ลาก่อน คุณสามี – ตอนที่ 62 ผมเป็นผู้ชายนะ

เสื้อเชิ้ตสั่งตัดพิเศษสีขาวถูกเธอฉีกออกจากกัน เผยให้เห็นบาดแผลที่มีเลือดไหลอาบอยู่

เฉียวชูเฉี่ยนรู้สึกเจ็บปวดอยู่ในใจ หากเฉียดอีกนิดกระสุนคงได้ทะลุจากหลังเข้าสู่หัวใจเขา ถึงเวลานั้นเฉินเป่ยชวนคงได้ไปสวรรค์จริงๆ แล้ว

“ไม่มียาชา คุณจะเจ็บมากนะคะ”

เธอแสบจมูกเล็กน้อย ไม่รู้เขาจะได้ยินเสียงเธอไหม

“ผมเป็นผู้ชายนะ”

เฉินเป่ยชวนหลับตาอย่างหมดแรง ริมฝีปากขยับเล็กน้อย เมื่อเทียบกับความเจ็บปวดคืนแล้วคืนเล่าของเมื่อเจ็ดปีก่อน โดนมีดแทงก็ไปเจ็บอะไร

เห็นชัดๆ ว่าเจ็บปวดและขาดเลือดจนจะหมดสติอยู่แล้ว ยังมาทำท่าแสดงความเป็นลูกผู้ชายออกมาอีก ตาเธอแดงก่ำ และพยายามยิ้มออกมา แต่ดูจะขี้เหร่กว่าตอนร้องไห้เสียอีก “ไม่แน่ฉันอาจลงมือล้างแค้นคุณก็ได้นะคะ”

เจ็ดปีก่อนก็ดี หลายวันก่อนก็ด้วย เขาทำให้เธอเจ็บปวดใจมาไม่น้อยเลย

เฉินเป่ยชวนไม่พูดอะไร เขาเหลือบตามองดูเธอ แล้วพูดอย่างเซ็กซี่ออกมาว่า “คุณก็ลองดูสิ”

เฉียวชูเฉี่ยนทำปากเบะ แหงนหน้ามองท้องฟ้า พยายามทำใจให้สงบ และไม่ให้มือตัวเองสั่น

มีดแหลมคมกรีดลงบนผิวหนัง จากเซลล์ผิวหนังชั้นนอกลงมาจนถึงชั้นผิวหนังแท้ที่มีเนื้อเยื่อ การเคลื่อนไหวบนมือเธอเป็นไปอย่างลื่นไหล รวดเร็วและละเอียดลออ เหตุที่ต้องทำเช่นนี้ก็เพื่อให้กล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังได้รับผลกระทบน้อยที่สุด และเจ็บปวดน้อยที่สุด

เนื่องจากไม่มีท่อดูดของเหลว เมื่อลงมีดแล้วเลือดสดๆ ร้อนๆ จึงกระเด็นออกมาโดนมือ และเสื้อผ้าบนตัว เธอรีดเค้นจิตวิญญาณอันเยียบเย็นเพื่อเตือนสติตัวเองไม่ให้ไปแยแสกับอะไรอยู่ตลอด

ด้วยกระสุนปืนมีขนาดที่เล็กมาก แต่ไม่มีอุปกรณ์เฉพาะ บาดแผลที่กรีดออกมาจึงไม่สวยงาม ไม่ต่างอะไรกับบาดแผลสมัยก่อนที่จะมีการพัฒนาด้านอุปกรณ์ทางการแพทย์

เวลาผ่านไปเพียงสองสามวินาที แต่หน้าผากของเฉียวชูเฉี่ยนกลับเต็มไปด้วยเหงื่อ เธอฝึกงานในโรงพยาบาลแค่ครึ่งปี อีกทั้งยังไม่มีใบประกอบวิชาชีพทางการแพทย์อีกด้วย ทุกครั้งที่ลงมีดใจเธอจะกลัวเป็นพิเศษ แต่สติสัมปชัญญะบอกเธอว่าจะต้องเอาชนะความหวาดกลัวนี้ไปให้ได้

มีดแตะถูกตำแหน่งที่มีลูกกระสุนแล้ว เฉียวชูเฉี่ยนจึงสูดลมหายใจเข้า “เฉินเป่ยชวน ฉันจะดึงกระสุนออกมาแล้วนะคะ”

“อืม”

เฉินเป่ยชวนตอบรับออกมาด้วยลมหายใจที่รวยริน เขาวางมือลงบนขาที่สั่นเทาอย่างควบคุมไม่อยู่แล้วของเธอ

เธอใช้มีดคว้านลงไป แล้วสะกิดเอาลูกกระสุนออกมาอย่างรวดเร็วและประณีต ช่วงพริบตานั้นมือที่อาบเลือดสดๆ สัมผัสได้ถึงอาการสั่นเทาและเกร็งตามกล้ามเนื้อลำตัวเขา การถอนกระสุนด้วยวิธีนี้จะเจ็บมาก แม้เธอจะไม่เคยเจอเองกับตัวแต่ก็จินตนาการออกมาได้

“เฉินเป่ยชวน คุณยังโอเคดีอยู่ไหมคะ!”

เธอทิ้งมีดบนมือ แล้วหันไปมองหน้าเฉินเป่ยชวน อยากจะแน่ใจว่าเขายังมีสติดีอยู่หรือไม่

“อาจารย์คุณไม่ได้บอกหรือว่าจะต้องพันแผลด้วย?”

เฉินเป่ยชวนหน้าซีดขาวเหมือนกระดาษ เขาดูราวกับจะตายได้ทุกเมื่อ เมื่อพูดออกมาประโยคหนึ่งด้วยลมหายใจที่แผ่วเบาเต็มที ศีรษะก็กระแทบไหล่เธออย่างแรง

“เป่ยชวน!”

เฉียวชูเฉี่ยนตะโกนออกมา เธอรีบตรวจสอบการเต้นของหัวใจก็พบว่าเข้าข่ายปกติอยู่ จากนั้นจึงเอาเสื้อเชิ้ตและกระโปรงของตัวเองมามัดรวมกันเป็นผืนยาวๆ เพื่อพันแผลที่มีเลือดไหลออกมาไม่หยุด

พันแผลเสร็จ ความหวาดกลัวและเหน็ดเหนื่อยก็ทำให้เธอหมดแรงลง เธอจัดท่าให้เฉินเป่ยชวนมาอยู่ในอ้อมแขนของเธอแล้วเหม่อมองพระอาทิตย์ที่กำลังตกดิน

กระสุนถูกถอนออกมาโดยปราศจากยาห้ามเลือด แม้ขยับเพียงเล็กน้อย ก็อาจทำให้มีเลือดไหลซ้ำออกจากบาดแผลได้ หากสูญเสียเลือดจนช็อก ปัญหาใหญ่จะตามมา

“คืนนี้เราพักที่นี่แล้วกันค่ะ”

หากถังอี้ไม่ได้รับบาดเจ็บ เขาจะต้องส่งคนออกตามหาพวกเธอแน่ คุณตำรวจก็เช่นเดียวกัน และไม่แน่พวกเธออาจได้เจอคนดีระหว่างทาง จะต้องมีทางรอดแน่

ฟ้าใกล้จะมืดแล้ว กลางวันอุณหภูมิสูง แต่พอตกกลางคืนจะเย็นขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด เฉียวชูเฉี่ยนมองชายหนุ่มในอ้อมกอดที่ตัวสั่นไม่หยุด จึงรีบถอดเสื้อคลุมที่ขาดเป็นริ้วๆ ออกมาคลุมร่างกายที่เปิดโล่งของเขา

ชุดกระโปรงบนตัวเธอค่อนข้างบาง และเป็นแขนกุด แขนเธอจึงขนลุกขึ้นมา

“สวมลงไปซะ”

จู่ๆ บนตัวเธอก็มีเสื้อมาคลุมอีกชั้นหนึ่ง หรือเป็นเพราะการเคลื่อนไหวของเธอจึงทำให้เฉินเป่ยชวนที่หมดสติไปสองสามชั่วโมงฟื้นและลืมตาตื่นขึ้นมา

“ฉันไม่หนาวค่ะ ตอนนี้พวกเราไม่มียาฆ่าเชื้อหรือยาแก้อักเสบใดๆ บาดแผลจะติดเชื้อได้ง่าย หากเป็นหวัดขึ้นมา บาดแผลคุณจะยิ่งแย่ลงไปอีกนะคะ”

เธอส่ายศีรษะโดยไม่ต้องคิด แต่เฉินเป่ยชวนกลับเอาแต่จับแขนเธอไว้ “ใส่ซะ”

“ฉันไม่ใส่ค่ะ”

ยามนี้ในจำนวนพวกเขาสองคน คนที่เป็นอันตรายไม่ใช่เธอ แต่เป็นเขา

เฉินเป่ยชวนขมวดคิ้ว การขยับตัวเพียงเล็กน้อยส่งผลต่อบาดแผลที่หลังเขา ลมหายใจเขาหนักขึ้น ใบหน้าของเฉียวชูเฉี่ยนร้อนรนขึ้นมาทันควัน

“โดนถูกแผลหรือคะ คุณอย่าขยับนะคะ ไม่อย่างนั้นเลือดไหลไม่หยุดนะค่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นคุณก็กอดผมสิ”

ด้วยรู้ว่าเธอออกอาการดื้อรั้นแล้วเขาจึงต้องเปลี่ยนวิธี แต่ครั้งนี้เฉียวชูเฉี่ยนกลับไม่ลังเล เธอโอบเอวเขาเอาไว้ พยายามไม่ให้ถูกบาดแผลของเขา

หลังจากที่เฉินเป่ยชวนรวบรวมพลังทั้งหมดแล้วพูดออกไปเพียงไม่กี่คำ เขาก็หลับตาแล้วค่อยๆ นอนหลับไป ตกกลางคืน ความมืดปกคลุมไปทั่ว คนสองคนนอนหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า ในขณะที่ถังอี้และเหยียนสือเซี่ยที่ไม่รู้ชะตากรรมของสองคนนั้นก็ออกตามหาพวกเขาจนแทบจะบ้าอยู่แล้ว

“หาเจอไหมคะ คุณว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาไหมคะ?”

เหยียนสือเซี่ยสีหน้าดูร้อนอกร้อนใจ ตอนที่ตกลงมาเธอเหมือนจะได้ยินเสียงปืน อาจเป็นเพราะอาชีพทนายความ สมองของเธอในยามนี้จึงเอาแต่คิดถึงความเป็นไปได้ที่เลวร้ายที่สุด

“ไม่หรอกครับ มีเฉินเป่ยชวนอยู่คงไม่เกิดอะไรขึ้นหรอกครับ”

ปากเขาพูดออกไปอย่างใจเย็น แต่แอบร้อนรนอยู่ในใจ เขาพากำลังทหารรับจ้างสองสามนายออกตามหาตามที่จุดที่จะลงจอดได้

ส่วนบ้านตระกูลเฉินกำลังวุ่นวายกันยกใหญ่ ท่านผู้หญิงกังวลใจจนนอนไม่หลับ

เฉินเป่ยชวนไม่โทรมาเสียที ตกลงเขาหายายหนูเจอหรือยังนะ

“คุณแม่อย่าเป็นกังวลไปเลย วัยรุ่นสมัยนี้ไม่อยู่บ้านวันสองวันถือเป็นเรื่องปกติออกค่ะ ไม่แน่ตอนนี้สองคนนั้นอาจจะกำลังมีความสุขอยู่ที่ไหนก็ได้นะคะ”

เว่ยชูหรงกล่าวยิ้มๆ ออกมา แต่ในใจเอาแต่เฝ้าคิดอยากให้สองคนนั่นเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์จนเสียชีวิตอยู่ข้างนอก พอยายแก่นี้ตายไป ทรัพย์สมบัติตระกูลเฉินก็จะเป็นของเธอและจิ้นถง

“คุณย่าทวดครับ จะต้องไม่เกิดเรื่องอะไรกับหม่ามี๊ผมแน่นอนครับ”

เจ้าตัวน้อยจับมือท่านผู้หญิงแล้วยิ้มปลอบโยนท่าน แต่สายตาเขากลับฉายแววกังวลเป็นอย่างมาก เดี๋ยวอีกสักพักเขาจะลองโทรหาแม่ทูนหัวดูอีกที หากยังติดต่อไม่ได้อีกค่อยโทรหาคุณอาลู่ฉี

เขายังไม่อยากกลายเป็นเด็กน้อยน่าสงสารที่ไม่มีพ่อมีแม่หรอกนะ

ลมพัดตลอดทั้งคืน แต่คนสองคนกลับนอนหลับสนิทอยู่ในพื้นที่รกร้าง เฉียวชูเฉี่ยนลืมตาตื่นขึ้นมาตอนรุ่งเช้าของวันที่สอง

เดิมเป็นตัวเธอโอบเอวเขา ส่วนเขาเอาตัวอิงอยู่บนตัวเธอ มาตอนนี้กลายเป็นตัวเธอกำลังกกกอดอยู่ในอ้อมแขนเขา ส่วนเสื้อคลุมของเธอกลับมาคลุมอยู่บนตัวเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้

“เมื่อคืนฉัน……”

เธอรีบลุกจากพื้นขึ้นมานั่งทันที ใบหน้าเต็มไปด้วยความเขินอาย จากนั้นก็เหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้จึงตรวจดูบาดแผลที่ด้านหลังเขา อย่างที่คิดมีเลือดไหลซึมอยู่

“บาดแผลคุณเลือดออกอีกแล้วค่ะ”

เธอตำหนิตัวเองอยู่ในใจอย่างหนัก จะต้องเป็นเพราะเมื่อคืนเธอหลับไปอย่างสนิท จึงทำให้บาดแผลเขาปริออก

“ไม่ตายหรอกน่า” เขายิ้มปากซีด เฉินเป่ยชวนคนนี้ไม่ตายง่ายๆ ขนาดนั้นหรอก

เห็นเขายื่นมือมา เฉียวชูเฉี่ยนก็ผงะไปชั่วขณะ “คุณจะลุกขึ้นหรือคะ? คุณยังไม่เหมาะที่จะเคลื่อนไหวในตอนนี้นะคะ”

“ถึงอย่างไรบาดแผลก็มีเลือดออกมาแล้ว จะกลัวอะไร พวกเราไม่อาจอยู่ที่นี่ไปได้ตลอดหรอกนะ”

ลาก่อน คุณสามี

ลาก่อน คุณสามี

ความทรงจำของปลาอยู่ได้แค่ 7 วินาที แต่ฉันกลับรักคุณมาถึง 7 ปี ……………..เฉียวชูเฉี่ยน เฉียวชูเฉี่ยนไม่คิดเลยว่าวันแรกที่เธอมาถึงประเทศจีน เธอจะได้พบกับอดีตสามีของเธอ……….เฉินเป่ยชวน มีข่าวลือมาว่า เจ้าของกิจการสถานบันเทิงอย่างเฉินเป่ยชวน เป็นคนที่มีนิสัยแปลกๆ และไม่สนใจผู้หญิง แต่กลับไม่มีใครรู้ว่าเขาเคยแต่งงานและเคยหย่ามาก่อน ซ้ำยังมีลูกแล้วอีกด้วย “ใคร” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นยิ่งกว่าน้ำแข็งในขั่วโลกเหนือ “เป็น…….เป็นลูกของฉันเอง” “อ่อ ถ้างั้นคุณเลขาเฉียวสาธิตผมหน่อยสิว่าทำยังไง” เขาหยุดคำพูดของเขา และก้าวเข้าไปหาเธอ ทำให้เธอไปไหนไม่ได้ดวงตาของชายหนุ่มมืดลงทันที คุณลุงลู่ฉีเหรอ? “………” เธอ ซวย แล้ว! เฉียวชูเฉี่ยน เด็กน้อยเฉียวจิ่งเหยียนไม่ทำตาม และเข้าไปกัดต้นขาของเขา “ปล่อยหม่ามี๊ของผมนะ ผมเป็นลูกของหม่ามี๊และคุณลุงลู่ฉี ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคุณ”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset