ลาก่อน คุณสามี – ตอนที่ 67 เธอสบายดี ฉันก็ต้องสบายดีอยู่แล้วสิ

“บาดแผลจะปริแตกไปกว่านี้ไม่ได้แล้วนะคะ”

หากบาดแผลปริแตกอีกครั้งถึงจะไม่มีอันตรายจากภาวะติดเชื้อ แต่กังวลว่าจะมีอันตรายถึงแก่ชีวิตจากภาวะสูญเสียเลือดที่มากเกินได้เช่นกัน

“แต่ตอนนี้ผมไม่สบายไปทั้งตัวเลยนะครับ”

เฉินเป่ยชวนนอนคว่ำอยู่บนเตียง เส้นผมเปียกลู่เพราะบาดแผลปริแตกจนเลือดออกมามาก ทำให้ใบหน้าเขาดูอ่อนละมุนอย่างเห็นได้ชัด

“ไม่สบายไปทั้งตัว หมายถึงเวียนศีรษะหรือมองเห็นไม่ชัดคะ?”

ทันทีที่เฉียวชูเฉี่ยนได้ยินว่าเขาไม่สบายก็ลุกขึ้นมาด้วยความกังวลใจ คงไม่ได้ส่งผลมาจากเลือดที่ไหลออกเยอะเกินไปหรอกนะ

ใครบางคนกำลังมีความสุขกับท่าทีเป็นกังวลของอีกฝ่าย พอผ่านไปสองถึงสามนาทีจึงพูดอย่างเกลียดคร้านออกไปว่า “ผมไม่ได้อาบน้ำมาอาทิตย์หนึ่งแล้วครับ”

ตั้งแต่เขาบาดเจ็บก็ไม่ได้อาบน้ำอีกเลย สองวันก่อนก็เหงื่อไหลออกมาไม่น้อย จนตอนนี้เขารู้สึกเหนียวไปทั้งตัวแล้ว

เธออึ้งไปสักพัก จากนั้นก็เข้าใจในสิ่งที่เขาพูด จมูกเธอแดงเล็กน้อยจากการร้องไห้ และดูท่าตอนนี้แก้มก็คงจะแดงไปด้วยเช่นกัน

เขาจะให้ฉันช่วยเช็ดตัวให้……

“ช่วยเช็ดตัวให้ผมหน่อยสิครับ คุณคงไม่อยากได้กลิ่นเหม็นๆ จากตัวผมใช่ไหมล่ะครับ?”

“ฉัน…..ช่วงนี้รู้สึกคัดจมูกคงไม่ได้กลิ่นอะไรหรอกค่ะ” เธอหาเหตุผลขึ้นมาอย่างลุกลี้ลุกลน แล้วหันหน้าออกไปนอกหน้าต่าง แม้เมื่อเจ็ดปีก่อนเราสองคนจะเป็นสามีภรรยากันมาหนึ่งปี และพบกันอย่างตรงไปตรงมาก็หลายครั้ง แต่พอคิดว่าจะต้องเช็ดให้ทั้งตัว ก็รู้สึกว่าตัวเองใบหน้าแดงก่ำราวกับขนมเค้กปิ้งแล้ว

“งั้นผมคงต้องเช็ดด้วยตัวเองแล้วล่ะครับ”

เฉินเป่ยชวนไม่รีบร้อนอะไร เขายื่นมือจะไปหยิบผ้าขนหนูในอ่างน้ำนั่น แต่เฉียวชูเฉี่ยนกลัวบาดแผลที่เพิ่งทำแผลไปจะฉีกขาดอีก จึงไปหยิบผ้าขนหนูมาก่อน

“ฉันเช็ดให้คุณเองค่ะ”

ชายหนุ่มที่นอนคว่ำอยู่บนเตียงยกยิ้มขึ้นมา “เช็ดให้ทั้งตัวเลยนะครับ”

“……”

ทั้งตัว สองคำนี้ทำให้เธอเริ่มรู้สึกเสียใจที่ตัวเองรีบออกตัวไปก่อนเช่นนั้น แต่เมื่อนึกถึงตอนที่เลือดสดๆ ไหลหยดลงมาของเขา เธอก็ได้แต่กัดริมฝีปากตัวเองและอดทนกับมัน

เช็ดก็เช็ดสิ ที่เคยเห็นหรือไม่เคยเห็นก็เคยเห็น เคยใช้มาก่อนตั้งแต่เมื่อเจ็ดปีก่อนแล้ว เจ็ดปีมานี้คงไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากนักหรอก

เธอใช้ผ้าขนหนูอุ่นๆ เริ่มเช็ดจากบริเวณข้อเท้าขึ้นมา เฉินเป่ยชวนรู้สึกตึงที่หลังเล็กน้อย แต่เพื่อไม่ให้สะเทือนไปถึงกล้ามเนื้อใกล้บาดแผลบริเวณหลัง เขาจึงอดทนไม่แสดงอาการผิดปกติออกมา แต่พอเธอเช็ดขึ้นมาใกล้จุดอ่อนไหวของตัวเองมากขึ้น ความอดกลั้นแบบนั้นก็กลายเป็นความทรมาน

เฉินเป่ยชวนเม้มมุมปากแน่น ราวกับเขายกก้อนหินมาทุบเท้าของตัวเอง

เฉียวชูเฉี่ยนขยับผ้าขนหนูเชื่องช้าขึ้นเรื่อยๆ ขยับไปข้างหน้าอีกนิดก็ถึงจุดที่ไม่อาจบรรยายได้ เธอจึงหันหน้าแดงๆ มองออกไปนอกหน้าต่าง ใบหน้าเธอแดงก่ำราวกับหยดเลือด

“โอเคแล้วครับ”

ไม่หยุดยังพอว่า แต่พอหยุดเท่านั้น เฉินเป่ยชวนก็แทบจะตายเสียให้ได้ เขาจึงต้องบอกให้หยุดเอง

“โอเค งั้นฉันไป……ไปเทน้ำนะคะ”

เธอทำตัวราวกับนักโทษที่ได้รับการอภัยโทษเป็นกรณีพิเศษ โดยรีบหยิบอ่างน้ำที่วางอยู่ด้านข้าง แล้ววิ่งออกไปอย่างชุลมุนวุ่นวาย

เฉินเป่ยชวนหายใจเข้าลึกๆ สองสามครั้ง ถึงจะควบคุมไฟปรารถนาของตัวเองให้สงบลงได้ แววตาฉายแววเสียใจออกมา เดี๋ยวรอไปอีกสักสองสามวันค่อยให้เธอเช็ดตัวให้ก็แล้วกัน

ภายในลานบ้าน เฉียวชูเฉี่ยนเดินหน้าแดงไปมา คุณป้าที่นอนหลับไปแล้วเดินออกจากห้องพัก เพื่อจะไปเข้าห้องน้ำ เมื่อเห็นเธอเดินไปมาที่ลานบ้านก็ตกใจจนแทบกระโดดขึ้นมา

“ดึกขนาดนี้ทำไมยังไม่นอนอีกหรือ?”

“ฉัน……ฉันกำลังดูแสงสียามค่ำคืนนะค่ะ”

เมื่อเงยหน้าชี้นิ้วขึ้นไปบนท้องฟ้าก็เห็นท้องฟ้าที่มืดมิด เธออายสุดจะเปรียบในชั่วพริบตา ฟ้ามืดขนาดนี้เธอไม่มีเหตุผลอันใดที่น่าฟังเลย

วันต่อมาทั้งสองคนตื่นนอนค่อนข้างสาย คุณป้าช่วยเก็บอาหารไว้ให้ ทำให้เฉียวชูเฉี่ยนเกิดความกระดากอาย เดิมทีพวกเขาก็มาขอใช้สถานที่เพื่อรักษาบาดแผล และไม่ใช่ญาติที่พวกเขาจะมาเสพสุขได้

“คุณป้า คราวหน้าพวกเราจะตื่นแต่เช้ามาทานอาหารนะคะ”

“ไม่เป็นไร ป้าก็เคยเป็นคนหนุ่มคนสาวมาก่อน บางครั้งก็จะรู้สึกเหนื่อยเป็นพิเศษในวันที่สองนั่นล่ะ”

คุณป้าพูดแล้วหันมาขยิบตาให้เธออย่างรู้อยู่แก่ใจไม่ต้องอธิบาย ใครไม่เคยเป็นสาวมาก่อนล่ะ ป้าเข้าใจ

“……”

พูดซะจนใบหน้าเธอขึ้นสี จึงรีบยกอาหารเดินกลับเข้าห้อง เฉินเป่ยชวนนอนคว่ำอยู่บนเตียงเห็นเธอหน้าแดงๆ เดินจากข้างนอกเข้ามา บวกกับเสียงแปดหลอดของคุณป้า จะให้บอกว่าไม่รู้ก็คงยากล่ะ

“คราวหน้าหากเป็นคืนที่ไม่มีพระจันทร์ก็อย่าโกหกว่ามาดูแสงสียามค่ำคืนอีกล่ะ”

“……”

เฉียวชูเฉี่ยนรู้ว่าเขากำลังหัวเราะเยาะเหตุผลอันเส็งเคร็งเมื่อคืนนี้อยู่ จึงใช้สายตาพิฆาตจ้องชายหนุ่มที่อยู่บนเตียง ก็ไม่ใช่เป็นเพราะเขาหรือ!

ด้วยการดูแลเอาใจใส่อย่างสุดตัวของเธอ ทำให้บาดแผลที่หลังของเฉินเป่ยชวนอาการดีขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ทว่าคนที่บาดแผลหายดีไม่ได้มีแต่เขา

ตกกลางคืน แม้คนสองคนที่นอนอยู่บนเตียงไม้จะยังรักษาระยะห่างกันอยู่ แต่กลับดูผ่อนคลายขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด เขาวางแขนบนเอวเธออย่างเป็นธรรมชาติ “ผมโทรหา

ถังอี้แล้ว พรุ่งนี้เขาจะมารับพวกเราครับ”

“พรุ่งนี้ก็มาแล้วหรือคะ?”

จะได้ออกไปจากที่นี่ จะได้กลับไปเจอลูกชายของตัวเอง เธอควรดีใจถึงจะถูก แต่ไม่รู้ทำไมเธอรู้สึกอาลัยอาวรณ์อยู่บ้าง แม้ที่นี่จะห่างไกลและไม่มีอะไรเลย แต่กลับทำให้เธอไม่อาจจะลืมตลอดไป

“ไม่อยากจะจากไปหรือครับ งั้นพวกเราอยู่กันต่ออีกสักหลายวันก็ได้นะครับ”

เฉินเป่ยชวนมองเห็นการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยบนใบหน้าของเธอ ไม่เพียงแต่เธอ เขาเองก็รู้สึกอาลัยอาวรณ์แบบเดียวกัน

เพราะเป็นสถานที่ที่ทำให้พวกเขากลับมาอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขอีกครั้ง

“อย่าเลยค่ะ ถ้าไม่กลับไปอีก จิ่งเหยียนและคุณย่าจะต้องเป็นห่วงแน่ๆ ค่ะ”

เธอส่ายศีรษะโดยไว เวลาผ่านไปครึ่งเดือนโดยไม่รู้ตัว หากอยู่ต่อเจ้าตัวน้อยอาจจะขอตัดความสัมพันธ์ฉันแม่ลูกกันกับเธอเป็นแน่

เฉินเป่ยชวนกระชับวงแขนเบาๆ “คราวหน้าหากคุณคิดถึงที่นี่ พวกเราค่อยมาพักกันสักระยะหนึ่งอีกนะครับ”

เสียงทุ้มต่ำที่ข้างหูทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นใจ ถ้าหากไม่ถูกพวกค้ายาจี้มาเป็นตัวประกัน เธอคงไม่กล้าจินตนาการว่าเธอกับเฉินเป่ยชวนจะยังมีอนาคตที่เป็นไปได้อยู่อีก

วันต่อมาขณะที่ฟ้ายังไม่สว่างดี ก็มีเสียงหึ่งหึ่งหึ่งดังขึ้นมาด้านนอก เธอกะจะปิดหูนอนต่อตามสัญชาตญาณ แต่คนที่อยู่ด้านหลังกลับลุกขึ้นมานั่งแล้ว

“ใช่คนที่จะมารับพวกเราหรือไม่คะ?”

เฉินเป่ยชวนขมวดคิ้วขึ้นมาพร้อมกัน แล้วมองออกไปด้านนอก เขาเห็นแสงอาทิตย์ที่กำลังขึ้นอย่างต่อเนื่อง รู้สึกไม่พอใจ ถังอี้มาเช้าเกินไปแล้ว

เฉียวชูเฉี่ยนที่แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วเดินออกจากห้อง เธอมองเห็นถังอี้และเหยียนสือเซี่ยลงมาจากเฮลิคอปเตอร์อย่างที่คิดไว้ เมื่อได้เห็นเพื่อนสนิทของตัวเองสุขสบายดี เธอก็วางใจได้เสียที

เหยียนสือเซี่ยรีบวิ่งมากอดเธอยกใหญ่ “ขอบคุณฟ้าดิน ขอบคุณกฎหมายที่เธอยังสบายดีอยู่”

“เธอสบายดี ฉันก็ต้องสบายดีอยู่แล้วสิ”

อีกอย่างเธอยังต้องอยู่ดูแลครอบครัว ถึงจะมีแค่ความหวังเล็กๆ จากรอยต่อของความสิ้นหวัง แต่เพื่อจิ่งเหยียนเธอไม่มีทางยอมแพ้แน่นอน

“เป่ยชวนล่ะ?”

พอถังอี้เห็นสองสาวเพื่อนสนิทกอดกัน ก็คิดใคร่ครวญว่าตัวเองจะกอดพี่น้องที่เพิ่งรอดพ้นจากภัยพิบัติดีหรือไม่

“เขา……”

ขณะที่เฉียวชูเฉี่ยนคิดจะพูดออกมาว่าเฉินเป่ยชวนเพื่อช่วยเธอจึงถูกยิง แต่กลับถูกเสียงอันทรงพลังและเย็นชามาขัดจังหวะเสียก่อน “ฉันก็ต้องอยู่ตรงนี้สิ”

ประตูถูกเปิดออก จากนั้นเฉินเป่ยชวนก็เดินออกมาจากข้างใน แม้ว่าตอนนี้เขาจะไม่ได้ใส่ชุดสูทสั่งตัดราคาแพง แต่อยู่ในชุดทำนาก็ไม่อาจบดบังรังสีอันสูงส่งของเขาไปได้

ลาก่อน คุณสามี

ลาก่อน คุณสามี

ความทรงจำของปลาอยู่ได้แค่ 7 วินาที แต่ฉันกลับรักคุณมาถึง 7 ปี ……………..เฉียวชูเฉี่ยน เฉียวชูเฉี่ยนไม่คิดเลยว่าวันแรกที่เธอมาถึงประเทศจีน เธอจะได้พบกับอดีตสามีของเธอ……….เฉินเป่ยชวน มีข่าวลือมาว่า เจ้าของกิจการสถานบันเทิงอย่างเฉินเป่ยชวน เป็นคนที่มีนิสัยแปลกๆ และไม่สนใจผู้หญิง แต่กลับไม่มีใครรู้ว่าเขาเคยแต่งงานและเคยหย่ามาก่อน ซ้ำยังมีลูกแล้วอีกด้วย “ใคร” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นยิ่งกว่าน้ำแข็งในขั่วโลกเหนือ “เป็น…….เป็นลูกของฉันเอง” “อ่อ ถ้างั้นคุณเลขาเฉียวสาธิตผมหน่อยสิว่าทำยังไง” เขาหยุดคำพูดของเขา และก้าวเข้าไปหาเธอ ทำให้เธอไปไหนไม่ได้ดวงตาของชายหนุ่มมืดลงทันที คุณลุงลู่ฉีเหรอ? “………” เธอ ซวย แล้ว! เฉียวชูเฉี่ยน เด็กน้อยเฉียวจิ่งเหยียนไม่ทำตาม และเข้าไปกัดต้นขาของเขา “ปล่อยหม่ามี๊ของผมนะ ผมเป็นลูกของหม่ามี๊และคุณลุงลู่ฉี ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคุณ”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset