาหารเช้าเธอจึงได้เลือกสิ่งที่ลู่เฉิงเฮ่าชอบทานทั้งนั้น
เมื่อฟังสิ่งที่หลินอี้พูดแล้ว ลู่เฉิงเฮ่าพยักหน้าให้หลินอี้ด้วยความพึงพอใจอย่างมาก จากนั้นจึงหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าและพูดกับหลินอี้ว่า: “ตอนนี้คุณรอผมอยู่ข้างนอกก่อนนะ ผมจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้า”
หลินอี้ตอบด้วยความเคารพและรีบเดินออกจากห้องไป
หลังจากที่ลู่เฉิงเฮ่าเปลี่ยนเสื้อผ้าและแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว จึงเชิญให้หลินอี้เข้ามา หลินอี้ซื้ออาหารเช้ามาให้ลู่เฉิงเฮ่ามากมาย ลู่เฉิงเฮ่าทานคนเดียวไม่หมดแน่ และเมื่อคิดว่าหลินอี้ถูกเขาเรียกตัวมาแต่เช้าขนาดนี้เธอคงยังไม่ได้ทานอะไรเช่นกัน ลู่เฉิงเฮ่ารู้สึกอึดอัดเล็กน้อยพร้อมพูดกับหลินอี้ว่า:”เลขานุการหลิน คุณทานอาหารเช้าหรือยังครับ?”
ทันทีที่ลู่เฉิงเฮ่าพูดจบ หลินอี้ก็ตอบกลับทันทีว่า :”เธอรีบร้อนออกมาจึงยังไม่ทันได้ทานอะไร ……”
เมื่อลู่เฉิงเฮ่าได้ยินเช่นนั้นเขาจึงดันอาหารเช้าตรงหน้าเขาไปให้หลินอี้อย่างไม่ค่อยสบอารมณ์พร้อมพูดขึ้นว่า: “ในเมื่อยังไม่ได้ทานอะไรแล้วล่ะก็ ถ้าเช่นนั้นคุณก็นั่งลงและทานด้วยกันเถอะ ”
หลินอี้นั่งลงข้าง ๆลู่เฉิงเฮ่าเพื่อรับประทานอาหารเช้าด้วยกัน
หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จ ลู่เฉิงเฮ่าก็พาหลินอี้ไปที่บริษัททันที
บริษัทของลู่เฉิงเฮ่าเริ่มงานตอนเก้าโมง เมื่อลู่เฉิงเฮ่าออกเดินทางไปที่บริษัทมันก็ถือว่ามาถึงไม่เร็วหรือสายเกินไป เมื่อเขาเพิ่งก้าวเข้าไปในสำนักงานนั้น ลู่เฉิงเฮ่าก็ตั้งใจดูเวลาบนนาฬิกาข้อมือของตัวเอง เวลาคือ 9 โมง 5 นาที ในขณะนี้พนักงานทุกคนในบริษัทก็เริ่มทำงานกันแล้ว
ลู่เฉิงเฮ่าซึ่งเพิ่งนั่งลงบนเก้าอี้สำนักงานของเขาได้ไม่นานเขาก็พูดกับหลินอี้ที่กำลังจะเดินออกไปว่า: “หลินอี้คุณไปดูซิว่าเมื่อวานนี้ทางบริษัทได้รับสมัครพนักงานล่ามคนนั้นไว้ วันนี้ได้มาทำงานแล้วหรือยัง?”
เมื่อหลินอี้ได้ยินคำถามของลู่เฉิงเฮ่า เธอพยักหน้าและเดินออกจากสำนักงานของท่านประธานทันที ห้านาทีต่อมาหลินอี้ได้เคาะประตูและเดินเข้ามารายงานกับลู่เฉิงเฮ่าว่า: “คุณชายลู่คะ วันนี้ล่ามคนนั้นไม่ได้มาทำงานค่ะ”
เมื่อลู่เฉิงเฮ่าได้ยินว่าลั่วเสี่ยวชิงยังไม่ได้มาทำงาน คิ้วของเขาก็ขมวดขึ้นเล็กน้อย
ในใจรู้สึกเพียงว่าหงุดหงิดเล็กน้อยอย่างอธิบายไม่ถูก
ในขณะที่ลู่เฉิงเฮ่ากำลังคิดอยู่นั้น หลินอี้ที่ยืนอยู่ข้างๆเห็นสีหน้าท่าทางที่แสดงออกมาของลู่เฉิงเฮ่า และเธอทำลายบรรยากาศมาคุนั้นลง: “คุณชายลู่คะ ตอนนี้ล่ามคนนั้นไม่ได้มาทำงาน เราจะรับสมัครล่ามคนใหม่อีกครั้งไหมคะ?”
เมื่อฟังคำพูดของหลินอี้แล้ว ลู่เฉิงเฮ่ารีบโต้กลับโดยไม่รู้ตัวทันทีว่า: “ไม่ต้องแล้ว”
หลังจากพูดจบลู่เฉิงเฮ่าก็ตระหนักได้ว่าตัวเองนั้นโต้กลับเร็วเกินไป และเสริมเพิ่มอีกประโยคหนึ่งว่า: “ถ้าหากพรุ่งนี้เธอยังไม่มาทำงานแล้วล่ะก็ ถ้าเช่นนั้นคุณก็รับสมัครหาพนักงานใหม่ได้เลย”
หลินอี้โค้งคำนับตอบรับและเมื่อเห็นใบหน้าที่ไม่ค่อยสบอารมณ์ของลู่เฉิงเฮ่าแล้ว ในใจของเธอรู้สึกสงสัยเล็กน้อย แต่เธอเป็นแค่ผู้ช่วยเลขานุการ เธอไม่มีสิทธิ์ที่จะถามลู่เฉิงเฮ่าอะไรเพิ่มเติมได้อีก เธอรีบโค้งคำนับแล้วเดินออกจากห้องทันที
อีกด้านหนึ่ง ลั่วเสี่ยวชิงซึ่งนอนอยู่ในผ้าห่มเธอหลับแบบเอาเป็นเอาตายมาก โดยเธอลืมไปจนหมดสิ้นว่าวันนี้ตัวเองนั้นต้องไปทำงาน
ท้ายที่สุดเป็นเพราะว่ามู่ซีซีกำลังคิดว่าวันนี้ลั่วเสี่ยวชิงต้องไปเริ่มทำงานในบริษัทของลู่เฉิงเฮ่า และเธอกลัวว่าลั่วเสี่ยวชิงจะไม่คุ้นเคยกับการทำงานที่ใหม่แบบนี้ ดังนั้นเธอจึงถือโอกาสในช่วงพักกลางวันโทรหาลั่วเสี่ยวชิง
ลั่วเสี่ยวชิงที่กำลังหลับอยู่ถูกปลุกด้วยเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ที่คุ้นเคย เธอลืมตาขึ้นด้วยความงุนงงและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจากด้านข้าง และมองไปที่หน้าจอก็เห็นว่าคนที่โทรเข้ามาคือมู่ซีซี ลั่วเสี่ยวชิงจึงฝืนลืมตาขึ้นมา กดปุ่มรับและวางโทรศัพท์แนบหู: “ซีซี
……”
มู่ซีซีและลั่วเสี่ยวชิงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมานานกว่าสิบปีแล้ว เมื่อมู่ซีซีได้ยินลั่วเสี่ยวชิงเรียกเธอว่าซีซี เธอก็รู้ได้ทันทีว่าน้ำเสียงที่งัวเงียของลั่วเสี่ยวชิงเช่นนี้เป็นเพราะลั่วเสี่ยวชิงยังไม่ตื่นนอน
มู่ซีซีอดไม่ได้ที่จะจับโทรศัพท์มือถือแน่นพร้อมพูดขึ้นว่า: “เสี่ยวชิง นี่เกิดอะไรขึ้นกับเธอหรือเปล่าเนี่ย ทำไมฟังน้ำเสียงของเธอแล้วเหมือนเธอยังไม่ตื่นนอน อย่าบอกนะว่าตอนนี้เธอยังนอนไม่ตื่นอีกอ่ะ ……”
ลั่วเสี่ยวชิงไม่ได้วางแผนที่จะบอกมู่ซีซีเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากการดื่มจนเมาแล้วมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับลู่เฉิงเฮ่าเมื่อคืนนี้ เธอกลัวว่ามู่ซีซีจะเป็นห่วงเธอ อีกทั้งตอนนี้มู่ซีซีก็กำลังอยู่เดือนอีกด้วย
ดังนั้นลั่วเสี่ยวชิงจึงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้น้ำเสียงของตัวเองสดใสมากที่สุดพร้อมพูดขึ้นว่า: “อืม เมื่อคืนนี้ฉันนอนไม่ค่อยหลับ วันนี้จึงอยากนอนตื่นสายซะหน่อย ฉันนอนหลับไม่รู้ตัวจนกระทั่งถูกปลุกด้วยโทรศัพท์ของเธอ……”
มู่ซีซีคาดไม่ถึงว่าตัวเองจะคาดเดาได้ไม่มีผิดจริงๆ และเมื่อฟังคำพูดของลั่วเสี่ยวชิงในตอนนี้แล้ว ดูเหมือนว่าเธอจะลืมไปจนหมดสิ้นแล้วว่าในวันนี้เธอต้องไปทำงาน
มู่ซีซีรู้สึกว่าในฐานะที่ตัวเองเป็นเพื่อนที่ดีของลั่วเสี่ยวชิงเธอจึงจำเป็นต้องพูดเตือนลั่วเสี่ยวชิงสักหน่อย
ในขณะที่คิดอยู่นั้นมู่ซีซีก็พูดด้วยน้ำเสียงที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก: ” เสี่ยวชิงเพื่อนรัก เอ่อ ฉันต้องเตือนเธอสักหน่อยว่าวันนี้เธอยังต้องไปทำงานในบริษัทของลู่เฉิงเฮ่านะ เมื่อวานเธอเพิ่งผ่านการสอบสัมภาษณ์และตกลงจะไปเริ่มงานวันนี้ไม่ใช่หรอกเหรอ?”
แน่นอนว่าหลังจากมู่ซีซีพูดจบ ลั่วเสี่ยวชิงที่อยู่ปลายสายได้ยินคำพูดของมู่ซีซีแล้ว เธอก็ต้องตกใจจนรีบลุกจากบนที่นอนอุ่น ๆทันที
ในขณะนี้ลั่วเสี่ยวชิงที่ถือโทรศัพท์อยู่นั้นก็ตาสว่างขึ้นทันที เธอรีบเหลือบดูเวลาบนนาฬิกาแขวนบนผนังและเห็นว่าตอนนี้เป็นเวลาบ่ายโมงแล้ว!
ลั่วเสี่ยวชิงจำได้อย่างชัดเจนว่าเวลาทำงานที่เลขานุการหลินบอกเธอนั้นคือเก้าโมงเช้า!
หมดกัน หมดกัน เธอเพิ่งหางานทำได้เองนะเนี่ย ! ! ! เงินเดือนเดือนละ 6,000เชียวนะ! ! ! !
ลั่วเสี่ยวชิงอยากจะร้องไห้และอยากจะตายจริง ๆเลย เธอรีบพูดกับมู่ซีซีที่อยู่ปลายสายว่า: “ซีซี ฉันตายแน่ ตอนนี้สายไปครึ่งวันแล้ว โอ๊ย ตายๆๆๆ เอาล่ะไว้ค่อยคุยกันใหม่นะ ฉันจะลองไปดูว่าจะมีโอกาสอีกไหม คืนนี้ค่อยโทรหาเธอใหม่นะ ”
เมื่อลู่เฉิงเฮ่าเห็นหลินอี้ยืนอยู่ข้างนอกแต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร เขาพยักหน้าให้กับหลินอี้แล้วหันหลังเดินเข้าไปในห้องทันที
หลินอี้ซึ่งยืนอยู่ที่ประตูก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองเรือนร่างเปลือยเปล่าของลู่เฉิงเฮ่า
เมื่อชำเลืองมอง หลินอี้ก็มองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าบนหลังของหลินอี้มีรอยขีดข่วนเล็กน้อย ทันทีที่หลินอี้เห็นรอยขีดข่วนนั้นก็รู้ได้ทันทีว่ามันเกิดจากผู้หญิงเป็นคนกระทำอย่างแน่นอน
แววตาของหลินอี้ก็เปลี่ยนไปทันที แต่เมื่อลู่เฉิงเฮ่าหันกลับมามองเธอ เธอก็เริ่มเปลี่ยนสีหน้าให้กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
หลินอี้ดูไม่ผิดอย่างแน่นอน รอยขีดข่วนบนแผ่นหลังของลู่เฉิงเฮ่านั้นเป็นเพราะลั่วเสี่ยวชิงเป็นคนข่วนทั้งหมดนั่นเอง เมื่อคืนนี้ลั่วเสี่ยวชิงรู้สึกเจ็บอย่างมาก ในขณะที่เธอโอบกอดลู่เฉิงเฮ่าอยู่นั้น เธอก็อดไม่ได้ที่ใช้เล็บของเธอข่วนบนหลังของลู่เฉิงเฮ่า
“เลขาหลิน คุณยืนทำอะไรโง่ๆ อยู่ที่หน้าประตูล่ะ? เข้ามาสิ”
เมื่อได้ยินเสียงของลู่เฉิงเฮ่า หลินอี้จึงรีบเดินเข้าไปในห้องและเดินตามหลังลู่เฉิงเฮ่าไปจากนั้นก็นั่งพักที่โซฟา และเมื่อเธอมองเธอก็เห็นลู่เฉิงเฮ่าก็นั่งลงที่โซฟาเช่นกัน หลินอี้ก็รีบเอาเอกสารที่ถืออยู่ในมือวางบนโต๊ะชงชานั้นทันที เธออธิบายไปด้วยพร้อมพูดกับลู่เฉิงเฮ่าไปด้วยว่า : “คุณชายลู่คะ นี่คือชุดสูทและเสื้อเชิ้ตที่คุณสั่งค่ะ และนี่คืออาหารที่คุณโปรดปรานฉันได้แวะซื้อระหว่างทางที่มาที่นี่ค่ะ เมนูอาหารมีเกี๊ยวกุ้ง ซาลาเปา โจ๊กไก่ฝอย”
หลินอี้ตั้งใจไปหาข้อมูลเมนูอาหารที่ลู่เฉิงเฮ่าโปรดปรานกับพ่อครัวในบริษัท ดังนั้นเมื่อหลินอี้ซื้ออาหารเช้าเธอจึงได้เลือกสิ่งที่ลู่เฉิงเฮ่าชอบทานทั้งนั้น
เมื่อฟังสิ่งที่หลินอี้พูดแล้ว ลู่เฉิงเฮ่าพยักหน้าให้หลินอี้ด้วยความพึงพอใจอย่างมาก จากนั้นจึงหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าและพูดกับหลินอี้ว่า: “ตอนนี้คุณรอผมอยู่ข้างนอกก่อนนะ ผมจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้า”
หลินอี้ตอบด้วยความเคารพและรีบเดินออกจากห้องไป
หลังจากที่ลู่เฉิงเฮ่าเปลี่ยนเสื้อผ้าและแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว จึงเชิญให้หลินอี้เข้ามา หลินอี้ซื้ออาหารเช้ามาให้ลู่เฉิงเฮ่ามากมาย ลู่เฉิงเฮ่าทานคนเดียวไม่หมดแน่ และเมื่อคิดว่าหลินอี้ถูกเขาเรียกตัวมาแต่เช้าขนาดนี้เธอคงยังไม่ได้ทานอะไรเช่นกัน ลู่เฉิงเฮ่ารู้สึกอึดอัดเล็กน้อยพร้อมพูดกับหลินอี้ว่า:”เลขานุการหลิน คุณทานอาหารเช้าหรือยังครับ?”
ทันทีที่ลู่เฉิงเฮ่าพูดจบ หลินอี้ก็ตอบกลับทันทีว่า :”เธอรีบร้อนออกมาจึงยังไม่ทันได้ทานอะไร ……”
เมื่อลู่เฉิงเฮ่าได้ยินเช่นนั้นเขาจึงดันอาหารเช้าตรงหน้าเขาไปให้หลินอี้อย่างไม่ค่อยสบอารมณ์พร้อมพูดขึ้นว่า: “ในเมื่อยังไม่ได้ทานอะไรแล้วล่ะก็ ถ้าเช่นนั้นคุณก็นั่งลงและทานด้วยกันเถอะ ”
หลินอี้นั่งลงข้าง ๆลู่เฉิงเฮ่าเพื่อรับประทานอาหารเช้าด้วยกัน
หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จ ลู่เฉิงเฮ่าก็พาหลินอี้ไปที่บริษัททันที
บริษัทของลู่เฉิงเฮ่าเริ่มงานตอนเก้าโมง เมื่อลู่เฉิงเฮ่าออกเดินทางไปที่บริษัทมันก็ถือว่ามาถึงไม่เร็วหรือสายเกินไป เมื่อเขาเพิ่งก้าวเข้าไปในสำนักงานนั้น ลู่เฉิงเฮ่าก็ตั้งใจดูเวลาบนนาฬิกาข้อมือของตัวเอง เวลาคือ 9 โมง 5 นาที ในขณะนี้พนักงานทุกคนในบริษัทก็เริ่มทำงานกันแล้ว
ลู่เฉิงเฮ่าซึ่งเพิ่งนั่งลงบนเก้าอี้สำนักงานของเขาได้ไม่นานเขาก็พูดกับหลินอี้ที่กำลังจะเดินออกไปว่า: “หลินอี้คุณไปดูซิว่าเมื่อวานนี้ทางบริษัทได้รับสมัครพนักงานล่ามคนนั้นไว้ วันนี้ได้มาทำงานแล้วหรือยัง?”
เมื่อหลินอี้ได้ยินคำถามของลู่เฉิงเฮ่า เธอพยักหน้าและเดินออกจากสำนักงานของท่านประธานทันที ห้านาทีต่อมาหลินอี้ได้เคาะประตูและเดินเข้ามารายงานกับลู่เฉิงเฮ่าว่า: “คุณชายลู่คะ วันนี้ล่ามคนนั้นไม่ได้มาทำงานค่ะ”
เมื่อลู่เฉิงเฮ่าได้ยินว่าลั่วเสี่ยวชิงยังไม่ได้มาทำงาน คิ้วของเขาก็ขมวดขึ้นเล็กน้อย
ในใจรู้สึกเพียงว่าหงุดหงิดเล็กน้อยอย่างอธิบายไม่ถูก
ในขณะที่ลู่เฉิงเฮ่ากำลังคิดอยู่นั้น หลินอี้ที่ยืนอยู่ข้างๆเห็นสีหน้าท่าทางที่แสดงออกมาของลู่เฉิงเฮ่า และเธอทำลายบรรยากาศมาคุนั้นลง: “คุณชายลู่คะ ตอนนี้ล่ามคนนั้นไม่ได้มาทำงาน เราจะรับสมัครล่ามคนใหม่อีกครั้งไหมคะ?”
เมื่อฟังคำพูดของหลินอี้แล้ว ลู่เฉิงเฮ่ารีบโต้กลับโดยไม่รู้ตัวทันทีว่า: “ไม่ต้องแล้ว”
หลังจากพูดจบลู่เฉิงเฮ่าก็ตระหนักได้ว่าตัวเองนั้นโต้กลับเร็วเกินไป และเสริมเพิ่มอีกประโยคหนึ่งว่า: “ถ้าหากพรุ่งนี้เธอยังไม่มาทำงานแล้วล่ะก็ ถ้าเช่นนั้นคุณก็รับสมัครหาพนักงานใหม่ได้เลย”
หลินอี้โค้งคำนับตอบรับและเมื่อเห็นใบหน้าที่ไม่ค่อยสบอารมณ์ของลู่เฉิงเฮ่าแล้ว ในใจของเธอรู้สึกสงสัยเล็กน้อย แต่เธอเป็นแค่ผู้ช่วยเลขานุการ เธอไม่มีสิทธิ์ที่จะถามลู่เฉิงเฮ่าอะไรเพิ่มเติมได้อีก เธอรีบโค้งคำนับแล้วเดินออกจากห้องทันที
อีกด้านหนึ่ง ลั่วเสี่ยวชิงซึ่งนอนอยู่ในผ้าห่มเธอหลับแบบเอาเป็นเอาตายมาก โดยเธอลืมไปจนหมดสิ้นว่าวันนี้ตัวเองนั้นต้องไปทำงาน
ท้ายที่สุดเป็นเพราะว่ามู่ซีซีกำลังคิดว่าวันนี้ลั่วเสี่ยวชิงต้องไปเริ่มทำงานในบริษัทของลู่เฉิงเฮ่า และเธอกลัวว่าลั่วเสี่ยวชิงจะไม่คุ้นเคยกับการทำงานที่ใหม่แบบนี้ ดังนั้นเธอจึงถือโอกาสในช่วงพักกลางวันโทรหาลั่วเสี่ยวชิง
ลั่วเสี่ยวชิงที่กำลังหลับอยู่ถูกปลุกด้วยเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ที่คุ้นเคย เธอลืมตาขึ้นด้วยความงุนงงและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจากด้านข้าง และมองไปที่หน้าจอก็เห็นว่าคนที่โทรเข้ามาคือมู่ซีซี ลั่วเสี่ยวชิงจึงฝืนลืมตาขึ้นมา กดปุ่มรับและวางโทรศัพท์แนบหู: “ซีซี
……”
มู่ซีซีและลั่วเสี่ยวชิงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมานานกว่าสิบปีแล้ว เมื่อมู่ซีซีได้ยินลั่วเสี่ยวชิงเรียกเธอว่าซีซี เธอก็รู้ได้ทันทีว่าน้ำเสียงที่งัวเงียของลั่วเสี่ยวชิงเช่นนี้เป็นเพราะลั่วเสี่ยวชิงยังไม่ตื่นนอน
มู่ซีซีอดไม่ได้ที่จะจับโทรศัพท์มือถือแน่นพร้อมพูดขึ้นว่า: “เสี่ยวชิง นี่เกิดอะไรขึ้นกับเธอหรือเปล่าเนี่ย ทำไมฟังน้ำเสียงของเธอแล้วเหมือนเธอยังไม่ตื่นนอน อย่าบอกนะว่าตอนนี้เธอยังนอนไม่ตื่นอีกอ่ะ ……”
ลั่วเสี่ยวชิงไม่ได้วางแผนที่จะบอกมู่ซีซีเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากการดื่มจนเมาแล้วมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับลู่เฉิงเฮ่าเมื่อคืนนี้ เธอกลัวว่ามู่ซีซีจะเป็นห่วงเธอ อีกทั้งตอนนี้มู่ซีซีก็กำลังอยู่เดือนอีกด้วย
ดังนั้นลั่วเสี่ยวชิงจึงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้น้ำเสียงของตัวเองสดใสมากที่สุดพร้อมพูดขึ้นว่า: “อืม เมื่อคืนนี้ฉันนอนไม่ค่อยหลับ วันนี้จึงอยากนอนตื่นสายซะหน่อย ฉันนอนหลับไม่รู้ตัวจนกระทั่งถูกปลุกด้วยโทรศัพท์ของเธอ……”
มู่ซีซีคาดไม่ถึงว่าตัวเองจะคาดเดาได้ไม่มีผิดจริงๆ และเมื่อฟังคำพูดของลั่วเสี่ยวชิงในตอนนี้แล้ว ดูเหมือนว่าเธอจะลืมไปจนหมดสิ้นแล้วว่าในวันนี้เธอต้องไปทำงาน
มู่ซีซีรู้สึกว่าในฐานะที่ตัวเองเป็นเพื่อนที่ดีของลั่วเสี่ยวชิงเธอจึงจำเป็นต้องพูดเตือนลั่วเสี่ยวชิงสักหน่อย
ในขณะที่คิดอยู่นั้นมู่ซีซีก็พูดด้วยน้ำเสียงที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก: ” เสี่ยวชิงเพื่อนรัก เอ่อ ฉันต้องเตือนเธอสักหน่อยว่าวันนี้เธอยังต้องไปทำงานในบริษัทของลู่เฉิงเฮ่านะ เมื่อวานเธอเพิ่งผ่านการสอบสัมภาษณ์และตกลงจะไปเริ่มงานวันนี้ไม่ใช่หรอกเหรอ?”
แน่นอนว่าหลังจากมู่ซีซีพูดจบ ลั่วเสี่ยวชิงที่อยู่ปลายสายได้ยินคำพูดของมู่ซีซีแล้ว เธอก็ต้องตกใจจนรีบลุกจากบนที่นอนอุ่น ๆทันที
ในขณะนี้ลั่วเสี่ยวชิงที่ถือโทรศัพท์อยู่นั้นก็ตาสว่างขึ้นทันที เธอรีบเหลือบดูเวลาบนนาฬิกาแขวนบนผนังและเห็นว่าตอนนี้เป็นเวลาบ่ายโมงแล้ว!
ลั่วเสี่ยวชิงจำได้อย่างชัดเจนว่าเวลาทำงานที่เลขานุการหลินบอกเธอนั้นคือเก้าโมงเช้า!
หมดกัน หมดกัน เธอเพิ่งหางานทำได้เองนะเนี่ย ! ! ! เงินเดือนเดือนละ 6,000เชียวนะ! ! ! !
ลั่วเสี่ยวชิงอยากจะร้องไห้และอยากจะตายจริง ๆเลย เธอรีบพูดกับมู่ซีซีที่อยู่ปลายสายว่า: “ซีซี ฉันตายแน่ ตอนนี้สายไปครึ่งวันแล้ว โอ๊ย ตายๆๆๆ เอาล่ะไว้ค่อยคุยกันใหม่นะ ฉันจะลองไปดูว่าจะมีโอกาสอีกไหม คืนนี้ค่อยโทรหาเธอใหม่นะ ”

รักเธอยิ่งกว่าชีวา คะนึงหาเธอจนเป็นนิจ

รักเธอยิ่งกว่าชีวา คะนึงหาเธอจนเป็นนิจ

ความบ้าเพียงชั่วข้ามคืน เธอสูญเสียร่างกาย เขาสูญเสียหัวใจ เมื่อพวกเขาพบกันอีกครั้ง ทันใดนั้นเขาก็กลายเป็นสิ่งที่เรียกว่าพี่เขยของเธอ! เธอวิ่งหนีไปด้วยความตื่นตระหนก เขากดทุกย่างก้าวไว้ และทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อโอบเธอไว้ในอ้อมแขนของเขา! จากที่คิดว่าเขารับเธอยิ่งกว่าชีวิต เและคิดว่าการได้พบกับเขาเป็นสิ่งที่โชคดีที่สุดในชีวิตของเธอ ความจริงก็ถูกเปิดเผย ปรากฎว่าตั้งแต่ต้นจนจบเธอกลายเป็นตัวตลกที่น่าสงสารที่สุด! จี้หลิงชวน ฉันหวังว่าฉันจะไม่ต้องพบคุณอีกในชีวิตนี้! —— มู่ซีซี

Comment

Options

not work with dark mode
Reset