รัตติกาลไม่สิ้นแสง – ตอนที่ 52 เฝ้าต้นไม้รอกระต่าย

เจี่ยงไป๋เหมียนเกือบจะร้องอุทานว่า “ฮะ” แต่ก็รีบหุบปากอย่างรวดเร็วก่อนจะมีเสียงเล็ดลอดออกมา

เธอหันกลับไปมองด้านหน้าอีกครั้ง เดินฝ่าดงพุ่มไม้อย่างราบรื่น แล้วยิ้มให้อย่างเป็นกันเอง

“ฉันมักจะรู้สึกว่าตัวเองมีพรสวรรค์ที่ซ่อนอยู่เรื่องหนึ่ง นั่นก็คือทำให้คนอื่นรู้สึกใกล้ชิดเป็นกันเอง รู้สึกสบายใจที่ได้อยู่ใกล้ และยินดีเล่าเรื่องทุกข์ใจให้ฉันฟัง”

“นั่นมันไม่ใช่เรื่องสำคัญที่ต้องเก็บเป็นความลับให้สนิทซักหน่อย” ซางเจี้ยนเย่าไม่ค่อยเห็นด้วยกับเจี่ยงไป๋เหมียน แต่เพราะเหตุนี้จึงทำให้เขาสามารถเลี่ยงจากหัวข้อสนทนาก่อนหน้านี้ได้

“ฮ่า ฮ่า ฉันแค่ล้อเล่นน่า” เจี่ยงไป๋เหมียนพยักหน้าราวกับว่ากำลังใช้ความคิด “จะว่าไปแล้ว พวกเราก็ผจญอันตรายมาด้วยกันตั้งสองครั้งแล้ว นายเองก็เผยความลับเรื่องการเป็นผู้ตื่นรู้ออกมาด้วย ดังนั้นพวกเราก็ถือได้ว่ามีความไว้วางใจระหว่างกันค่อนข้างดี นายเคยได้ยินคำพูดนี้ไหม วิธีที่จะทำให้คนสองคนเกิดความใกล้ชิดสนิทสนมได้เร็วที่สุดก็คือการแบ่งปันความลับเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างกัน นี่นับได้ว่าพวกเราก็เป็นเพื่อนร่วมเป็นร่วมตายกันแล้ว”

ทันใดนั้นซางเจี้ยนเย่าที่ดูเคร่งขรึมจริงจังก็พลันหัวเราะออกมา

“หัวหน้าแน่ใจเหรอว่าความรู้สึกไว้วางใจนี้ ไม่ได้เป็นเพราะผมใช้พลังผู้ตื่นรู้สร้างขึ้นมา”

“…” เจี่ยงไป๋เหมียนใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วนและพบว่านี่มีโอกาสเป็นไปได้เช่นกัน ภาพที่ซางเจี้ยนเย่ากับหลวงจีนจักรกลจิ้งฝ่าจับมืออำลากันนั้นยังคงฝังลึกอยู่ในความทรงจำของเธอ นอกจากนี้ซางเจี้ยนเย่าก็ยังพูดอีกว่าตราบใดที่ยังสามารถสร้างหลักฐานของปฏิสัมพันธ์แบบวนลูปรอบตัวคนที่ได้รับผลจากพลังนั้นได้ คนผู้นั้นก็ยากที่จะตรวจพบความรู้สึกผิดปกตินี้ได้ด้วยตัวเอง มีเพียงแค่ต้องให้ซางเจี้ยนเย่าออกไปจากสภาวะแวดล้อมนั้นๆ เสียก่อน อีกฝ่ายถึงจะพบกับความผิดปกตินี้ได้

“ฮ่า ฮ่า ผมแค่ล้อเล่นน่า” ซางเจี้ยนเย่าพูดเลียนแบบเจี่ยงไป๋เหมียน

“…” เจี่ยงไป๋เหมียนหันหน้ามากลอกตามองบน

“รู้ไหมว่าฉันเกือบจะชักปืนออกมายิงนายแล้วนะ ฮะ”

เธอละสายตากลับไปแล้วพูดพึมพำ

“ถึงแม้ว่านายจะล้อเล่นจริงๆ ก็เถอะ แต่ฉันก็รู้สึกว่าต้องเตรียมตัวเผื่อไว้สำหรับเหตุการณ์ทำนองนี้แล้วสิ… หรือว่าฉันควรจะสร้างการตรวจสอบยืนยันเชิงตรรกะกับตัวเองซักสองสามข้อดีนะ

“อืม… วิธีง่ายสุดก็คือทุกๆ วันจะต้องจดบันทึกพวกข้อมูลสำคัญไว้บนกระดาษหรือไม่ก็ในชิป แล้วเอามาอ่านทวนก่อนนอน แบบนี้ถ้าหากว่าเรื่องราวมีความขัดแย้งกันก็จะรู้ได้ในทันที คงต้องบอกว่าการใช้ไดอารี่นี่มีประโยชน์มากกว่าที่คิดแฮะ”

“ถูกต้อง พลังพิเศษของผู้ตื่นรู้นั้น ไม่ใช่ว่าจะไร้เทียมทานจนถึงกับไม่มีทางแก้” ซางเจี้ยนเย่าเสริมขึ้น

เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้พูดอะไรอีก เธอกับซางเจี้ยนเย่าเดินสำรวจรอบเนินเขาเพื่อหาเบาะแสไปเรื่อยๆ

หลังจากผ่านไปราวหนึ่งชั่วโมง เธอมองดูรอบข้างแล้วพูด

“พื้นที่ละแวกนี้กว้างเกินไปหน่อย ภูมิประเทศก็สลับซับซ้อน ถ้าหากว่าพวกเราสองคนเดินกันไปทีละก้าวแบบนี้ สงสัยว่าคงต้องใช้เวลาร่วมครึ่งเดือนซะล่ะมั้ง กว่าจะสำรวจพื้นที่ได้ครบทั้งหมด”

ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้ตอบอะไรเพราะว่าเขาเห็นใบหน้าของหัวหน้าทีมยังคงเจือด้วยรอยยิ้ม แสดงว่าเธอต้องมีวิธีแล้วแน่นอน

และก็เป็นอย่างที่คิดไว้ เมื่อเจี่ยงไป๋เหมียนมองเขาแล้วพูดต่อด้วยรอยยิ้ม

“กลับไปเนินเขาที่พวกเรายิงพลุสัญญาณก่อนกันเถอะ”

หัวใจซางเจี้ยนเย่าไหววูบ รู้สึกเหมือนคว้าจับอะไรบางอย่างได้ลางๆ

เจี่ยงไป๋เหมียนพูดต่อ

“พวกนักล่ากับคนเร่ร่อนต้องไปที่นั่นกันเยอะแน่ๆ เป็นโอกาสดีที่เราจะได้หาข้อมูล สอบถามดูว่าช่วงนี้มีพวกโจรกลุ่มใหญ่ ไม่ก็พวกทีมที่ดูอันตราย ปรากฏตัวขึ้นมาในละแวกนี้บ้างหรือเปล่า”

พูดถึงตรงนี้เธอก็ยิ้มแบบเดียวกับตอนที่เธอได้จัดการจิ้งฝ่าจนบาดเจ็บสาหัส

“ถ้าเกิดว่านายเป็นหัวหน้าของกลุ่มผู้โจมตี แล้วสังเกตเห็นว่ามีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้นในพื้นที่ที่ก่อนหน้านี้นายเพิ่งจะลงมือปฏิบัติการครั้งใหญ่และตั้งใจกลบเกลื่อนร่องรอยทิ้ง นายคิดจะส่งคนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปตรวจดูสถานการณ์ในพื้นที่ที่ยิงพลุสัญญาณไหม ไม่ว่ายังไงที่นั่นก็ต้องมีพวกนักล่ากับคนเร่ร่อนเข้าไปอยู่แล้ว หากทำเนียนๆ ปะปนเข้าไป ก็ไม่มีคนแยกออกว่าใครเป็นใคร

“และยังสามารถใช้โอกาสนี้เพื่อตรวจสอบดูว่ากองกำลังไหนกันแน่ที่อยู่เบื้องหลังเมืองหนูดำ จะได้เตรียมการไว้รับมือได้ด้วย”

ซางเจี้ยนเย่าเข้าใจกระจ่างทันที

“พวกมันจะไม่ส่งสมาชิกหลักของทีมไปตรวจสอบ และไม่ส่งพวกลูกสมุนไปด้วย ความเป็นไปได้มากสุดก็คือจ้างพวกคนเร่ร่อนตัวจริงที่วนเวียนอยู่ในละแวกนั้น”

หากใช้วิธีนี้ ถึงแม้ว่าจะเป็นกับดัก แต่ก็จะไม่เกิดปัญหาอะไร เฉกเช่นที่ไม่มีใครสามารถหาใบไม้หนึ่งใบจากในป่า ซึ่งใบไม้นั้นมีคุณลักษณะพิเศษแต่หน้าตาไม่ได้แตกต่างไปจากใบไม้อื่นๆ

หลังจากที่ซางเจี้ยนเย่าเข้าใจกระจ่าง เขาก็ถามด้วยความสงสัย

“หัวหน้าคิดเรื่องนี้ออกตั้งนานแล้วใช่ไหม งั้นทำไมเราไม่ไปรอที่นั่นกันล่ะ”

“พวกนักล่ากับคนเร่ร่อนจะไปถึงเร็วแบบนั้นได้ไง ถึงไปรอก่อนล่วงหน้าก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรซักหน่อย สู้เอาเวลามาฝึกให้นายคุ้นเคยกับการค้นหาเบาะแสไม่ดีกว่าหรือไง” เจี่ยงไป๋เหมียนพลิกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกาอิเล็กทรอนิกส์เรือนสีดำ “น่าจะได้เวลาแล้ว พวกเราไปกันเถอะ”

เมื่อพวกเขากลับไปถึงเนินเขาที่ยิงพลุสัญญาณ ซางเจี้ยนเย่าก็พบว่าการเส้นทางค้นหาของพวกเขาก่อนหน้านี้นั้นไม่ได้อยู่ห่างออกไปไกลสักเท่าไหร่ หลังจากที่ทั้งคู่เพียงแค่เปลี่ยนเส้นทางเล็กน้อย เดินเท้าราวสิบนาที ก็มาถึงจุดหมายแล้ว

หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือเจี่ยงไป๋เหมียนไม่ใช่ว่าเพิ่งจะคิดถึงเรื่องนี้ แต่เธอได้ไตร่ตรองไว้ตั้งแต่ก่อนหน้าแล้ว แม้แต่เส้นทางการค้นหาก็ถูกวางแผนเอาไว้แล้วเช่นกัน

หลังจากสำรวจตรวจตราอยู่ราวสองสามนาที ซางเจี้ยนเย่ากับเจี่ยงไป๋เหมียนก็พบจุดซุ่มที่เหมาะสม พวกเขารีบปีนขึ้นไปซ่อนตัวบนต้นไม้ที่สามารถมองเห็นเส้นทางทั้งหมดที่มุ่งมายังเนินเขาแห่งนี้ได้

ผ่านไปสิบห้านาที กลุ่มนักล่าซากอารยะกับพวกคนเร่ร่อนแดนร้างก็ค่อยๆ ทยอยมุ่งหน้ามายังยอดเนิน

พวกเขาต่างก็ระวังตัวกันมาก ต่างคนต่างอยู่ ต่างรักษาระยะห่างระหว่างกันอย่างชัดเจนและไม่ได้ต่อสู้ทำร้ายกันด้วย นั่นก็เพราะยังไม่แน่ใจว่าบริเวณที่เกิดเหตุการณ์ไม่ปกตินี้จะมีอะไรให้กอบโกยกลับไปหรือไม่ การลงมือก่อนถือเป็นเรื่องโง่เขลายิ่งนัก

หลังจากนั้นไม่นาน เจี่ยงไป๋เหมียนก็ตบบ่าซางเจี้ยนเย่าเบาๆ แล้วชี้ไปที่ถนนด้านซ้ายมือ

เธอไม่ได้ใช้เสียงเพราะไม่รู้ว่าเสียงพูดของตัวเองนั้นดังขนาดไหน จึงใช้ท่าทางบอกกล่าวแทน

ซางเจี้ยนเย่ามองไปตามทิศทาง เห็นคนเร่ร่อนเพศชายสองคนแสดงท่าทางลับๆ ล่อๆ มีพิรุธน่าสงสัย

ดูจากลักษณะหน้าตาพวกเขาแล้วไม่สามารถประเมินอายุที่แน่นอนได้ สิ่งที่ทั้งคู่มีเหมือนกันก็คือมีผิวคล้ำมากและแห้งหยาบกร้าน เส้นผมเป็นมันเยิ้ม เคราบนใบหน้าที่ไม่รู้ว่าโกนครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ เนื้อตัวเลอะเปรอะเปื้อนคราบสกปรกจนไม่รู้ว่าเป็นคราบของอะไรบ้าง

หนึ่งในนั้นสวมเสื้อขนสัตว์ขาดๆ สีน้ำเงินเข้ม ด้านในเป็นเสื้อมันเยิ้มและแข็งกระด้าง มองไม่ออกว่าสีเดิมเป็นสีอะไร คลุมด้วยเสื้อผ้าสีดำที่ยาวไม่ถึงเอวและไม่พอดีตัว สวมรองเท้าสีเขียวขี้ม้า ที่เอวห้อยปืนพกสีดำสะท้อนเงาโลหะ ในมือถือมีดใบยาวเรียว

ซางเจี้ยนเย่ารู้สึกว่าคล้ายกับมีดผ่าแตงที่เขียนไว้ในหนังสือเรียนมาก

ส่วนอีกคนหนึ่งนั้นคลุมตัวด้วยเสื้อแจ็คเก็ตผ้าฝ้ายเก่าๆ สีดำเป็นรูโหว่ มองลอดรูเข้าไปเห็นฝ้ายที่อัดกันแน่นเป็นก้อนสีดำคล้ำ ดูเหมือนว่าจะไม่ได้พกปืนมาด้วย มีเพียงมีดสั้นขัดเอาไว้ที่เอว ในมือถือไม้เบสบอล บนบ่าสะพายกระเป๋าที่เหี่ยวย่นและสกปรกเอาไว้

“มีปัญหาอะไรเหรอ” ซางเจี้ยนเย่าถามเบาๆ

พวกเขาดูไม่แตกต่างไปจากพวกคนเร่ร่อนแดนร้างคนอื่นๆ ที่ผ่านไปก่อนหน้านี้ เพียงแต่ดูอนาถาเป็นยากจกมากกว่าเล็กน้อย

“ฉัน…” เจี่ยงไป๋เหมียนส่งเสียงออกมาคำหนึ่ง น้ำเสียงบ่งบอกว่าเป็นคำถาม

ซางเจี้ยนเย่าเข้าใจได้ในทันทีว่าหัวหน้าทีมของเขานั้นหมายถึงอะไร รีบพูดตอบอย่างรวดเร็ว

“เบาอีกหน่อย”

หลังจาก ‘ปรับเสียง’ ไปสองครั้ง ในที่สุดเจี่ยงไป๋เหมียนก็สามารถลดความดังลงไปอยู่ในระดับที่เหมาะสม

“นายไม่รู้สึกบ้างเหรอว่า ‘อาวุธ’ ของคนเร่ร่อนสองคนนี้มันดูอนาถาไปหน่อย”

“พวกคนเร่ร่อนแดนร้างใช้อาวุธอนาถาก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอ” ซางเจี้ยนเย่าย้อนถามกลับ

“นั่นก็ใช่” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้ปฏิเสธ ขณะที่มองไปยังคนเร่ร่อนแดนร้างทั้งสอง เธอครุ่นคิดแล้วพูดต่อ “ประเด็นก็คือทีท่าของพวกเขามันขัดแย้งกับอาวุธน่ะ

“ในสถานการณ์ปกติ พวกคนเร่ร่อนที่พกแค่ปืนพกกระบอกเล็กๆ กับมีดสองสามเล่ม จะไม่กล้ารีบพรวดพราดเข้าไปในสถานที่ที่มีเหตุผิดปกติเป็นกลุ่มแรกๆ เพราะถ้าเกิดการต่อสู้ขึ้นมา พวกเขาก็แทบจะป้องกันตัวเองไม่ได้เลย

“ดังนั้นพวกคนเร่ร่อนอย่างพวกเขาควรจะรอให้ผ่านไปซักครึ่งวันหรือหนึ่งวันก่อน ถึงจะค่อยเข้ามาดูว่ายังพอมีอะไรเหลือให้เก็บบ้างไหม เพราะในตอนนั้นพวกคู่แข่งที่เข้ามาก็จะเป็นคนจำพวกเดียวกัน พวกเขายังไม่ถึงกับไม่มีทางตอบโต้กลับซะทีเดียว”

ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะเล็กน้อย

“ก็คล้ายกับพวกสัตว์กินซากที่เหลือทิ้งจากการล่าของสัตว์ร้ายสินะ

“พูดอีกอย่างก็คือคนเร่ร่อนสองคนนี้น่าจะถูกคนอื่นบังคับให้มาที่นี่ใช่ไหม”

แล้วใครล่ะที่จะบังคับคนเร่ร่อนแดนร้างที่ไร้พลังเช่นนี้ ให้ออกมาสืบหาสาเหตุความผิดปกติ

นี่คือวิธีสอนโดยใช้การปฏิบัติจริงของเจี่ยงไป๋เหมียน เมื่อได้ฟังเช่นนั้น เธอพูดด้วยรอยยิ้ม

“ถูกต้อง

“นายพอจะผูกมิตรกับพวกเขาได้ไหม จะได้ให้พวกเขาเล่าเกี่ยวกับสถานการณ์ทั้งหมดออกมาให้เราฟังกันตรงๆ เลย”

ซางเจี้ยนเย่ามองคนเร่ร่อนแดนร้างสองคนที่เข้ามาใกล้ แล้วพูดอย่างสงบนิ่ง

“ถ้าแค่คนเดียวก็ไม่มีปัญหา

“แต่ว่าพออยู่ด้วยกันสองคนแบบนี้ มีแนวโน้มว่าพวกเขาจะยืนยันกันเอง อาจจะทำให้การ ‘ชักจูง’ ไม่สำเร็จ

“แต่ถ้าแยกพวกเขาออกจากกัน ผมสามารถชักจูงคนนึงก่อน จากนั้นค่อยให้ทั้งคู่เจอกันแล้วผมค่อยชักจูงคนที่เหลือ แบบนี้ไม่มีปัญหา

เจี่ยงไป๋เหมียนทำมือบอกว่า ‘ตกลง’

“งั้นสบายมาก

“แลกปืนกัน”

หลังจากพูดจบ เธอก็ส่งปืนยิงระเบิดในมือแลกกับปืนไรเฟิลจู่โจมของซางเจี้ยนเย่า

วินาทีถัดมาเจี่ยงไป๋เหมียนก็กระโดดลงจากต้นไม้มายังเบื้องหน้าคนเร่ร่อนแดนร้างทั้งสองคนทันที

เมื่อลงมาถึงพื้นเธอก็รีบยกปืนไรเฟิลขึ้นมาจ่อชายคนที่สวมเสื้อขนสัตว์มีรูขาดและเหน็บปืนพกไว้ที่เอว

ขณะเดียวกันก็หมุนเอวเล็กน้อยยกขาขวาเตะกวาดออกราวกับหวดแส้

แน่นอนว่าลูกเตะนี้ไม่ได้มีเจตนาให้โดนเป้าหมาย แต่ก็ข่มขู่ให้ชายคนที่ถือไม้เบสบอลกลัว รีบก้าวถอยหลังจนหกล้มก้นจ้ำเบ้า

เขามองปืนไรเฟิลจู่โจมในมือเจี่ยงไป๋เหมียนและตัดสินใจทิ้งสหายร่วมทีมอย่างไม่ลังเล รีบกลิ้งตัวคลานออกไป แล้วลุกขึ้นวิ่งโกยแน่บไม่กล้าเหลียวหลังกลับมาดู

ปืนไรเฟิลจู่โจมยังคงจ่อที่ชายถือมีดผ่าแตง เขาจึงไม่กล้าขยับตัว

ในตอนนี้ซางเจี้ยนเย่าก็กระโดดลงมาจากต้นไม้แล้วยิ้มให้

“ไม่ต้องกลัว พวกเราไม่มีเจตนาร้าย”

เขาส่งสัญญาณบอกให้เจี่ยงไป๋เหมียนลดกระบอกปืนลง ในขณะเดียวกันก็พูดกับชายที่กำลังยืนสับสนอยู่เบื้องหน้า

“คุณดูสิ พวกคุณมานี่เพื่อหาข้อมูล เราก็มาเพื่อหาข้อมูล

“พวกคุณเป็นมนุษย์ พวกเราก็เป็นมนุษย์

“ดังนั้น…”

สีหน้าของชายคนนั้นค่อยๆ มีชีวิตชีวาขึ้น และในที่สุดเขาก็ยิ้มออกมา

“เป็นพี่น้องกัน!”[2]

เมื่อพูดออกมาแล้ว เขาก็หันไปมองเจี่ยงไป๋เหมียนโดยอัตโนมัติ พอเห็นว่าอีกฝ่ายนั้นเก็บปืนไรเฟิลจู่โจมและไม่ได้แสดงท่าทีคุกคามอะไรอีก จึงทำให้เขาเชื่อเรื่องที่ถูกชักจูงและข้อวินิจฉัยของตนยิ่งขึ้น

“ใช่ พี่น้องกัน!” ซางเจี้ยนเย่าเลียนแบบอีกฝ่ายแล้วทักทายอย่างกระตือรือร้น “ใครใช้ให้พวกนายมาที่นี่กันเหรอ”

* * * * *

[1] เฝ้าต้นไม้รอกระต่าย (守株待兔) หมายถึง ไม่คิดจะลงมือทำงาน แต่หวังจะได้ผลงอกเงยออกมา มีที่มาจากนิทานว่ามีชาวนาคนหนึ่งไปเจอกระต่ายที่ตื่นตกใจแล้ววิ่งมาชนต้นไม้จนคอหักตาย เขาจึงได้กระต่ายไปกินโดยไม่ต้องลงแรงทำอะไร วันต่อๆ มาเขาก็มานั่งใต้ต้นไม้เพื่อรอให้มีกระต่ายมาชนตายอีก เปรียบเทียบถึงซางเจี้ยนเย่ากับเจี่ยงไป๋เหมียนเฝ้ารอให้เหยื่อมาหาถึงที่ โดยไม่จำเป็นต้องออกแรงไปตามหาเอง

[2] เป็นพี่น้อง (兄弟) ตามวัฒนธรรมชาวจีน กลุ่มเพื่อนที่มีความสนิทสนมกันมาก จะเรียกกันว่าเป็นพี่เป็นน้อง คนที่อายุมากสุดจะถูกเรียกว่าเป็น “พี่ใหญ่” ถัดมาก็เป็น พี่รอง (น้องรอง) พี่สาม (น้องสาม) จนถึงน้องเล็ก

รัตติกาลไม่สิ้นแสง

รัตติกาลไม่สิ้นแสง

Status: Ongoing
อ่านนิยาย รัตติกาลไม่สิ้นแสงเขต C ชั้นที่ 495 ของอาคารศูนย์กิจกรรม ผนังสีเขียวอมเทาด้านนอกเต็มไปด้วยรอยวาดขีดเขียนสารพัด หญิงสาวหกเจ็ดคนเดินเข้าไปข้างในด้วยสีหน้าเจืออารมณ์ตื่นเต้น คาดหวัง และประหม่า เสื้อผ้าพวกเธอนั้นเรียบง่าย ไม่ได้มีสีสันมากมาย ส่วนใหญ่เป็นสีน้ำเงิน สีดำ สีขาว และสีเขียว แต่ทุกคนล้วนดูงดงามและอ่อนเยาว์ ระหว่างที่พวกเธอกำลังมองดูหน้าจอ LCD ซึ่งมีเพียงหน้าจอเดียวในชั้นนี้ หญิงสาวที่อยู่หัวแถวด้านหน้าอดกระซิบขึ้นไม่ได้ “ไม่รู้ว่าทางบริษัทจะหาสามีแบบไหนให้ฉันกันนะ”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset