ลำนำบุปผาพิษ – ตอนที่ 821-822

บทที่ 821 + 822

บทที่ 821 เป็นตั่งให้นางเป็นเตียงให้นาง

ด้านนอกสายลมพัดใบไม้จนเกิดเสียงดังซู่ๆ ค่อนข้างหนาวเย็นอยู่บ้าง

แต่ภายในศาลากลับอบอุ่นปานฤดูใบไม้ผลิ เขาและนางหนึ่งนั่งหนึ่งนอน คนหนึ่งหลับสนิทล้ำลึก คนหนึ่งเฝ้าอยู่ด้านข้างอย่างอบอุ่น

อย่างไรเสียตั่งคนงามนี้ก็ค่อนข้างแข็ง หลังจากนางนอนไปสักพักคงจะรู้สึกเมื่อยขบอยู่บ้าง คิ้วของนางขมวดนิดๆ พลิกตัวทีหนึ่ง

ตี้ฝูอีมองตั่งคนงามตัวนั้นแล้วมองนางอีกที คิดเล็กน้อย อุ้มนางขึ้นมาเบาๆ โอบนางไว้ในอ้อมแขน…

ร่างเขาย่อมสบายกว่าตั่งคนงามมาก ทั้งนิ่มทั้งอุ่น นางพลิกตัวนิดๆ สองแขนกอดเอวเขาตามสัญชาตญาณ แบบนี้ก็สบายกว่าเดิมแล้ว

ตี้ฝูอีแข็งทื่อไปแล้ว รู้ดีว่าท่าทางนี้ของนางแค่เป็นไปตามสัญชาตญาณ เขารู้สึกอบอุ่นยิ่งนัก ในใจคล้ายถูกลูบไล้ด้วยมือน้อยๆ ที่แสนอบอุ่น

นางคงจะเชื่อใจเขากระมัง?

เขาไม่ขยับเขยื้อน นั่งอยู่เช่นนั้น กอดนางไว้ เป็นตั่งให้นางเป็นเตียงให้นาง…

….

กู้ซีจิ่วหลับสนิททั้งคืน ยามตื่นขึ้นมาก็ติดนิสัยมองไปที่เตียงข้างๆ…

สิ่งที่เธอเห็นมิใช่เตียงใหญ่หลังนั้นของตี้ฝูอี แต่เป็นตั่งคนงาม

เธอนิ่งไปครู่หนึ่ง ในที่สุดก็จำเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนได้ จำได้ว่าตนออกจากเรือนพักของเขา ที่นอนอยู่ยามนี้คือศาลากลางน้ำ…

“ตื่นแล้วหรือ?” เสียงหนึ่งดังมากจากด้านข้าง

เธอหันมองตามสัญชาตญาณ เห็นตี้ฝูอีนั่งอยู่หน้าโต๊ะเล็กไม้ชิงชันตัวหนึ่งด้านข้างเธอ กำลังร่างภาพบางอย่างอยู่

กู้ซีจิ่วค่อนข้างมึนงง “ท่านมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”

ตี้ฝูอียิ้มแวบหนึ่ง ไม่พูดอะไร ร่างภาพอยู่ตรงนั้นต่อไป

อันที่จริงฉากนี้พบเห็นอยู่เป็นประจำในหลายวันที่ผ่านมา หลังจากกู้ซีจิ่วใช้ชีวิตอยู่กับเขามาสิบกว่าวัน ก็ทราบว่าท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้ยุ่งมากจริงๆ ทุกวันมีเอกสารมากมายที่เขาต้องสะสาง กู้ซีจิ่วไม่รู้เลยว่าเขาเอาเวลาที่ไหนมาจัดการเอกสารมากมายถึงเพียงนี้ ทุกวันยามเช้าตรู่มู่เฟิงจะหอบเอกสารกองใหญ่เข้ามาส่งให้เสมอ…

หลายวันมานี้ทุกเช้ายามเธอตื่นนอนก็จะเห็นเขาแผ่นหลังเขานั่งสะสางเอกสารอยู่ตรงนั้นประจำ

แน่นอน ตอนนั้นเขาอยู่ในร่างของเธอ แผ่นหลังที่เธอมองเห็นก็คือแผ่นหลังของเธอเอง…

ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น ต่อให้ตอนนั้นเขาใช้ร่างของเธอ ทว่ายามที่นั่งอยู่ตรงนั้นกลับมอบความรู้สึกมั่นคงน่าพึ่งพายิ่งนักแก่ผู้อื่น

กู้ซีจิ่วส่ายหัว สะบัดความรู้สึกนี้ทิ้งไป เธอลุกขึ้นนั่ง เสื้อคลุมตัวหนึ่งลื่นไถลจากร่างเธอ เธอคว้าเสื้อคลุมตัวนอกที่กำลังจะร่วงไว้ทันที หยิบขึ้นมาดู เป็นของเขา…

ดูเหมือนเขาจะตามมาหลังจากเธอหลับไปแล้ว เกรงว่าเธอจะหนาวเลยเอาเสื้อคลุมตัวนอกมาห่มให้เธอ

ยามที่เขาอบอุ่นขึ้นมาช่างอันตรายโดยแท้!

ทำให้หัวใจที่เธอพยามสงบไว้อย่างยากลำบากมีแนวโน้มว่าจะสั่นไหวขึ้นมาอีกครั้ง

เธอสูดลมหายใจนิดๆ ข่มความรู้สึกอันน่าพิศวงของตนไว้ กระแอมคราหนึ่งพลางยืดกายขึ้น โยนเสื้อคลุมกลับไปให้เขา ยิ้มอย่างผ่อนคลายแวบหนึ่ง “ขอบคุณสำหรับเสื้อคลุมของท่าน ขอบคุณนะ”

ตี้ฝูอีมองนางแวบหนึ่ง ทราบว่านางกำลังพยายามดึงความสัมพันธ์ของทั้งสองคนกลับไปอยู่ในระดับของสหายทั่วไป ดวงตายฉายแววล้ำลึกแวบหนึ่ง ยิ้มออกมาเช่นกัน “เจ้าไม่จำเป็นต้องเกรงใจข้าเช่นนี้อยู่เสมอ”

กู้ซีจิ่วทำเป็นฟังความนัยของเขาไม่ออก มองสิ่งที่เขาวาดอยู่บนโต๊ะ นั่นคือค่ายกลอย่างหนึ่ง…

“ติดตั้งไว้ด้านนอกแล้วหรือ?” เธอถาม

ตี้ฝูอีชี้ผังค่ายกลที่อยู่บนโต๊ะ “ซีจิ่ว ผังค่ายกลนี้ข้าทำเสร็จสมบูรณ์ไปบ้างแล้ว เจ้ามาดูสิ ว่ามีอะไรต้องเพิ่มเติมหรือไม่?”

เมื่อพูดจาเข้าประเด็น กู้ซีจิ่วก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก เข้าไปดูผังค่ายกลนั้นจริงๆ ฟังเขาอธิบายก่อน ก้มหน้าพิจารณาอยู่ตรงนั้นพักหนึ่ง เริ่มเสนอแนะความคิดเห็นของตน

————————————————————————————-

บทที่ 822 ปลุกขวัญ

เธอไม่คุ้นชินกับค่ายกลโบราณเท่าไหร่ แต่เธอมีความรู้ที่หลากหลายของยุคปัจจุบัน และเชี่ยวชาญด้านการตั้งกระบวนทัพ ถึงขั้นที่ว่าสามารถใช้วัตถุดิบของยุคนี้มาสร้างระเบิดที่มีพลังทำลายล้างสูงจนน่าตกใจได้

เธอใช้ความรู้บางส่วนจากยุคของตนมาปรับเข้ากับค่ายกล ย่อมทรงอานุภาพขึ้นมาก

ทั้งสองคนปรึกษาหารือแบบหัวจุ่มกันอยู่ตรงนั้นเกือบครึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็ศึกษาจนเกือบสมบูรณ์แล้ว

ตี้ฝูอปรบมือเรียกมู่อวิ๋น มอบผังค่ายกลนั้นให้เขา ให้เขาไปเตรียมการ ขณะที่กำลังยุ่งวุ่นวาย มีคนด้านนอกเข้ามารายงานว่า “พวกอาจารย์ใหญ่กู่จะออกเดินทางแล้วขอรับ…”

….

พวกกู่ฉานโม่พอฟ้าสางก็เรียกรวมพล เตรียมตัวออกเดินทาง

ยามที่กู่ฉานโม่ให้โอวาทปลุกขวัญแก่เหล่าศิษย์ กู้ซีจิ่วก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย

ส่วนตี้ฝูอีและหลงซือเย่ยืนอยู่บนเวที ในเมื่อสองคนนี้อยู่ด้วย กู่ฉานโม่ย่อมเชิญพวกเขามาเป็นขวัญกำลังใจแก่ศิษย์ของตนด้วย

ตี้ฝูอีค่อนข้างเฉื่อยชา เขาคร้านจะพูด ด้วยเหตุนี้หน้าที่จึงตกอยู่ที่หลงซือเย่แทน มิเสียทีที่เป็นเจ้าสำนัก วาจาที่เอ่ยมีน้ำหนักยิ่ง ย่อมปลุกขวัญกำลังใจของผู้คนได้ ไม่ว่าอาจารย์หรือลูกศิษย์ล้วนถูกปลุกเร้าให้ฮึกเหิม

อวิ๋นชิงหลัวปนอยู่ในกลุ่มศิษย์ด้วย ในที่สุดก็สามารถแหงนหน้ามองเงาร่างในอาภรณ์ม่วงบนเวทีอย่างผ่าเผยได้แล้ว แววตาของนางค่อนข้างประหลาด มีทั้งปวดร้าวและเป็นสุข

ระหว่างที่นางกำลังมองตี้ฝูอีย่อมกวาดตามองกู้ซีจิ่วที่อยู่ห่างจากนางไม่กี่แถวด้วยแวบหนึ่ง สีหน้าเธอราบเรียบอยู่ตลอด เธอก็กำลังมองบนเวทีเหมือนกัน ไม่ทราบว่าเธอกำลังมองตี้ฝูอีหรือว่ามองคนอื่น…

หลังจากกล่าวปลุกขวัญเสร็จ กู่ฉานโม่ก็พาคนออกเดินทาง…

เนื่องจากอาการบาดเจ็บของกู้ซีจิ่วกับอวิ๋นชิงหลัวยังไม่หายดีทั้งคู่ ดังนั้นสองคนนี้จึงรั้งอยู่ ผู้ที่รั้งอยู่เช่นกันคือหลงซือเย่และตี้ฝูอี รวมถึงเด็กรับใช้อีกหลายคนที่ต้องคอยจัดการเรื่องจุกจิก

พวกกู่ฉานโม่เดินทางว่องไวนัก ผ่านไปหนึ่งเค่อ สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ที่เคยคลาคล่ำด้วยอัจฉริยะที่มีกำลังรบพอๆ กับกองทัพหนึ่งก็กลายเป็นเมืองร้าง

อวิ๋นชิงหลัวมองตี้ฝูอีเดินลงมา ตรงไปจูงมือกู้ซีจิ่วเดินจากไป “ซีจิ่ว ข้าจะพาเจ้าไปเดินเล่นที่สวนสวรรค์สุคันธา”

สวนสวรรค์สุคันธาเป็นสวนดอกไม้ของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ ด้านในมีพืชพรรณหายากมากมาย เป็นสถานที่ยอดเยี่ยมสำหรับเพลิดเพลินกับทิวทัศน์ หลายวันมานี้ตี้ฝูอีพากู้ซีจิ่วไปเที่ยวเล่นที่นั่นเสมอ ดังนั้นถึงคราวนี้เขาพาเธอไปอีกคนอื่นก็ไม่แปลกใจเลยสักนิด

อวิ๋นชิงหลัวยืนอยู่ตรงนั้นมองพวกเขาเดินห่างออกไป มือที่อยู่ในแขนเสื้อกำแน่น นางดีดปลายนิ้วเล็กน้อย ลำแสงสีเขียวสายหนึ่งพุ่งวาบขึ้นมาในอากาศ ตามประกบสองคนนั้นไป

จากนั้นนางก็หันหลังกลับเรือนตน พอเข้าไปในห้องนอนตน หุ่นเชิดตัวนั้นก็โผล่ออกมาจากมุมมืด “เป็นอย่างไร?”

อวิ๋นชิงหลัวสูดหายใจเบาๆ “ทุกอย่างปกติดี พวกเจ้า…สามารถลงมือได้แล้ว!”

หุ่นเชิดร่างมนุษย์ตัวนั้นก้าวขึ้นไปบนเตียง โอบนางไว้ “เด็กดี ความปรารถนาของเจ้ากำลังจะเป็นจริงแล้ว เหตุใดจึงดูเหมือนไม่ค่อยดีใจเล่า?”

อวิ๋นชิงหลัวค่อนข้างหงุดหงิด หุ่นเชิดที่สวมหน้ากากตัวนี้เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเหมือนตี้ฝูอีทุกประการ แต่หลังจากมีสติปัญญาเป็นของตัวเอง บุคลิกและนิสัยก็แตกต่างกับตี้ฝูอีอย่างยิ่ง ต่างกันมากขึ้นเรื่อยๆ และทำให้นางหงุดหงิดมากขึ้นเรื่อยๆ…

นางยื่นมือผลักเขาออกไป “รีบไปจัดการเถอะ!”

หุ่นเชิดตัวนั้นกลับตรงเข้ากอดนางไว้ เขยิบไปหัวเราะข้างหูนาง “เด็กดี ความปรารถนายังได้ได้รับการเติมเต็มเลย เวลายังมีถมเถ ข้าจะเติมเต็มให้เจ้าเสียก่อน!” พลางยื่นมือไปกระชากอาภรณ์นาง!

อวิ๋นชิงหลัวเดือดดาล ยามนี้หุ่นเชิดตัวนี้ไม่มีเงาของตี้ฝูอีอยู่เลย!

เงาหลังของตี้ฝูอีกับกู้ซีจิ่วที่จับจูงกันจากไปแวบขึ้นเบื้องหน้านาง หัวใจพลันเจ็บปวดขึ้นมา!

ลำนำบุปผาพิษ

ลำนำบุปผาพิษ

เธอคือนักฆ่าสาวผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการมืด แต่ดันตายเพราะโดนคนที่เชื่อใจตลบหลัง! ไม่รู้ว่านรกชังหรือสวรรค์เป็นใจ เธอถึงตื่นขึ้นมาอีกครั้งในร่างเด็กสาวอัปลักษณ์ที่ถูกลวงให้เอาชีวิตมาทิ้ง ผู้คนในโลกนี้ยึดถือในเรื่องของพลังวิญญาณ ทว่าร่างนี้ไม่มีพลังวิญญาณอยู่เลยสักนิด เป็นสวะไร้ค่าชิ้นใหญ่ที่พบเจอได้ยากยิ่ง!! แต่ไม่มีพลังวิญญาณก็ไม่เห็นเป็นไร ร่างนี้มีเธอมารับช่วงต่อแล้ว เธอจะทวงคืนทุกอย่างแทนเจ้าของร่างเดิม ทวงเอาทุกสิ่งที่ควรมีกลับมา!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset