รัตติกาลไม่สิ้นแสง – ตอนที่ 28 เข้าเมือง

ไป๋เฉินเงียบงันไปชั่วครู่ กวาดตามองซ้ายขวาแล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

“คุณยังรับคนเร่ร่อนแดนร้างเข้ามาอยู่อีกไหม”

เถียนเอ้อร์เหอมองตามสายตาเธอไปยังเต็นท์เก่าทรุดโทรม

“ไม่แล้วล่ะ” เขาทอดถอนใจออกมา “ที่นาแทบจะไม่พอแบ่งแล้ว”

พูดไปแล้วเขาก็หัวเราะเยาะตัวเอง

“นี่เป็นเพราะฉันมันเป็นคนใจอ่อน พอเห็นใครลำบากหน่อย คิดว่าช่วยได้ก็ช่วยๆ กันไป พวกคนอื่นๆ ในเมืองก็เลยไม่ค่อยพอใจ สาเหตุเพราะว่าภูมิประเทศของที่นี่ค่อนข้างจะพิเศษ ทำให้ไม่สามารถถากถางที่นาเพิ่มออกไปอีกได้แล้ว มีขีดจำกัดในการเก็บเกี่ยว ถ้ามีคนมากขึ้น ส่วนแบ่งก็น้อยลง

“เมื่อก่อนฉันยังพอจะหาข้ออ้างได้ว่ากำลังคนไม่พอ ปล่อยที่นาทิ้งไว้เปล่าๆ ก็เสียของ พวกเขาจะได้ไม่โวยวาย แต่ตอนนี้พวกเราถึงกับต้องไปปลูกเห็ดกันในป่าด้านหลังกันแล้ว เหอ เหอ ฉันน่ะแก่แล้ว ร่างกายก็อ่อนแอลงเรื่อยๆ คงไม่มีโอกาสออกไปข้างนอกอีกแล้ว ไม่ต้องไปเห็นอะไรแบบนั้นก็จะได้ไม่ใจอ่อนอีก”

ไป๋เฉินอดพูดไม่ได้

“คุณอย่าเอาแต่พูดว่าตัวเองแก่สิ ยังกระฉับกระเฉงอยู่เลยไม่ใช่เหรอ”

“เอาเถอะ ไม่พูดแล้ว ไม่พูด” เถียนเอ้อร์เหอดึงขยับหมวกขนสัตว์บนหัวพลางยิ้ม “ในซากเมืองของโลกเก่ามีของดีจริงๆ วันก่อนพวกตาเฒ่าหมานกับเสี่ยวหนิวไปเจอหนังสือ ‘เทคนิคการเพาะเห็ด’ พอลองทำตามแล้วมันก็งอกออกมาจริงๆ ด้วย”

ไป๋เฉินยิ้มออกมาเล็กน้อย

“เพาะเห็ดก็ไม่เลวนะ รสชาติอร่อยดี”

เธอหยุดอึดใจก่อนจะพูดต่อ

“ฉันคงให้คำสัญญาเป็นมั่นเหมาะไม่ได้ บอกได้เพียงแค่ว่าในอนาคตถ้าเป็นไปได้ ฉันจะขายเมล็ดพืชผลผลิตสูงให้พวกคุณ แล้วก็ปุ๋ยเพื่อช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของที่นาด้วย”

ดวงตาเถียนเอ้อร์เหอเป็นประกาย

“นี่มันวิเศษมาก!”

ระหว่างที่ทั้งคู่พูดคุยสนทนากันก็เดินผ่านลานคอนกรีตมาถึงอาคารหลังที่ใกล้ที่สุดของอาคารสามหลังที่เรียงเป็นรูป

สามเหลี่ยมกลับหัว

ทางด้านขวาของลานคอนกรีต บริเวณหน้าห้องน้ำสาธารณะที่ตั้งในแนวขวางนั้นเป็นพื้นที่โล่ง มีซากรถจอดทิ้งไว้ห้าหกคัน

มีทั้งรถเก๋งสีขาว รถกระบะสีบรอนซ์เงิน รถตู้ รถบรรทุกสินค้าที่สูงมาก รถที่มีสิบกว่าที่นั่ง แล้วก็รถไฟฟ้าที่หน้าตาไม่เหมือนใคร…

นอกจากนี้ก็มีรถสามล้อสองล้ออีกมากมายจอดเบียดอยู่ด้านข้าง บ้างก็ใช้ไฟฟ้า บ้างก็ใช้น้ำมัน บ้างก็ใช้แรงคนถีบ

มีการสร้างเพิงขนาดใหญ่เพื่อกางบังให้รถพวกนี้ไว้ด้วย

ฝั่งซ้ายของเพิงยังมีห้องชั้นเดียวอีกสามห้องสร้างเรียงติดกันเป็นหน้ากระดาน ภายในมีทางเชื่อมทะลุถึงกันได้ สารพัดชิ้นส่วนอะไหล่ถูกจัดวางแยกประเภทเอาไว้

บ้างก็ชำรุด บ้างก็เก่ามาก บ้างก็ได้รับการดูแลอย่างดี บ้างก็มีลูกบาสเก็ตบอลกับลูกบอลที่ลมแฟบแล้วกองไว้ปนกัน

“ลองดูละกันว่ามีของที่ต้องการหรือเปล่า” เถียนเอ้อร์เหอชี้ไปที่ห้องทั้งสามแล้วพูด “ของพวกนี้ขนกลับมาจากซากเมืองทั้งนั้น”

ไป๋เฉินไม่พูดอะไร เธอเข้าไปในห้องที่ทำหน้าที่เป็นโกดัง เดินวนดูรอบๆ

จากนั้นก็ชี้สิ่งของหลายอย่างต่อเนื่องกัน

“เอานี่ นี่ แล้วก็นี่…”

เถียนเอ้อร์เหอพยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจ

“ไม่มีปัญหา

“หนูไป๋ เธอจะเอาอะไรมาแลก”

ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นเจ้าเมือง แต่เขาก็ไม่อาจเอาข้าวของในเมืองไปแจกฟรีได้

แน่นอนว่าด้วยตำแหน่งของเขาและความเคารพที่ได้จากชาวเมือง ถ้าเขาจะทำขึ้นมาจริงๆ ก็คงไม่มีใครคัดค้านหรอก แต่ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมานี้ เถียนเอ้อร์เหอก็ไม่เคยละเมิดหลักการนี้

นี่จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ชาวเมืองเคารพเขามาก

ไป๋เฉินถามขึ้นอย่างอัตโนมัติ

“อาหารเหรอ”

เทียนเอ้อร์เหอคิดก่อนจะตอบ

“ตอนนี้ยังไม่ใช้

“แม้ว่าปีนี้สภาพอากาศจะค่อนข้างผิดปกติไปบ้าง การเก็บเกี่ยวก็ไม่ค่อยดีนัก แต่ผลผลิตก็ลดลงไปแค่ 20% เท่านั้น รวมกับเสบียงสำรองที่สะสมมาสามปี หน้าหนาวปีนี้ยังไม่มีปัญหาอะไร

“ถ้าเธอเอาหมูกับวัวอย่างละสองสามตัวมาแลกนี่ ฉันคงจะกางแขนกางขากอดต้อนรับเลยล่ะ แถมต้องเอาข้าวของมาเทกระจาดใส่พานให้เธอด้วย แต่ฉันคิดว่าคงเป็นไปไม่ได้ใช่ไหมล่ะ”

สิ่งที่เมืองน้ำล้อมขาดแคลนที่สุดก็คือเนื้อสัตว์ พวกเขาทำได้แค่เพียงส่งคนออกไปล่ามาเท่านั้น ด้วยสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ อาหารสำหรับคนก็ไม่ได้มีเหลือกินเหลือใช้ แล้วจะไปมีอาหารสำหรับเลี้ยงพวกเป็ดพวกไก่พวกห่านได้ยังไง พวกมันจึงมีจำนวนลดน้อยลงไปเรื่อยๆ และบางครั้งบางคราวก็เกิดโรคระบาดจนพวกมันตายกันเกลี้ยงอีกด้วย

ไป๋เฉินร้อง “อืม”

“งั้นมอเตอร์ไซค์ของฉันคันนั้นล่ะ เป็นไงบ้าง

“ที่คลังน้ำมันของซากเมืองที่นึงยังมีน้ำมันเหลืออยู่อีกไม่น้อย” เถียนเอ้อร์เหอหัวเราะราวกับสุนัขจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ “ยังมีอะไรให้แลกอีกไหม เจ้ามอเตอร์ไซค์นี่ นอกจากดูดีแล้วจะเอาไปใช้ทำอะไรได้ จะขนคนได้ครั้งละกี่คนเชียว”

ไป๋เฉินพูดสิ่งที่จัดแจงไว้ก่อนหน้าแล้ว

“ปืนกลเบาหนึ่งกระบอก ใช้กระสุน 7.92 มม. …”

เธออธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับกระสุนและค่าอื่นๆ

“ปืนกลเบาเหรอ” ใบหน้าเหี่ยวย่นของเถียนเอ้อร์เหอราวกับเปล่งประกายออกมา “นี่มันอาวุธยอดเยี่ยมสำหรับป้องกันเมืองเลย เรามีกระสุนขนาดนี้อยู่พอดี”

โดยไม่ได้รอให้ไป๋เฉินตอบอะไร เขาก็ตบมือแล้วพูด

“ตกลง เอานี่แหละ!”

“ได้ แต่ฉันต้องกลับไปปรึกษาพรรคพวกก่อน” ไป๋เฉินตกลงอย่างไม่ลังเล นี่คือสิ่งที่เธอได้ปรึกษากับเจี่ยงไป๋เหมียนไว้ก่อนที่จะมาเมืองน้ำล้อมแล้วว่าเธอมีอำนาจตัดสินใจได้เอง และเจ้าปืนนี้ก็ไร้ประโยชน์สำหรับพวกเขาด้วย เปลืองที่อีกต่างหาก

เถียนเอ้อร์เหอแหงนหน้ามองฟ้าแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พูดขึ้น

“ฝนใกล้จะตกแล้ว ใกล้ค่ำแล้วด้วย จะเดินทางต่อในแดนร้างก็คงไม่ค่อยเหมาะ อื้อ… เธอพาพวกพ้องมานี่แล้วก็พักซักคืนสิ ไม่ต้องให้พวกเขาปลดอาวุธก็ได้

“ฉันเชื่อว่าคนที่เธอเลือกเป็นพวกพ้อง ย่อมไม่เลวร้ายนักหรอก”

ไป๋เฉินมองเถียนเอ้อร์เหอด้วยความสงสัยก่อนจะมองไปยังเมฆดำที่ค่อยๆ ลอยจากขอบฟ้าใกล้เข้ามา

“ฉันจะไปถามพวกเขาดูก่อนนะ” ไป๋เฉินตอบ

เถียนเอ้อร์เหอไม่ได้ตำหนิไป๋เฉินที่เธอลังเล เพียงแค่พูดด้วยรอยยิ้ม

“รีบไปเถอะ อีกเดี๋ยวฝนก็มาแล้ว”

ไป๋เฉินรีบเดินออกจากเมืองน้ำล้อมทันที รับอาวุธมาแล้วขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์ ขี่กลับไปหาเจี่ยงไป๋เหมียน ซางเจี้ยนเย่า และหลงเยว่หง เล่ารายละเอียดการค้าและเจตนาดีของเถียนเอ้อร์เหอให้ฟังจนจบ

“หัวหน้า คุณคิดว่าไง” ไป๋เฉินพิงมอเตอร์ไซค์รอให้เจี่ยงไป๋เหมียนตัดสินใจ

เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้พูดเรื่องความเป็นไปได้ที่ว่าเถียนเอ้อร์เหอหรือชาวเมืองน้ำล้อมอาจจะแฝงเจตนาร้าย เธอถามอย่างสนใจทันที

“เจ้าเมืองเถียนคนนั้นอายุ 77 เหรอ

“มีประสบการณ์ตอนโลกเก่าถูกทำลายด้วยเหรอ”

ไป๋เฉินพยักหน้าโดยไม่ลังเล

“ใช่แล้ว เรื่องนี้จริงแท้แน่นอน เขาพูดซ้ำๆ แบบนี้มาหลายปีแล้ว แถมยังเล่าความหลังบ่อยๆ ด้วย

“คำโกหกอาจอยู่ได้นาน แต่การโกหกต่อเนื่องจะได้ประโยชน์อะไร แล้วเขาก็ไม่เคยใช้เรื่องนี้มาหาประโยชน์จากคนอื่นด้วย”

เจี่ยงไป๋เหมียนหันมามองซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หง

“งั้นไปกันเลย”

“หัวหน้า นี่มันไม่อันตรายไปหน่อยเหรอ คุณพูดเองไม่ใช่เหรอว่าคนเร่ร่อนแดนร้างสามารถเปลี่ยนเป็นโจรแดนร้างได้ตลอดเวลา” หลงเยว่หงไม่ได้ซ่อนความกังวลของตน

เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้ม

“ว้าว นายยังจำได้ด้วยเหรอ

“ไม่เลว มีความกังวลแบบนี้แสดงว่าก้าวหน้าขึ้น แต่ว่านะ ด้วยพลังอาวุธของพวกเรา ตราบใดที่เราเตรียมพร้อมเอาไว้พวกเขาก็ไม่กล้าทำอะไรหรอก หากต้องการจัดการพวกเรา ก็ต้องจ่ายอย่างน้อยสามสิบถึงห้าสิบชีวิตล่ะ

“นอกจากนี้แล้ว อีกแค่เดือนเศษก็จะเข้าหน้าหนาวแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีอะไรกินมากนัก ก็คงไม่เต็มใจจ่ายด้วยราคาสูงขนาดนั้น เป็นพวกเราที่อันตรายกว่า หรือว่าพวกสัตว์ป่าในแดนร้างที่อันตรายกว่ากัน

“อ้อ แต่ถ้าเข้าหน้าหนาวแล้วกำลังจะอดตาย อันนั้นก็คงไม่มามัวคิดมาก ไม่กลัวหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนหรอก

“นอกจากนี้สภาพแวดล้อมของนิคมยังถูกจำกัด อาณาเขตก็ไม่ใหญ่นัก สำหรับทีมระดับสูงที่มีคนน้อยอย่างพวกเรา ยิ่งพื้นที่น้อยก็ยิ่งเป็นชัยภูมิที่เอื้อประโยชน์ต่อพวกเรามากขึ้น”

ขณะที่พูดเธอก็มองซางเจี้ยนเย่าด้วยรอยยิ้ม

ซางเจี้ยนเย่าหันหน้าไปหาหลงเยว่หงทันที แล้วแกล้งตีหน้าเครียดถามจริงจัง

“นายลืมไปแล้วหรือไงว่าทีมของพวกเราคือทีมอะไร ลืมแล้วเหรอว่าภาระหน้าที่ของพวกเราคืออะไร”

“ทะ…ทีมสำรวจเก่า สำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า…” หลงเยว่หงไม่ได้โง่ เขาเข้าใจในทันทีถึงสาเหตุที่ก่อนหน้านี้เจี่ยงไป๋เหมียนถามคำถามสองข้อกับไป๋เฉิน “หัวหน้าพยายามจะหาเบาะแสจากเจ้าเมืองเถียนงั้นเหรอ”

“ก็ยังไม่แน่ว่าจะได้เบาะแสอะไรหรอก ในตอนนั้นเจ้าเมืองเถียนน่าจะยังอายุไม่มาก แต่ไว้รอให้เจอกันก่อนค่อยลองถามๆ ดู” เจี่ยงไป๋เหมียนหันหน้ากลับมามองไป๋เฉินแล้วพูดด้วยรอยยิ้มสดใส “ถ้าเธอเชื่อใจคนของเมืองน้ำล้อม ฉันก็ด้วย ฉันไว้ใจเธอ”

ดวงตาไป๋เฉินหลุบลงเล็กน้อย หลังจากเงียบไปชั่วขณะก็ตอบออกมา

“ที่นั่นไปได้ ไม่มีปัญหา”

“งั้นออกเดินทาง!” เจี่ยงไป๋เหมียนผลุบกลับเข้าไปในที่นั่งคนขับแล้วสตาร์ทรถจี๊ป

ภายใต้การนำทางของไป๋เฉิน พวกเขาเดินทางลึกเข้าไปในบึงน้ำ ค่อยๆ เคลื่อนตัวผ่านเส้นทางคดเคี้ยวเลี้ยวลดบนถนนที่มองแทบไม่ออก

ก่อนที่ท้องฟ้าจะมืดสนิท พวกเขาก็เดินทางไปถึงเมืองน้ำล้อม

ครั้งนี้เพราะคำสั่งของเถียนเอ้อร์เหอ ยามเมืองที่เฝ้าประตูจึงไม่ได้ให้พวกเขาปลดอาวุธอีก เพียงแค่นำทางพวกเขาเลี้ยวมาทางขวาหลังจากที่เข้าเมือง แล้วให้จอดรถที่นอกเพิงไม้ที่หัวมุมกำแพง

“คืนนี้พวกคุณนอนในเพิงก็ได้ ส่วนรถน่ะ ปล่อยตากฝนก็ไม่เป็นไรหรอก” เถียนเอ้อร์เหออธิบายแบบรวบรัด “ไม่ต้องก่อไฟด้วย เดี๋ยวฉันจะให้คนเอาเตากับถ่านมาให้ ถือซะว่าเป็นของขวัญที่ได้ทำการค้ากัน คนของเราจะคอยลาดตระเวนและเฝ้าระวังอยู่รอบๆ คิดว่าพวกคุณคงเข้าใจนะว่าทำไม”

ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงมองดูภายในเมืองน้ำล้อมด้วยความอยากรู้อยากเห็น ส่วนเจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้รู้สึกแปลกอะไร เธอยิ้มให้เถียนเอ้อร์เหอ

“ฉันเข้าใจ!

“เจ้าเมือง ไม่ทราบว่าจะเชิญคุณมากินมื้อเย็นด้วยกันจะได้ไหม”

ขณะที่พูดเธอก็หยิบเนื้อย่างแดงกระป๋อง[1]หนึ่งกระป๋องและบุหรี่ใบยาสูบสีน้ำตาลปนดำหนึ่งมวนที่เตรียมไว้ออกมา

เถียนเอ้อร์เหอตาโต รอยเหี่ยวย่นบนหน้าคลายตัวออก

“นี่มันของดีทั้งนั้นเลย!”

“ทำไม มีอะไร อยากจะแลกอะไรอีกเหรอ”

เจี่ยงไป๋เหมียนพูดด้วยยิ้ม

“อยากฟังเรื่องราวของโลกเก่าน่ะ คุณก็รู้ว่าความรู้คือความมั่งคั่ง”

“ได้สิ!” เถียนเอ้อร์เหอยิ้มอย่างมีความสุข

เขารีบหันหน้าไปสั่งยามที่อยู่ด้านข้าง

“เจ้าลูกหมา รีบไปเอาเตาที่บ้านฉันมานี่! เร็วเข้า!”

ยามที่มีชื่อเล่นว่าลูกหมาไม่กล้าบ่นอะไรเจ้าเมือง เขารีบวิ่งไปยังอาคารสามชั้นที่เรียงเป็นรูปสามเหลี่ยมหัวกลับทันที

ในเวลานี้ท้องฟ้ามืดครึ้มลงเรื่อยๆ คนที่ทำงานในทุ่งนาด้านหลังเมืองน้ำล้อมก็ค่อยๆ ทยอยกลับมา กลุ่มที่ออกไปล่าสัตว์ก็ตามมาติดๆ เช่นกัน

แล้วเมืองเล็กๆ ทั้งเมืองก็มีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที สายตาอยากรู้อยากเห็นหลายคู่มองไปยังมุมที่รถจี๊ปจอดอยู่

* * * * *

[1] เนื้อย่างแดงกระป๋อง (红烧牛肉罐头) คำว่า“红烧”เป็นชื่ออาหารจีนชนิดหนึ่งทำจากเนื้อสัตว์ย่างกึ่งสุกกึ่งดิบ เติมซอสแล้วย่างต่อให้สุกแล้วเนื้อจะกลายเป็นสีแดง

รัตติกาลไม่สิ้นแสง

รัตติกาลไม่สิ้นแสง

Status: Ongoing
อ่านนิยาย รัตติกาลไม่สิ้นแสงเขต C ชั้นที่ 495 ของอาคารศูนย์กิจกรรม ผนังสีเขียวอมเทาด้านนอกเต็มไปด้วยรอยวาดขีดเขียนสารพัด หญิงสาวหกเจ็ดคนเดินเข้าไปข้างในด้วยสีหน้าเจืออารมณ์ตื่นเต้น คาดหวัง และประหม่า เสื้อผ้าพวกเธอนั้นเรียบง่าย ไม่ได้มีสีสันมากมาย ส่วนใหญ่เป็นสีน้ำเงิน สีดำ สีขาว และสีเขียว แต่ทุกคนล้วนดูงดงามและอ่อนเยาว์ ระหว่างที่พวกเธอกำลังมองดูหน้าจอ LCD ซึ่งมีเพียงหน้าจอเดียวในชั้นนี้ หญิงสาวที่อยู่หัวแถวด้านหน้าอดกระซิบขึ้นไม่ได้ “ไม่รู้ว่าทางบริษัทจะหาสามีแบบไหนให้ฉันกันนะ”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset