ลาก่อน คุณสามี – ตอนที่ 34 ถ้าพวกเขายังไม่ออกไปให้โทรแจ้งตำรวจ

เฉินเป่ยฉวนไม่คิดว่าตัวเองทำอะไรที่ทำร้ายจิตใจคนอื่น เขาก้มลงมองนาฬิกาข้อมือแล้วเอ่ยขึ้นมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือก “ครบสามนาทีแล้ว ผมแนะนำให้พวกคุณรีบออกไปจาก MR ได้แล้ว ไม่อย่างนั้นผมจะบอกให้รปภ.โทรแจ้งตำรวจ ผมสงสัยว่าเจตนาของพวกคุณจะไม่ใช่แค่การสัมภาษณ์ธรรมดาๆ”

พูดจบจึงหันไปหาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย “อีกสิบห้านาทีถ้าพวกเขายังไม่ออกไป ให้โทรแจ้งตำรวจได้เลย”

“ครับ เจ้านาย”

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหนุ่มใหญ่ทำหน้างงๆ นักข่าวมาสัมภาษณ์ตามหน้าที่ ไม่นึกว่าประธานเฉินจะถึงกับแจ้งตำรวจ ในเมื่อพวกเขาทำงานในวงการบันเทิงเหมือนกัน ทำแบบนี้จะดีจริงๆ หรือ?

หลังจัดการธุระเสร็จแล้ว เฉินเป่ยชวนก็ทำเหมือนคนอื่นไม่มีตัวตนและเดินออกจากประตูไปที่รถมายบัคซึ่งจอดอยู่ข้างๆ ขึ้นรถและสตาร์ทออกไปง่ายๆ แบบนั้น

นักข่าวที่เหลือต่างมองหน้ากันและกัน ประธานเฉินบอกว่าให้เวลาพวกเขาออกไปภายในสิบห้านาทีไม่อย่างนั้นจะโทรแจ้งตำรวจ พวกเขาควรจะเชื่อดีไหม

เฉียวชูเฉี่ยนฟุบหน้าอยู่ข้างหน้าต่างและลืมมองไปพักหนึ่ง ตอนนี้นักข่าวที่เคยรออยู่หายไปหมดไม่เหลือแม้แต่เงา หลังจากดูอีกสองครั้งเพื่อยืนยันให้แน่ใจว่าไม่มีใครคอยดักอยู่แล้วจริงๆ จึงถอนหายใจอย่างโล่งอก ขณะเดียวกันก็รู้สึกใจหายเล็กน้อยเพราะดูเหมือนว่าเธอจะพลาดโอกาสที่ดีที่จะมีชื่อเสียงไปแล้ว

เธอเก็บข้าวของแล้วลงไปชั้นล่าง เมื่อเห็นว่าไม่มีใครปิดล้อมอยู่แล้วจึงโบกมือเรียกแท็กซี่ แล้วเหลือบไปมองที่ลานจอดรถ รถมายบัคที่เคยจอดอยู่ตรงนั้นหายไปแล้ว เฉินเป่ยชวนออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่นะ?

ในขณะเดียวกัน รถมายบัคกำลังมุ่งตรงไปที่คฤหาสน์ตระกูลเฉียว ภายในรถมีเพลงเปิดคลอเบาๆ เขาที่ฟังเพลงอยู่ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยจนแทบจะมองไม่เห็น

หลังจากนักข่าวออกไปแล้ว เธอควรรีบกลับบ้านโดยเร็ว

รถเลี้ยวไปที่โค้งสุดท้ายและเตรียมจะหาที่จอดรถหลบไว้ แต่เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นรถ SUV สีน้ำเงินจอดอยู่ที่หน้าคฤหาสน์ตระกูลเฉียว มุมปากที่กระตุกยิ้มอยู่เมื่อครู่ก็กลับเม้มจนเป็นเส้นตรง เฉินเป่ยชวนมองไปที่รถคันนั้นด้วยสายตาเยียบเย็น

เจ้าของมันคงมารายงานตัววันละสามครั้งสินะ!

เขาไม่มีอารมณ์ฟังเพลงอีกจึงเอื้อมมือไปปิดเพลง สายตาที่เย็นชาหันไปมองที่ชั้นสองของคฤหาสน์เพราะมีไฟเปิดไว้ แล้วเห็นเงาคนข้างในเดินมาเปิดผ้าม่านออกพอดี เขาเห็นพ่อลูกคู่หนึ่งกำลังวิ่งเล่นกันไปรอบๆ และได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วเบาลอดผ่านมาจากภายในห้อง

พายุลูกหนึ่งก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วภายในม่านตาสีอำพันของเขา ในกระจกรถสะท้อนให้เห็นรถแท็กซี่คันหนึ่งซึ่งขับมาทางนี้อย่างรวดเร็วและจอดลงที่หน้าประตูคฤหาสน์

เฉียวชูเฉี่ยนจ่ายเงินแล้วลงจากรถทันที เจ้าตัวน้อยไปโรงเรียนวันแรก แต่เธอซึ่งเป็นแม่ไม่ได้ไปรับเขาที่โรงเรียน จึงได้แต่หวังว่าเขาจะไม่โกรธ

ส่วนเรื่องลู่ฉี บางทีเธออาจจะคุยกับเขาให้ชัดเจนในวันนี้

เธอล้วงกุญแจบ้านออกจากกระเป๋ามาเปิดประตูอย่างคล่องแคล่วว่องไวแล้วเดินเข้าไป แต่การกระทำที่ปกตินี้กลับถูกตีความแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงด้วยสายตาอีกคู่ที่มองมา

“เธอรีบเข้าไปขนาดนี้ คงนัดลู่ฉีไว้ละสิ!”

เขาพึมพำกับตัวเองอย่างเย็นชา ดวงตาหรี่ลงอย่างน่ากลัว

“เฉียวชูเฉี่ยน ถ้าฉันไม่มีความสุข เธอก็อย่าหวังว่าจะมีความสุข… ฉันจะทำให้เธอเข้าใจเสียทีว่าหลังจากแต่งงานกับฉัน เฉินเป่ยชวน… เธอก็อย่าได้คิดจะเป็นผู้หญิงของคนอื่นไปชั่วชีวิต”

น้ำเสียงที่เยือกเย็นถูกพัดหายไปกับสายลมยามค่ำคืน เหลือไว้เพียงไอเสียจางๆ ของรถมายบัค

ในคฤหาสน์

เฉียวชูเฉี่ยนวางกระเป๋าบนตู้ลิ้นชักตรงประตูแล้วก้าวเท้าเบาๆ ขึ้นไปชั้นบน ขณะที่เพิ่งขึ้นบันไดไปได้เพียงครึ่งทางก็ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักดังมาจากบนนั้น จนเธอรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างห้ามใจไม่อยู่

ปกติเวลาอยู่กับเจ้าตัวน้อย แม้ว่าเขาจะเข้าใจอะไรหลายๆ อย่างแต่เขาก็ไม่เคยถามถึงพ่อผู้ให้กำเนิดและไม่เคยขอให้เธอเล่นพ่อลูกกับเขาเลย ทว่าเธอรู้สึกได้ว่าเขากำลังคาดหวังอะไรบางอย่าง

และเธอยังได้เห็นความคาดหวังเช่นนี้เมื่อตอนที่ลู่ฉีไปเยี่ยมพวกเขาที่อเมริกาเป็นครั้งแรก ในตอนนั้นเจ้าตัวน้อยเพิ่งจะเจ็ดแปดเดือน ยังไม่รู้จากลู่ฉีด้วยซ้ำ แต่ทุกครั้งที่เขาอุ้ม จิ่งเหยียนจะหัวเราะคิกคักอย่างมีความสุข

เพราะเหตุนี้เธอจึงไม่ปฏิเสธการไปมาหาสู่ของลู่ฉีหลังจากนั้น เพราะเธอหวังว่าชีวิตวัยเด็กของเจ้าตัวน้อย แม้ว่าจะไม่มีพ่อ แต่ก็ยังมีอาลู่ฉีคอยอยู่เป็นเพื่อน มีผู้ชายดีๆ คอยสร้างโลกทัศน์ให้เขา

ก่อนนี้เธอยังพอปลอบใจตัวเองได้ แต่หลังจากที่ลู่ฉีเปิดเผยความรู้สึก เธอก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนเห็นแก่ตัวมาก

ฝีเท้าที่เบาค่อยๆ ลงน้ำหนักมากขึ้น เธอขึ้นไปข้างบนและเปิดประตูห้องนอนออกด้วยรอยยิ้ม เมื่อเห็นคนตัวโตและคนตัวเล็กเกลือกกลิ้งกันอยู่บนที่นอน รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งในดวงตา “จิ่งเหยียน รีบลุกมาจากตัวคุณอาฉีได้แล้ว หนูไม่ดูหน่อยหรือว่าตัวเองหนักแค่ไหนแล้ว”

ตอนนี้เขาไม่ใช่เด็กสองสามขวบแล้ว น้ำหนักเป็นสิบๆ กิโลที่ทับลงไปนั่นหนักไม่ใช่เล่น

เธอถูกจิ่งเหยียนเมินเฉยเรื่องน้ำหนัก เจ้าตัวน้อยทำหน้ามุ่ยแต่ก็ยอมคลานลงมาจากตัวลู่ฉีอย่างว่าง่าย “ใครบอกนะว่าจะรีบไปรับผมที่โรงเรียนเป็นคนแรกทุกวันหลังเลิกงาน”

เธอเคยชินแล้วจริงๆ กับการพูดไปอย่างไม่มีความหมายในโลกของผู้ใหญ่

“ขอโทษนะจ๊ะ วันนี้ที่บริษัทมีเรื่องนิดหน่อยน่ะ”

ลู่ฉีมองมาที่เธออย่างสงสัย “เฉี่ยนเฉียน เกี่ยวกับเรื่องนั้นหรือเปล่า”

“ไม่ใช่ค่ะ แค่มีแผนงานที่ต้องแก้ไข พรุ่งนี้ต้องใช้แล้ว ฉันเลยอยากทำงานล่วงเวลาแล้วรีบทำแผนงานออกมาเร็วๆ”

เธอส่ายหน้าทันที หลีกเลี่ยงที่จะให้เจ้าตัวน้อยรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

“ดีแล้ว”

เมื่อลู่ฉีเห็นเธอปฏิเสธ แม้ว่าในใจจะยังเต็มไปด้วยความสงสัย แต่สีหน้าก็กลับมามีรอยยิ้มเหมือนเดิม เขามองท้องฟ้าที่ด้านนอกก่อนจะเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง “ดึกขนาดนี้แล้วคุณยังไม่ได้กินอะไรเลยใช่ไหม คุณผอมเกินไปแล้ว ปล่อยให้ท้องหิวบ่อยๆ ไม่ดีนะ ที่บ้านมีก๋วยเตี๋ยวอยู่ เดี๋ยวผมไปทำให้”

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันทำเอง”

เฉียวชูเฉี่ยนรีบปฏิเสธ เธอรู้สึกว่าตัวเองทำผิดต่อลู่ฉีมากเกินไปแล้ว เธอไม่อาจสะกดจิตตัวเองให้แกล้งทำเป็นไม่รู้ได้อีกต่อไปเพียงเพราะเขาดีกับเธอ

เธอกลัวว่าจะยิ่งเป็นหนี้บุญคุณมากขึ้นเรื่อยๆ จนไม่รู้ว่าจะชดใช้อย่างไร

แววของความอึดอัดและไม่สบายใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของลู่ฉีแว็บหนึ่ง เธอปฏิเสธเขาอย่างกังวล

“ฝีมือทำก๋วยเตี๋ยวของคุณแย่มาก ผมทำให้คุณแล้วก็จะกลับละ”

เขาปรับความคิดของตัวเองใหม่และพูดในสิ่งที่เธอไม่อาจปฏิเสธได้อีก

“อย่างนั้นก็ได้”

“ผมเริ่มอ้วนเกินไปแล้ว ไม่กินก๋วยเตี๋ยวด้วยแล้วนะฮะ หม่ามี๊กับอาฉีกินกันไปเถอะ”

เจ้าตัวน้อยเอนกายลงบนเตียงโดยไม่คิดจะลุก ถึงอย่างไรเขาก็กินอาหารจากข้างนอกมาจนอิ่มแล้ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องลงไปเป็นก้างขวางคออีก บางทีถ้าเขาไม่ไป ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนอาจจะก้าวหน้าขึ้นมาบ้าง

เฉียวชูเฉี่ยนลงไปข้างล่างกับลู่ฉี ขณะที่เขาง่วนอยู่ในครัว ในหัวของเธอก็คิดแต่ว่าจะเริ่มพูดกับลู่ฉีอย่างไรดี

สไตล์การตกแต่งด้วยสีเบจทำให้พื้นที่ว่างแต่เดิมดูอบอุ่นขึ้นมาก โดยเฉพาะไฟในห้องครัวและห้องรับประทานอาหาร แสงสว่างที่พอดิบพอดีเช่นนี้ทำให้รู้สึกเจริญอาหารได้เสมอ

ลู่ฉีสวมผ้ากันเปื้อนและล้างมือจนสะอาดเรียบร้อยก่อนจะเริ่มตั้งเตาไฟ เสียงเดือดของน้ำมันทำให้บรรยากาศมีกลิ่นหอมจางๆ และทำให้บ้านดูอบอุ่นอย่างที่ควรจะเป็น

เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อย่างไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองหลงยึดติดอยู่ในความรู้สึกเช่นนี้

“การปรุงก๋วยเตี๋ยวต้องใส่ใจเรื่องอุณภูมิของน้ำและระดับความร้อน มะเขือเทศนี่ต้องผัดในน้ำมันก่อนถึงจะอร่อย แบบที่คุณทำมันดูเป็นฝรั่งเกินไป หน้าตาดูดีแต่ไม่มีรสชาติ”

ลาก่อน คุณสามี

ลาก่อน คุณสามี

ความทรงจำของปลาอยู่ได้แค่ 7 วินาที แต่ฉันกลับรักคุณมาถึง 7 ปี ……………..เฉียวชูเฉี่ยน เฉียวชูเฉี่ยนไม่คิดเลยว่าวันแรกที่เธอมาถึงประเทศจีน เธอจะได้พบกับอดีตสามีของเธอ……….เฉินเป่ยชวน มีข่าวลือมาว่า เจ้าของกิจการสถานบันเทิงอย่างเฉินเป่ยชวน เป็นคนที่มีนิสัยแปลกๆ และไม่สนใจผู้หญิง แต่กลับไม่มีใครรู้ว่าเขาเคยแต่งงานและเคยหย่ามาก่อน ซ้ำยังมีลูกแล้วอีกด้วย “ใคร” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นยิ่งกว่าน้ำแข็งในขั่วโลกเหนือ “เป็น…….เป็นลูกของฉันเอง” “อ่อ ถ้างั้นคุณเลขาเฉียวสาธิตผมหน่อยสิว่าทำยังไง” เขาหยุดคำพูดของเขา และก้าวเข้าไปหาเธอ ทำให้เธอไปไหนไม่ได้ดวงตาของชายหนุ่มมืดลงทันที คุณลุงลู่ฉีเหรอ? “………” เธอ ซวย แล้ว! เฉียวชูเฉี่ยน เด็กน้อยเฉียวจิ่งเหยียนไม่ทำตาม และเข้าไปกัดต้นขาของเขา “ปล่อยหม่ามี๊ของผมนะ ผมเป็นลูกของหม่ามี๊และคุณลุงลู่ฉี ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคุณ”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset