รัตติกาลไม่สิ้นแสง – ตอนที่ 70 ข้อมูล

เมื่อได้ยินคำถามของอานหรูเซียง เจี่ยงไป๋เหมียนซึ่งได้เตรียมระวังไว้ก่อนแล้ว เธอหันหน้ามาจ้องซางเจี้ยนเย่าเพื่อเป็นการปรามไม่ให้เขาปริปากพูดอะไรออกมา จากนั้นก็เม้มปากแล้วพูดกับอานหรูเซียง

“ตอนที่เราเจอกับเขา เขานอนหลับอยู่ข้างถนน

“แล้วพอกำลังจะปลุกเขาขึ้นมา จู่ๆ ใบหน้าเขาก็บิดเบี้ยวทันที ร่างเขากระตุกสองสามครั้งจากนั้นก็ไม่ได้ขยับเขยื้อนอีกเลย

“เขา… เขาเสียชีวิตในสภาพนั้น”

เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ เจี่ยงไป๋เหมียนก็รู้สึกว่าคำอธิบายของตัวเองนั้นค่อนข้างจะเกินจริงไปหน่อย เธอรู้สึกวิตกเล็กน้อย รีบพูดเสริมทันที

“ที่ฉันพูดไปเนี่ย คุณเชื่อหรือเปล่า

“ไม่สิ ฉันหมายถึงว่าคุณต้องเชื่อพวกเรา”

จะว่าไปแล้ว ถ้าหากว่าเธอไม่ได้พบเจอเข้ากับตัวเองหรือเห็นกับตาตัวเอง เธอก็คงไม่เชื่อเรื่องแบบนี้เหมือนกัน อันที่จริงพวกสัตว์ประหลาดกลายพันธุ์ในแดนธุลีที่มีความสามารถแปลกประหลาดแบบนี้ก็มีจำนวนน้อยมากๆ นอกจากนั้นแล้วเจี่ยงไป๋เหมียนเองก็เพิ่งจะย้ายมาอยู่ ‘แผนกความมั่นคง’ ได้ไม่ถึงสามปี ภารกิจที่เธอรับมอบหมายนั้น จะเรียกว่าน้อยก็ไม่น้อย จะบอกว่ามากก็ไม่เชิง สิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ที่เคยพบเจอมาก็มีแต่พวกที่ค่อนข้างธรรมดาทั้งสิ้น

ใบหน้าเฉยเมยเย็นชาของอานหรูเซียงเปลี่ยนไปตั้งแต่เจี่ยงไป๋เหมียนเริ่มอธิบายแล้ว สีหน้าเธอค่อยๆ กลายเป็นซับซ้อนยากที่จะเก็บซ่อนไว้ได้อีก

แม้ว่าเจี่ยงไป๋เหมียนไม่อาจเข้าใจถึงความหมายของความเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าอารมณ์ของอีกฝ่ายได้ทั้งหมด แต่ก็สัมผัสได้ถึงความโศกเศร้าอย่างรุนแรงจนไม่อาจควบคุมได้

เธอเคยพบกับอานหรูเซียงเพียงแค่ครั้งเดียว แต่ก็สามารถบอกได้ว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นคนที่เก็บซ่อนอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง ไม่เปิดเผยความรู้สึกของตัวเองออกมา แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นสีหน้าของอานหรูเซียง สีหน้าที่ไม่อาจควบคุมอารมณ์ความรู้สึกเอาไว้ได้

อานหรูเซียงสูดหายใจเข้าลึกๆ สองครั้ง

“ฉันเชื่อ

“เพราะว่าตอนที่เข้ามาในซากเมืองนี้ก็เจออะไรคล้ายๆ แบบนี้มาแล้ว

“ถ้าหากว่าไม่ได้เห็นกับตา ฉันว่าพวกคุณเองก็คงทำใจเชื่อไม่ลงเหมือนกันนั่นแหละ”

เสียงเธอห้าวและแหบแห้ง ราวกับกำลังพยายามสะกดกลั้นระงับอารมณ์บางอย่างเอาไว้

ชายที่อยู่ข้างเธอเองก็มีสีหน้าที่ผสมปนเปไปด้วยความเศร้าโศกและหวาดกลัว

เจี่ยงไป๋เหมียนร้อง “อืม” ออกมาคำหนึ่ง จากนั้นก็ไม่ได้พูดปลอบใจอะไร แต่กลับถามขึ้นมา

“พวกคุณไปเจอเรื่องอะไรมาเหรอ”

อานหรูเซียงยกมือขึ้นมาปาดหางตา สีหน้ากลับคืนสู่ความเฉยชา

“พวกเราใช้ถนนเส้นที่ตรงลึกเข้ามาในบึงใหญ่ ขับรถเข้ามาในซากเมืองนี้

“ตอนแรกพวกเราก็ไม่ได้ตั้งใจจะมาสำรวจความลับที่ซ่อนอยู่ในนี้หรอก เพียงแค่คิดว่าจะสำรวจอยู่รอบนอก หาพวกข้าวของมีค่าติดไม้ติดมือกลับไปเท่านั้น

“พอได้ข้าวของมาจำนวนหนึ่ง ในตอนนั้นเสี่ยวกวงซึ่งเป็นเพื่อนร่วมทีมของพวกเรา จู่ๆ ก็หลับไปเฉยๆ ในตอนที่กำลังขนกล่องเสื้อผ้าอยู่ เหมือนกับเป็นลมไป

“พวกเราคิดว่าเขาเกิดป่วยกะทันหัน ก็เลยไม่ได้ปลุกเขาขึ้นมา

“พอเราตรวจสอบดู ก็ยืนยันได้ว่าเขาแค่หลับไป แต่แล้วจู่ๆ ใบหน้าเขาก็บิดเบี้ยวเหยเกขึ้นมาทันที เหมือนกับมีเรื่องน่าสยดสยองเกิดขึ้น

“จากนั้น… จากนั้น เขาก็ตาย”

เจี่ยงไป๋เหมียนอยากจะพูดว่า “ดูเหมือนการทำให้หลับจะทำได้แค่ครั้งละคนเท่านั้นสินะ” แต่พอเธอมองดูดวงตาของอานหรูเซียง ก็ได้แต่สะกดกลั้นคำพูดเอาไว้

อานหรูเซียงพูดต่อ

“การตายของเสี่ยวกวง ทำให้พวกเรากลัวกันมาก

“เราไม่ได้กลัวที่จะต้องเผชิญหน้าต่อสู้กับพวก ‘คนไร้ใจ’ หรือสัตว์ประหลาดอะไรก็ตามที แต่การโจมตีแบบไม่รู้ที่มาที่ไป ไม่รู้ว่าจะป้องกันยังไง ไม่รู้ว่าใครจะเป็นรายต่อไป แบบนี้มันน่ากลัวจนทำให้คนสติแตกพังทลายได้ทุกเมื่อ

“พวกเราก็เลยตัดสินใจถอนตัวออกจากซากเมืองนี้ ถึงยังไงก็เก็บเกี่ยวกันไปได้มากพอแล้ว

“แต่ใครจะรู้ พวกเราเหมือนกับถูกผีมาดลใจมาทำให้เชื่อว่ามีอะไรบางอย่างที่ล้ำค่ามากอยู่ที่หัวมุมถนนข้างหน้า ไม่ว่ายังไงก็ต้องไปเอามาให้ได้

“พวกเราก็เลยเข้าไปที่นั่น แล้วก็เห็น ‘คนไร้ใจ’ ตนหนึ่ง

“เธอเป็นผู้หญิง อายุน่าจะอยู่ระหว่าง 17-26 ปี พวกคุณก็รู้ว่าอายุของพวก ‘คนไร้ใจ’ นั้น ถ้าดูจากรูปลักษณ์ภายนอกก็ยากจะระบุได้อย่างแม่นยำ

“เธอแต่งตัวเรียบร้อยกว่า ‘คนไร้ใจ’ สองตนที่เราเจอตอนที่กำลังสำรวจหาข้าวของ เสื้อผ้าที่สวมอยู่ไม่ได้สกปรกมอมแมม ใบหน้าก็สะอาดสะอ้าน แต่ว่าดวงตานั้นขุ่นมัวและเส้นเลือดแดงก่ำ

“อ้อ เธอสวมแจ็กเก็ตสีขาวที่แห้งแข็งกระด้างอยู่ด้วย

“ในตอนนั้นพวกเรารู้สึกว่าของล้ำค่าที่ต้องเอากลับไปให้ได้นั้น มันต้องอยู่บนตัวของ ‘คนไร้ใจ’ ตนนี้แน่ๆ จึงเร่งฝีเท้าขยับเข้าไปใกล้และเตรียมพร้อมที่จะยิง

“แต่ใครจะไปรู้ กลับมีพวก ‘คนไร้ใจ’ โผล่ออกมาเต็มไปหมด พวกมันซ่อนตัวอยู่แถวๆ นั้น

“มันเป็นกับดัก!”

เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ไม่ว่าจะเป็นอานหรูเซียงหรือว่าชายที่อยู่ด้านข้างเธอต่างก็อดแสดงความหวาดกลัวออกมาไม่ได้

“หลังจากนั้นล่ะ เกิดอะไรต่ออีก” เจี่ยงไป๋เหมียนถามต่อโดยไม่ได้เดาเอาเอง

อานหรูเซียงสูดหายใจเข้าลึกๆ อีกครั้ง

“ตอนที่ ‘คนไร้ใจ’ ที่ซุ่มอยู่ปรากฏตัวขึ้นมา ความรู้สึกที่ว่าผีดลใจก็หายไป ไม่ได้รู้สึกว่าบนร่างของ ‘คนไร้ใจ’ ตนนั้นมีสิ่งล้ำค่าที่จะต้องเอากลับไปให้ได้อีก

“โชคยังดีที่มี ‘คนไร้ใจ’ แค่บางส่วนเท่านั้นที่มีปืน พวกที่มีปืนบางตนก็ใช้ปืนแทนท่อนเหล็ก น่าจะเป็นเพราะว่าไม่มีกระสุนแล้ว

“สรุปก็คือพวกเราหาที่ซ่อนตัวได้ทันเวลาพอดี ตอนที่ถูกยิงในระลอกแรกก็เลยไม่มีใครตาย ต่อจากนั้นก็เปิดฉากต่อสู้กันอย่างดุเดือด

“แต่เดิมที หลังจากที่พวกเราจัดการพวก ‘คนไร้ใจ’ ไปได้เยอะพอสมควร ในตอนนั้นดูท่าแล้วพวกเราก็คงต้องตายกันหมด แต่สวรรค์ยังเมตตา จู่ๆ ก็มีหลวงจีนจักรกลห่มจีวรแดงมาจากไหนก็ไม่รู้ ไม่รู้ด้วยว่ามาทำไม แต่พอมาถึงก็ปรี่เข้าไปหา ‘คนไร้ใจ’ ที่เป็นผู้หญิงทั้งหมด โจมตีใส่อย่างดุร้ายป่าเถื่อน

“ฉันรู้สึกได้ว่าเขาเองก็มีจิตมุ่งร้ายมาที่ฉันด้วยเหมือนกัน”

เจี่ยงไป๋เหมียนอดโพล่งออกมาไม่ได้

“จิ้งฝ่า…”

ไอ้เจ้าหลวงจีนจักรกลบ้านั่นซ่อมแซมตัวเองเสร็จแล้ว แถมยังเข้ามาร่วมความครึกครื้นในซากเมืองที่เพิ่งค้นพบด้วยอย่างงั้นเหรอ

“คุณรู้จักเขาเหรอ” อานหรูเซียงถามด้วยความแปลกใจ

“ก็เคยปะทะกันมาก่อนน่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบสั้นๆ

เฉียวชูฟังอยู่เงียบๆ ด้านข้างโดยไม่ได้หยุดการสนทนาของพวกเขา ราวกับว่ากำลังรวบรวมข้อมูลที่เป็นประโยชน์อยู่

อานหรูเซียงไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติม เธอวกกลับไปยังหัวข้อสนทนาก่อนหน้า

“พอมีหลวงจีนจักรกลนั่นเข้ามาร่วมวงด้วย พวกเราก็เลยสบโอกาสหนี โส่วสือช่วยระวังหลังให้ คอยคุ้มกันให้เราถอยกลับออกมาก่อน

“พวกเรานัดหมายสถานที่และเวลากันไว้ แต่ว่า… เหอะ เหอะ เขาชอบพูดอยู่ตลอดว่าเป็นคนตรงเวลา แต่ครั้งนี้เขากลับมาสาย…”

ตอนนี้ซางเจี้ยนเย่าเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว พูดขึ้นอย่างจริงจัง

“อาจเป็นเพราะว่าเขาไม่ได้สวมนาฬิกา”

อานหรูเซียงชะงักไปชั่วขณะ จากนั้นก็หัวเราะ

“ใช่แล้วล่ะ ในตอนที่พวกเราถูกซุ่มโจมตี นาฬิกาล้ำค่าของเขาเรือนนั้น ก็สายขาดหล่นอยู่แถวๆ นั้น”

อานหรูเซียงยิ้มแล้วยกมือขึ้นมาปาดดวงตา

หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีเธอก็พูดด้วยเสียงแหบที่ดังขึ้นอีกนิด

“ตอนนั้นฟ้ายังไม่มืด พวกเราเลยรีบหาที่ซ่อนตัวกันก่อน ว่าจะซ่อนตัวซักพัก รอให้การเคลื่อนไหวต่างๆ สงบลงถึงค่อยอ้อมไปที่จุดนัดพบ แต่ว่ายังไม่ทันจะไปถึง ก็มาเจอกับพวกคุณเข้าซะก่อน”

“เสียงปืนก่อนหน้านี้ไม่ใช่มาจากพวกคุณงั้นเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนขบคิดพลางถอนใจ

จากนั้นสบถตำหนิตัวเองออกมา

“จริงสิ สองวันนี้ทำไมฉันถึงได้เลินเล่ออะไรแบบนี้ คิดอะไรก็ไม่รอบคอบ

“บางทีอาจเป็นเพราะเฉียวชูบอกว่าม้าฝันร้ายนั้นสร้างฝันร้ายที่กลายเป็นจริง ความคิดฉันก็เลยถูกจำกัดเอาไว้แค่เฉพาะสัตว์ประหลาดกลายพันธุ์เท่านั้น

“จากที่อานหรูเซียงกับคนอื่นเจอมา เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าในซากเมืองแห่งนี้จะมี ‘คนไร้ใจ’ กลายพันธุ์ แถมยังค่อนข้างจะพิเศษมาก มีพลังที่แปลกประหลาด หาได้ยากมากในโลกภายนอก

“นอกจากสัตว์ประหลาดที่ทำให้คนหลับได้แล้ว ก็ยังอาจจะมี ‘คนไร้ใจ’ กลายพันธุ์นั่นอีกด้วย

คำพูดพวกนี้เธอพูดกับไป๋เฉิน หลงเยว่หง และคนอื่นๆ ขณะเดียวกันก็เป็นการเตือนอานหรูเซียงให้พวกเขาระวังสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์นั่นด้วย

ไป๋เฉินพยักหน้ากล่าวว่า

“ที่ ‘ปฐมนคร’ และกองกำลังในสังกัด เรียก ‘คนไร้ใจ’ พวกนี้ว่า ‘คนไร้ใจขั้นสูง’”

หลงเยว่หงได้ยินแล้วก็บังเกิดคลื่นความกลัวขึ้นมาอีกระลอก

อานหรูเซียงฟังจนจบก็สูดหายใจลึกก่อนจะพูดต่อ

“สิ่งที่ควรพูด ฉันก็พูดไปหมดแล้ว เชื่อว่าน่าจะเป็นประโยชน์และทำให้พวกคุณได้เข้าใจสถานการณ์มากขึ้น

“ตอนนี้ช่วยบอกฉันหน่อยได้ไหมว่าโส่วสืออยู่ที่ไหน”

เจี่ยงไป๋เหมียนกลับหลังหันชี้ไปทางที่เข้ามา

“จากจุดนี้ตรงไปแล้วเลี้ยวขวา มีห้องหนึ่งอยู่ริมถนนฝั่งขวาที่ปิดประตูเหล็กไว้ เขาอยู่ในนั้น

“แต่ว่าถนนเส้นนั้นอันตรายมาก มีพวก ‘คนไร้ใจ’ อยู่เต็มไปหมด จะให้ดีพวกคุณน่าจะอ้อมไปดีกว่า”

“ขอบคุณ” อานหรูเซียงและชายคนนั้นพูดออกมาพร้อมกัน

ตอนนี้ซางเจี้ยนเย่าก้าวออกมาสองสามก้าวแล้วหยิบเอากระดาษที่พับไว้อย่างเรียบร้อยออกมา

“เขาพกนี่เอาไว้”

“นี่เป็นตรานักล่าของเขา” เจี่ยงไป๋เหมียนส่งตรานักล่าของอู๋โส่วสือให้ด้วย

อานหรูเซียงยื่นมือออกไปรับไว้ จากนั้นคลี่กระดาษออกถือในระยะสายตาตามสัญชาตญาณ แล้วกวาดตามองตัวหนังสือภายใต้แสงจันทร์ที่ยังไม่อ่อนแสงมากนัก

“ติดหนี้หรูเซียง เนื้อวัวหนึ่งกระป๋อง

“ติดหนี้อากัง ค่าตอบแทนสองครั้งกับบิสกิตอัดแข็งถุงใหญ่

“ติดหนี้ขาเป๋จาง น้ำมันครึ่งชาม

“ติดหนี้โอเลงค์ ปืนพกหนึ่งกระบอก กระสุนสิบนัด

“ติดหนี้เสี่ยวกวง เนื้อหนึ่งชุด

“ติดหนี้หรูเซียง ดอกไม้หนึ่งดอก…”

ปากของอานหรูเซียงบิดกระตุกแต่เธอพยายามเม้มเอาไว้แน่นไม่ยอมให้มันเผยอออกมา

นี่ทำให้ใบหน้าของเธอดูแปลกพิกลเล็กน้อย นัยน์ตาและรอบดวงตาเธอนั้นเหมือนจะมีอะไรบางอย่างที่สะท้อนแสงจันทร์เป็นประกาย

เจี่ยงไป๋เหมียนกับคนอื่นๆ ไม่ได้พูดอะไร ต่างก็รออย่างเงียบๆ ให้เธอปรับอารมณ์

หลังจากนั้นไม่นานอานหรูเซียงก็ผ่อนลมหายใจออกแล้วพูดขึ้น

“ขอบคุณ

“ข้าวของอื่นๆ ไม่ต้องคืนให้ฉันหรอก”

พูดจบเธอก็หันหน้าไปพูดกับชายที่อยู่ด้านข้าง

“อากัง เราไปหาโส่วสือกันเถอะ”

“ตกลง” ชายคนนั้นตอบเสียงต่ำ

อานหรูเซียงไม่ได้ร่ำไรอะไรอีก ไม่แม้กระทั่งบอกลา เธอรีบวิ่งไปยังถนนที่อยู่ห่างออกไป วางแผนจะใช้เส้นทางอ้อมเพื่อหลีกเลี่ยงอันตราย

“ข้อมูลที่สำคัญที่สุดที่เราได้มา ก็คือการทำให้หลับนั้นดูเหมือนว่าจะกำหนดเป้าหมายได้แค่ครั้งละคนเท่านั้น” เจี่ยงไป๋เหมียนละสายตากลับมา พูดเตือนสมาชิกในทีม

ในตอนนี้เฉียวชูที่สวมหมวกเกราะและชุดเกราะโลหะสีดำก็ถามขึ้นมา

“จิ้งฝ่าเป็นใคร”

“เป็นหลวงจีนจักรกล แถมยังเป็น ‘ผู้ตื่นรู้’ ด้วย…” เจี่ยงไป๋เหมียน หลงเยว่หง และคนอื่นๆ ต่างรีบแย่งกันตอบเฉียวชูถึงเรื่องของจิ้งฝ่าที่ได้รู้มาก่อนหน้านี้ และตบท้ายด้วยว่า “สิ่งที่เขาต้องสละคือมี ‘ความกระหายในกามารมณ์’ เพิ่มขึ้น แต่เป็นเพราะว่าเขาย้ายจิตกลายมาเป็นสิ่งมีชีวิตจักรกล ไม่สามารถตอบสนองความต้องการได้ จึงทำให้จิตใจวิปริตบิดเบี้ยว เกลียดผู้หญิงจนเข้าไส้”

“เกลียดผู้หญิง…” เฉียวชูทวนคำแต่ไม่ได้ถามอะไรเพิ่มอีก จากนั้นก็ชี้ไปข้างหน้าแล้วพูด “ไปกันต่อเถอะ อ้อมไปอีกหน่อยก็ถึงแล้ว”

ซางเจี้ยนเย่าและคนอื่นๆ ก็กระชับอาวุธแล้วเริ่มออกวิ่งเหยาะๆ อีกครั้ง

* * * * *

อานหรูเซียงที่เข้ามาถึงถนนอีกเส้น จู่ๆ ก็ชะลอฝีเท้า ยกมือขึ้นมานวดขมับด้วยความสับสนงุนงง

“มีอะไรเหรอ” ผู้ชายด้านข้างเธอถามขึ้นด้วยความสงสัย

อานหรูเซียงตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“นายไม่รู้สึกว่ามีปัญหาอะไรบ้างเหรอ เมื่อกี้พวกเราขาดความระมัดระวังตัวไปเลย รู้สึกเพียงแค่ว่าอยากจะติดตามคนสวมชุดเกราะกระดูกเสริมแรงนั่นไป

“ในตอนนั้นฉันถึงกับลืมโส่วสือไปแล้ว คิดเพียงแต่ว่าอยากทำให้คนนั้นพอใจเท่านั้น”

ชายที่อยู่ด้านข้างอานหรูเซียงค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้น

“จริงด้วย

“ฉัน… เธอก็รู้ว่าฉันชอบผู้หญิง แต่ว่าเมื่อกี้ฉันกลับคิดว่า… คิดว่าถ้าหากเป็นเขา ก็ไม่เลวเหมือนกัน…

“นี่… นี่มันประหลาดพิลึกใช่ไหม”

รัตติกาลไม่สิ้นแสง

รัตติกาลไม่สิ้นแสง

Status: Ongoing
อ่านนิยาย รัตติกาลไม่สิ้นแสงเขต C ชั้นที่ 495 ของอาคารศูนย์กิจกรรม ผนังสีเขียวอมเทาด้านนอกเต็มไปด้วยรอยวาดขีดเขียนสารพัด หญิงสาวหกเจ็ดคนเดินเข้าไปข้างในด้วยสีหน้าเจืออารมณ์ตื่นเต้น คาดหวัง และประหม่า เสื้อผ้าพวกเธอนั้นเรียบง่าย ไม่ได้มีสีสันมากมาย ส่วนใหญ่เป็นสีน้ำเงิน สีดำ สีขาว และสีเขียว แต่ทุกคนล้วนดูงดงามและอ่อนเยาว์ ระหว่างที่พวกเธอกำลังมองดูหน้าจอ LCD ซึ่งมีเพียงหน้าจอเดียวในชั้นนี้ หญิงสาวที่อยู่หัวแถวด้านหน้าอดกระซิบขึ้นไม่ได้ “ไม่รู้ว่าทางบริษัทจะหาสามีแบบไหนให้ฉันกันนะ”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset