รักเธอยิ่งกว่าชีวา คะนึงหาเธอจนเป็นนิจ – ตอนที่ 51 ขีดจำกัดของมู่อวี๋เฟย

มู่ซีซีสะบัดหน้าแล้วเดินออกจากอาคารบริษัทจี้ทันที
ในแผนกฝ่ายบุคคล มู่อวี๋เฟยแสดงท่าทางวางมาดบาตรใหญ่ว่าตัวเองนั้นเป็นภรรยาของท่านประธานบริษัท และพูดคุยโอ้อวดกับหัวหน้าฝ่ายบุคคลเป็นเวลานานมาก จุดประสงค์เพื่อต้องการสืบข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับมู่ซีซีจากหัวหน้าฝ่ายบุคคลแต่กลับไม่ได้ข้อมูลอะไรเลยแม้แต่น้อย
หัวหน้าฝ่ายบุคคลบอกเพียงแค่ว่าทางโรงเรียนเป็นคนแนะนำมาเท่านั้น และเนื่องจากบริษัทจี้ขาดตำแหน่งผู้ช่วยนักแปลเอกสารอยู่หนึ่งตำแหน่ง ดังนั้นจึงรับมู่ซีซีเข้ามาทำงานในบริษัท
มู่อวี๋เฟยคิดว่าเธอคงไม่ได้ข้อมูลไปมากกว่านี้เธอจึงเลิกถาม หลังจากที่เธอออกจากแผนกฝ่ายบุคคลแล้ว เธอก็ขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้น 28
บนชั้น 28 ของอาคารบริษัทจี้ ซึ่งเป็นเหมือนบริเวณเขตหวงห้าม
จะไม่อนุญาตให้พนักงานทั่วไปเข้าไปในชั้น 28 เด็ดขาด เนื่องจากชั้น 28 ทั้งหมดมีสำนักงานเพียง 2 ห้องเท่านั้น ได้แก่ ห้องทำงานของประธานบริษัทและห้องทำงานเลขานุการของท่านประธานบริษัทเท่านั้น ส่วนห้องอื่นๆเป็นห้องประชุมระดับไฮเอนด์ทั้งหมด
ทันทีที่มู่อวี๋เฟยก้าวขึ้นลิฟต์ไปบนชั้น 28 เธอก็ไม่สามารถซ่อนรอยยิ้มแห่งความสุขบนใบหน้านั้นได้
มันช่างเป็นเรื่องดีจริงๆ ต่อไปนี้เธอก็สามารถทำงานอยู่ที่นี่ และเธอยังสามารถได้อยู่ใกล้ชิดกับจี้หลินชวนทุกวันอีกด้วย
ในขณะที่กำลังคิดอยู่นั้นมู่อวี๋เฟยก็เดินก้าวไปข้างหน้าอย่างสบายใจ เธอใส่รองเท้าส้นสูงเดินเสียงดังตึกตัก เสียงฝีเท้านั้นดังถี่ขึ้นและเดินเร็วขึ้น เธอเดินตรงไปที่ห้องทำงานของท่านประธานบริษัทอย่างรวดเร็ว
เป็นเวลาหลายวันแล้วที่เธอไม่ได้เจอจี้หลิงชวน
ในขณะที่มู่อวี๋เฟยกำลังคิดอยู่นั้น เธอก็เอื้อมมือไปเคาะประตูห้องทำงานของท่านประธานบริษัท
จี้หลิงชวนที่กำลังดูเอกสารในห้องทำงานผู้บริหาร ทันทีที่ได้ยินเสียงเคาะประตู เขาที่กำลังเซ็นเอกสารอยู่ก็ต้องหยุดชะงักไป เขาคิดว่าเป็นฟางเซิ่งเสียอีกที่เคาะประตู ในบริษัทจี้แห่งนี้ ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากเขาให้เคาะประตูก็จะไม่มีพนักงานคนไหนที่กล้าทำเช่นนี้!
“เข้ามา!” จี้หลิงชวนตอบกลับ แล้วเขาก็ก้มลงไปดูแฟ้มเอกสารต่อไป
เมื่อเสียงนั้นจบลง และประตูห้องทำงานผู้บริหารก็ถูกผลักเปิดออกทันที ตามด้วยเสียงของรองเท้าส้นสูงเสียงดังตึกตักเป็นจังหวะเดินก้าวเข้ามาใกล้
ทันทีที่จี้หลิงชวนได้ยินเสียงรองเท้าส้นสูงนั้น จี้หลิงชวนก็เงยหน้าขึ้นเหลือบมองไปทางคนที่กำลังเดินเข้ามา
เขามองมู่อวี๋เฟยที่ตัวแข็งทื่ออย่างเย็นชาและไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่นัก
รอยยิ้มบนใบหน้าของมู่อวี๋เฟยหายไปในทันที และเธอไม่กล้าที่จะมองตรงไปที่ดวงตาอันแสนเย็นชาของจี้หลิงชวนโดยตรง
เธอตกอยู่ในภาวะชะงักงันและยืนนิ่งตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิม และรู้สึกผิดที่เพิ่งเคาะประตูอย่างประมาทเลินเล่อแล้วเดินตรงเข้ามาเลย
บรรยากาศในห้องล้วนเต็มไปด้วยความอึดอัด
น้ำเสียงเย็นชาของจี้หลิงชวนได้ทำลายความเงียบนั้นลง: “มู่อวี๋เฟย ทำไมเธอถึงมาที่นี่ได้!!!”
จี้หลิงชวนคิ้วขมวดแน่นอย่างเห็นได้ชัดว่าในขณะนี้เขารู้สึกอารมณ์เสียมาก!
หลังจากที่ได้ยินน้ำเสียงของจี้หลิงชวนแล้วทำให้มู่อวี๋เฟยตัวสั่นด้วยความกลัว เธอรีบเงยหน้าขึ้นมองจี้หลิงชวนด้วยความรู้สึกผิดแล้วรีบอธิบายว่า: “คุณชายจี้คะ คือว่าฉัน คุณย่าเป็นคนสั่งให้ฉันมาทำงานที่บริษัทจี้ค่ะ …… ”
ทันทีที่เขาได้ยินคำว่าคุณย่า คิ้วที่ขมวดอยู่แล้วของจี้หลิงชวนก็ขมวดคิ้วแน่นขึ้นไปอีก: “คุณย่าให้คุณมาทำงานที่นี้ทำไม?”
ด้วยความกลัว มู่อวี๋เฟยจึงรีบก้มศีรษะลงอย่างรวดเร็วพร้อมส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ให้ฉันมาเป็นผู้ช่วยเลขาของท่านประธานค่ะ……”
ในขณะที่ฟังมู่อวี๋เฟยพูดอยู่นั้น นัยน์ตาของจี้หลิงชวนที่ไม่อาจคาดเดาได้ และเขาก็เหลือบมองมู่อวี๋เฟยด้วยสายตาที่เย็นชา: “คุณออกไปก่อน! ถ้าหากไม่ได้รับอนุญาตจากผมคุณห้ามเข้ามาโดยเด็ดขาด!”
เมื่อได้ยินจี้หลิงชวนพูดแบบนั้นแล้ว มู่อวี๋เฟยก็รีบเดินออกจากห้องทำงานด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความประหม่าทันที
ทันทีที่มู่อวี๋เฟยออกจากห้องไป จี้หลิงชวนรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหาคุณย่าด้วยใบหน้าที่นิ่งเรียบทันที
หลังจากที่รอสายสักครู่ ก็มีคนรับสาย และเสียงของนายหญิงจี้ก็ดังขึ้น: “โอ้ หลิงชวนเหรอลูก ร้อยวันพันปีไม่เคยเคยโทรหาคุณย่าเลย วันนี้มีอะไรถึงได้โทรหาคุณย่า”
เมื่อได้ฟังในสิ่งที่คุณย่าพูดแล้ว จี้หลิงชวนก็ยกมือขึ้นและนวดตรงกลางระหว่างคิ้วของตัวเอง จากนั้นเขาก็พูดว่า: “คุณย่าครับ วันนี้สุขภาพของคุณย่าดีขึ้นไหมครับ?”
นายหญิงจี้* เมื่อได้ยินน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยของหลานชาย คุณย่ารีบตอบกลับอย่างมีความสุขว่า:“ดีขึ้นมากแล้วล่ะ ตั้งแต่หลานแต่งงาน สุขภาพของคุณย่าก็ดีขึ้นมากเลย”
จี้หลิงชวนพูดอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์สักเท่าไหร่: “คุณย่าครับ ทำไมคุณย่าถึงต้องให้มู่อวี๋เฟยมาทำงานที่บริษัทจี้ด้วยล่ะครับ?”
“แล้วทำไมเธอถึงไปทำงานที่บริษัทจี้ไม่ได้ด้วยล่ะ? ตอนนี้มู่อวี๋เฟยก็เป็นคุณหญิงของตระกูลจี้ มันก็เป็นธรรมดาที่จะไปทำงานที่บริษัทจี้ไม่ใช่เหรอ!” นายหญิงจี้* พูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง ราวกับว่ารู้ทันหลานชายของตัวเองกำลังคิดจะขับไล่มู่อวี๋เฟยออกจากบริษัทยังไงยังงั้นแหล่ะ นายหญิงจี้* ด้วยความที่รู้สึกยังไม่วางใจเลยเสริมเพิ่มอีกหนึ่งประโยคว่า: “หลิงชวน คุณย่าขอพูดไว้ตรงนี้เลยนะว่าการที่ให้มู่อวี๋เฟยไปทำงานในบริษัทจี้นั้นเป็นความต้องการของคุณย่าเอง หลานห้ามขับไล่มู่อวี๋เฟยออกจากบริษัทโดยเด็ดขาด! เว้นแต่ว่าหลานอยากให้อาการของคุณย่าทรุดลงไปมากกว่านี้ ถ้าเช่นนั้นหลานก็ไล่มู่อวี๋เฟยออกจากบริษัทได้เลย!”
หลังจากฟังคำพูดของคุณย่าแล้ว จี้หลิงชวนทำได้เพียงเลิกล้มความคิดของตัวเองที่จะไล่มู่อวี๋เฟยออกจากบริษัทจี้ทันที
จี้หลิงชวนแตะหน้าผากของเขาอย่างเซ็งๆ: “คุณย่าครับ คุณอย่าเป็นแบบนี้ได้ไหมครับ?”
นายหญิงจี้* ทำน้ำเสียงฮึ่มเบาๆ: “หลิงชวน ถ้าหลานเชื่อฟังคุณย่าตั้งแต่แรกให้รีบแต่งงาน คุณย่าคงไม่ต้องมาบังคับหลานอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้หรอกนะ?”
ในขณะที่นายหญิงจี้พูดอยู่นั้น* น้ำเสียงก็ค่อยๆจริงจังขึ้นอีกครั้ง: “หลิงชวน ในเมื่อตอนนี้หลานก็ได้แต่งงานกับมู่อวี๋เฟยแล้ว ฉะนั้นหลานก็ต้องรับผิดชอบทุกสิ่งอย่าง ทำดีกับเธอหน่อย ย่าคิดว่ามู่อวี๋เฟยก็เป็นผู้หญิงที่ดีคนหนึ่ง และที่สำคัญคุณย่าก็มองออกว่า มู่อวี๋เฟยนั้นเธอรักหลานมากเลยนะ ”
ก่อนที่นายหญิงจี้จะพูดจบ* เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่มีความสุขอีกครั้งว่า:“หลิงชวน หลานทำตามที่คุณย่าบอกเถอะ ทำดีต่อมู่อวี๋เฟยให้มาก ค่อยๆสร้างความสัมพันธ์ที่ดีซึ่งกันและกัน และมีเหลนให้คุณย่าอุ้มเร็วๆ”
จี้หลิงชวนเม้มริมฝีปากโดยไม่พูดอะไรสักคำ เขากลัวว่าถ้าปฏิเสธคุณย่ามันจะทำให้อาการของคุณย่าแย่ลงกว่าเดิม เขาจึงเลือกจบการสนทนาและวางสายไปก่อน
เมื่อนึกถึงคำพูดประโยคสุดท้ายของคุณย่าแล้ว จี้หลิงชวนก็ขมวดคิ้วอย่างแรง ทั้งที่ความจริงแล้วนั้นเขาไม่ชอบเด็กเลยสักนิด และยิ่งไปกว่านั้นมันเป็นไปไม่ได้เลยว่าเขาจะมีลูกกับคนที่ตัวเองไม่ได้รัก
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ถึงแม้ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและมู่ซีซีนั้นจะยุ่งเหยิงวุ่นวายขนาดไหน แต่จี้หลิงชวนนั้นได้เตรียมการเอาไว้หมดแล้ว
เพราะในหัวใจของจี้หลิงชวนนั้น ในชีวิตนี้มีผู้หญิงเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะสามารถมีลูกให้กับจี้หลิงชวนได้! นั้นก็คือชูเหยา!
นอกจากเธอแล้ว จี้หลิงชวนจะไม่มีวันยอมมีลูกกับผู้หญิงคนไหนอีกเด็ดขาด
เมื่อนึกถึงชูเหยา สีหน้าของจี้หลิงชวนก็เปลี่ยนไปเศร้าหมองและเย็นชาทันที และเขาก็แอบสูดหายใจเข้าลึกๆ สักสองสามครั้งเพื่อระงับอารมณ์ที่ซับซ้อนในใจและเพื่อเรียกสติกลับคืนมา มันช่วยทำให้ข้างในจิตใจของเขารู้สึกสงบขึ้นได้
จี้หลิงชวนยกมือขึ้นและนวดระหว่างคิ้ว ดวงตาสีเข้มวาววับวาววับไม่อาจคาดเดาได้ ในตอนนี้ดูเหมือนว่าจะทำได้เพียงยอมให้มู่อวี๋เฟยทำงานที่บริษัทจี้ไปก่อนเท่านั้น!
มิฉะนั้น หากทำให้คุณย่าเครียดจนอาการป่วยของคุณย่ากำเริบ มันจะได้ไม่คุ้มเสีย!
ในขณะที่คิดอยู่นั้นสีหน้าของจี้หลิงชวนดูเคร่งเครียด เขายกหูโทรศัพท์บนโต๊ะขึ้นรีบกดโทรหาฟางเซิ่งทันที
โทรศัพท์นั้นได้รับการเชื่อมต่อกันอย่างรวดเร็ว และจี้หลิงชวนก็รีบสั่งการในโทรศัพท์กับฟางเซิ่งทันทีว่า: “เวลานี้มู่อวี๋เฟยน่าจะยังยืนอยู่หน้าประตูห้องทำงานของผม ตอนนี้คุณช่วยออกมาพาเธอไปที่ห้องทำงานของคุณที และจัดเตรียมโต๊ะทำงานให้กับเธอด้วย คุณย่าส่งให้เธอมาทำหน้าที่ผู้ช่วยเลขานุการ คุณช่วยดูแลเธอก่อนแล้วกัน แต่ยังไม่ต้องให้เธอทำอะไรทั้งสิ้น!คุณทำแค่เพียงคอยสังเกตเธออยู่ห่างๆเท่านั้น และอย่าให้เธอมาปรากฏตัวต่อหน้าผมอีกเท่านั้นก็พอแล้ว!”

รักเธอยิ่งกว่าชีวา คะนึงหาเธอจนเป็นนิจ

รักเธอยิ่งกว่าชีวา คะนึงหาเธอจนเป็นนิจ

ความบ้าเพียงชั่วข้ามคืน เธอสูญเสียร่างกาย เขาสูญเสียหัวใจ เมื่อพวกเขาพบกันอีกครั้ง ทันใดนั้นเขาก็กลายเป็นสิ่งที่เรียกว่าพี่เขยของเธอ! เธอวิ่งหนีไปด้วยความตื่นตระหนก เขากดทุกย่างก้าวไว้ และทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อโอบเธอไว้ในอ้อมแขนของเขา! จากที่คิดว่าเขารับเธอยิ่งกว่าชีวิต เและคิดว่าการได้พบกับเขาเป็นสิ่งที่โชคดีที่สุดในชีวิตของเธอ ความจริงก็ถูกเปิดเผย ปรากฎว่าตั้งแต่ต้นจนจบเธอกลายเป็นตัวตลกที่น่าสงสารที่สุด! จี้หลิงชวน ฉันหวังว่าฉันจะไม่ต้องพบคุณอีกในชีวิตนี้! —— มู่ซีซี

Comment

Options

not work with dark mode
Reset