ลำนำบุปผาพิษ – ตอนที่ 963-964

บทที่ 963+964

บทที่ 963 ทับจนข้าปวดอกแล้ว

“เจ้าเป็นใคร?!” คนยักษ์เกราะทองทั้งตะลึงทั้งเกรี้ยวโกรธ น่าจะเป็นครั้งแรกที่เขาถูกจับจุดต่อต้านได้ ภายใต้แรงโทสะจึงคิดจะโต้กลับอย่างไม่คำนึงถึงสิ่งใด นึกไม่ถึงว่าเพิ่งจะขยับมือเล็กน้อย ข้อมือของเขาก็ถูกบางสิ่งบิดหมุน…

ด้วยเหตุนี้ง้าวจันทร์เสี้ยวของเขาจึงหลุดมือไป…

คนยักษ์เกราะทองพูดอะไรไม่ออกแล้ว

เขาหันกลับไป มองเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งยืนเฉียงๆ อยู่บนศีรษะสัตว์พาหนะของเขา เด็กหนุ่มคนนี้สวมอาภรณ์สีฟ้าวารี รูปโฉมล้ำเลิศเป็นเอก เรือนกายสูงโปร่งดั่งลำไผ่ ถือง้าวจันทร์เสี้ยวเล่มนั้นของเขาไว้ในมือ ยิ้มอย่างไร้พิษภัย “ชายร่างใหญ่ อารมณ์เสียบ่อยๆ ไม่ดีกระมัง?”

ปลายนิ้วเขาดีดง้าวจันทร์เสี้ยวเล่มนั้นคราหนึ่ง “ท่านจะใช้อาวุธนี้ทำร้ายเด็กน้อยงั้นหรือ?”

นิ้วมือเขาขาวสล้างดั่งหยก ราวกับบีบเบาๆ ก็หักได้ กลับนึกไม่ถึงว่าการดีดเบาๆ เช่นนี้ของเขา จะทำให้ง้าวจันทร์เสี้ยวเหล็กไหลที่หนาเท่าถ้วยชาโค้งงอราวกับจะหักลงได้

คนยักษ์เกราะทองหน้าเปลี่ยนสีแล้ว!

ง้าวจันทร์เสี้ยวเล่มนี้ของเขาหนายิ่ง ต่อให้นำถูเขาลูกหนึ่งมากดหัวท้ายก็ยังไม่อาจกดให้งอได้ ยามนี้ถูกเด็กหนุ่มคนนี้ดีดเพียงหนเดียวกลับโค้งงอประหนึ่งคันธนู…

โลกมนุษย์มีวรยุทธ์ล้ำเลิศถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?!

แถมอีกฝ่ายยังเป็นเด็กหนุ่มที่ดูแล้วยังไม่สวมกวาน[1]ด้วยซ้ำ!

เมื่อครู่ยามที่เด็กหนุ่มคนนี้ใช้กลยุทธ์ชนิดหนึ่งชิงง้าวจันทร์เสี้ยวไปจากเขา นับเป็นสี่ตำลึงปาดพันชั่ง[2]ไม่ว่าจะเป็นความแม่นยำหรือพละกำลังล้วนควบคุมได้เหมาะเจาะพอดี ดังนั้นคนยักษ์เกราะทองถึงทราบวิธีของเขา

ยามนี้ลำคอเขามีกระบี่เล่มหนึ่งพาดอยู่ ซ้ำยังถูกชิงอาวุธไป ทั้งกายจึงแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น

กู้ซีจิ่วก็นึกไม่ถึงว่าอิงเหยียนนั่วจะตามมาอยู่ข้างกายเธอได้ทันกาลขนาดนี้ ขณะที่กำลังพูดบางอย่าง สีหน้าอิงเหยียนนั่วพลันแปรเปลี่ยนเล็กน้อย พุ่งตรงเข้ามา ในขณะเดียวกัน ง้าวจันทร์เสี้ยวในมือเขาฟาดออกไปด้วย!

ช่วงที่กู้ซีจิ่วตะลึงไปชั่วขณะ เขาก็อุ้มเธอไว้แล้วเหินกายขึ้นทันที…

แถบแพรเส้นหนึ่งเฉียดผ่านใต้เท้าคนทั้งสองดั่งอสรพิษ เลื้อยพันง้าวจันทร์เสี้ยวเล่มนั้นไว้…

ที่แท้เป็นการลงมือของสตรีชุดชาววังที่ขี่มังกรเจียวนางนั้น นางลงมือว่องไวนัก แถบแพรบนร่างเจ้าเล่ห์ยิ่งกว่าอสรพิษ นึกไม่ถึงว่าจะฉวยโอกาสยามที่กู้ซีจิ่วหันหลังให้นางโผลอยเข้ามา หากมิใช่อิงเหยียนนั่วลงมือได้ทันท่วงที อุ้มกู้ซีจิ่วหลีกหนี ขาของกู้ซีจิ่วคงถูกแถบแพรเส้นนั้นรัดเข้าแล้ว!

อิงเหยียนนั่วโยนง้าวจันทร์เสี้ยวออกไป ถึงชะลอความเร็วของแถบแพรเส้นนั้นได้บ้าง ทำให้ทั้งสองมีโอกาสปลีกตัวออกมา

อิงเหยียนนั่วที่อยู่กลางอากาศยกมือเป่าปากคราหนึ่ง รถม้าคันนั้นปรากฏตัวออกมาจากชั้นมฆ ร่างของพวกอิงเหยียนนั่วทั้งสองมุดเข้าไปในรถม้า ล้มกลิ้งอยู่บนผ้านวมหนานุ่มในรถม้า

กู้ซีจิ่วกำลังนอนคว่ำอยู่ในอ้อมกอดของอิงเหยียนนั่ว

บนร่างเขามีกลิ่นอายหอมอบอุ่นแผ่ออกมา คล้ายว่าคุ้นเคยแต่ก็คล้ายว่าไม่คุ้ยเคยด้วย…

หัวใจของกู้ซีจิ่วบีบรัดขึ้นมาอย่างน่าประหลาด เธอลุกพรวดทันที มองอิงเหยียนนั่วที่นอนอยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง “เจ้า…”

วรยุทธ์ของไอ้เด็กนี้ประหลาดเกินไปแล้ว! ปฏิกิริยาตอบสนองว่องไวกว่าเธอเสียอีก!

วิชาตัวเบาของเขาอาจไม่ดีเท่าเธอ แต่การควบคุมของเขาแม่นยำเหลือเกิน! ต่อให้เป็นคนที่บรรลุพลังวิญญาณขั้นสิบก็ยังไม่แน่ว่าจะสำแดงออกมาในระดับเดียวกับเขาได้!

แน่นอน กลิ่นอายบนร่างเขาก็คล้ายว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่บ้าง ยามที่เข้าใกล้เขาหัวใจเธอจะสั่นไหวขึ้นมาอย่างน่าประหลาด

เนื่องจากก่อนหน้านี้เคยคิดมากเกินไปหลายครั้งแล้ว ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงไม่สงสัยอะไรอีกแล้ว แค่รู้สึกว่าเจ้าเด็กนี้ไม่ธรรมดายิ่งนักจริงๆ!

สีหน้าอิงเหยียนนั่วซีดเซียวเล็กน้อย เขานอนเกียจคร้านอยู่ตรงนั้น ยิ้มขื่นๆ “เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว เรี่ยวแรงที่สะสมมาตั้งแต่เกิดใช้ออกมาจนสิ้นแล้ว!”

แล้วเขาก็ยื่นมือข้างหนึ่งมาทางเธอ “ซีจิ่ว ข้ารู้สึกว่าตัวเจ้าหนักยิ่ง ทับจนข้าปวดอกแล้ว…ดึงข้าทีสิ พยุงข้าลุกหน่อย”

กู้ซีจิ่วพูดไม่ออกเลย

————————————————————————————-

บทที่ 964 ข้าคิดว่าบางครั้งก็สามารถผ่อนปรนได้

เธอมองมือเรียวงามปานเครื่องลายครามหยกที่ยื่นมาเบื้องหน้าตน แต่ไม่ได้ดึงขึ้นมา “เจ้ามิถือเรื่องชายหญิงมิพึงชิดใกล้แล้วหรือ?”

อิงเหยียนนั่วไม่ได้หดมือกลับ มองเธออย่างน่าสงสาร “สถานการณ์ฉุกละหุก ข้าคิดว่าบางครั้งก็สามารถผ่อนปรนได้”

กู้ซีจิ่วหันกลับไปอย่างใจแข็งยิ่ง “ข้ารู้สึกว่ายามนี้มิได้อยู่ในช่วงสถานการณ์ฉุกละหุก”

ดูเหมือนบุคลิกที่สองของเจ้าเด็กนี่จะตื่นขึ้นมาควบคุมสถานการณ์หลักแล้ว บุคลิกนี้ของเขาชอบทำตัวกระเง้ากระงอดแอ๊บแบ้ว กู้ซีจิ่วก็เคยชินแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงไม่เก็บมาใส่ใจ

ช่วงเวลาเช่นนี้เธอย่อมไม่มีเวลามาถกเถียงกับอิงเหยียนนั่วให้มากความ เธอเลิกม่านรถมองออกไปแวบหนึ่ง พบว่ารถม้าคันที่ตนโดยสารอยู่ในยามนี้คือรถม้าที่โดยสารมาคันนั้น สิงโตตัวนั้นก็เป็นสิงโตเวหาตัวเดิม

เห็นทีว่าอิงเหยียนนั่วจะเตรียมการไว้ตั้งแต่แรก ตอนที่เธอกระโดดลงจากรถไปทำลายเขตแดนนั้น เขาก็ให้สิงโตลากรถคันนี้ไปซ่อนอยู่ในกลุ่มเมฆแล้ว…

ถึงปรากฏตัวออกมาช่วยเหลือพวกเขาไว้ได้ทันกาล

กู้ซีจิ่วเห็นด้วยว่าห่างออกไปไม่ไกล สตรีที่ขี่มังกรเจียวตัวนั้นมิได้ฉวยโอกาสที่เป็นต่อแล้วไล่ตามมาโจมตี แถบแพรของนางพันง้าวจันทร์เสี้ยวเล่มนั้นไว้แล้วโยนให้คนยักษ์ชุดเกราะทองผู้นั้น “แม้แต่เด็กน้อยของแดนมนุษย์ก็ต้านไม่อยู่ แล้วข้าจะเอาเจ้าไว้ทำอันใด?”

คนยักษ์เกราะทองผู้นั้นหน้าดำหน้าแดง รับง้าวจันทร์เสี้ยวไป “ราชินีสั่งสอนได้ถูกต้องแล้ว”

เขาแกว่งง้าวจันทร์เสี้ยวทันที มองมาทางกู้ซีจิ่วที่อยู่ด้านนี้ด้วยสายตาโหดเหี้ยม ขณะที่กำลังจะทำอะไรบางอย่าง ดรุณีที่ขี่มังกรเจียวผู้นั้นก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ช่างเถิด แค่เด็กน้อยไม่กี่คน ไม่จำเป็นต้องถือสาหาความกับพวกเขา ยังต้องทำธุระสำคัญอีก”

เมื่อเห็นกู้ซีจิ่วโผล่หน้าออกมาจากรถม้า ดรุณีนางนั้นก็เชิดหน้าขึ้น “สาวน้อย เราผู้เป็นเซียนจะไม่ถือสาหาความกับพวกเจ้า รีบไปให้พ้นซะ! อย่าถ่วงรั้งการปราบมารกำจัดปีศาจของเราผู้เป็นเซียน!”

น้ำเสียงของดรุณีขี่มังกรเจียวนางนี้ใสกระจ่าง สำเนียงและท่าทีเปี่ยมด้วยความเย่อหยิ่งของชนชั้นสูงที่ไม่คิดจะถือสาหาความกับคนที่วรรณะต่ำกว่า แทบไม่เห็นผู้อื่นอยู่ในสายตา

กู้ซีจิ่วเอ่ยขัดวาจาวางอำนาจของนางโดยตรง “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเป็นเทพเซียนจากหนใด แต่สิ่งที่ข้าจะบอกเจ้าคือ ด้านล่างมีผีดิบอยู่เรือนพันเรือนหมื่น! การที่เจ้าทำลายเขตแดนเท่ากับเป็นการปล่อยพวกมันออกมา! เจ้าคิดว่าอาศัยตัวเจ้าคนเดียวก็สามารถหยุดยั้งพวกมันได้งั้นหรือ?”

ดรุณีขี่มังกรนางนั้นตะลึงงัน “อะไรนะ…ผีดิบเรือนพันเรือนหมื่นอันใด…” นางเอ่ยยังไม่ทันขาดคำ ในพื้นหิมะด้านล่างคล้ายว่าจะปั่นป่วนขึ้นมาแล้ว ผีดิบชุดขาวนับไม่ถ้วนโผล่หัวออกมา…

“น่าตายนัก!” กู้ซีจิ่วสบถคราหนึ่ง ไม่เสียเวลาพูดจาไร้สาระกับดรุณีนางนั้นอีก บังคับรถตรงดิ่งลงไป…

ผีดิบชุดขาวเหล่านั้นกระโจนออกมาอย่างรวดเร็วยิ่ง จำนวนก็มากมายนัก พริบตาเดียวก็แทบจะเต็มพื้นที่ไปหมด หลั่งไหลไปยังทิศทางหนึ่งปานกระแสน้ำ

ผีดิบชนิดนี้ชอบไล่ล่าตามกลิ่นไอของคนเป็น ถึงแม้เพื่อนๆ ของเธอจะยืนอยู่บนหน้าผาที่ห่างออกไปเจ็ดแปดลี้ แต่ผีดิบเหล่านี้ก็ยังคงได้กลิ่นของพวกเขาอย่างรวดเร็ว รีบกรูกันไปทางเนินเขาทันที…

ผีดิบเหล่านี้มีจำนวนหลายพันตัว หากว่าถูกผีดิบเหล่านี้ล้อมไว้ เกรงว่าทวยเทพเหล่าเซียนก็ช่วยออกมาไม่ได้!

โชคดีที่รถม้าของเธอดิ่งลงไปเร็วพอ ไปถึงหน้าผาแห่งนั้นก่อนที่คลื่นผีดิบจะมาถึง หยุดอยู่เบื้องหน้าพวกเยี่ยนเฉิน “เร็วเข้า ขึ้นมาให้หมด!”

พวกเยี่ยนเฉินก็ทราบความร้ายกาจของผีดิบดี พากันกระโดดขึ้นรถไป

ความเร็วของผีดิบเหล่านั้นรวดเร็วนัก ระยะเวลาเพียงครู่เดียวนี้ มีผีดิบโผล่หน้าขึ้นมาบนหน้าผาแล้ว

สิงโตเวหากระพือปีกสุดกำลังในที่สุดก็โบยบินขึ้นสู่นภาก่อนที่คลื่นผีดิบจะมาถึง

“กรรซ์! กรรซ์ กรรซ์” เสียงคำรามแหบห้าวด้วยความโกรธของเหล่าผีดิบแว่วมาจากด้านล่าง

ห้องโดยสารของรถม้าคันที่พวกกู้ซีจิ่วนั่งอยู่นี้กว้างขวางมาก…

————————————————————————————-

[1] กวาน เป็นเครื่องประดับศีรษะของผู้ชาย เปรียบได้กับรัดเกล้าที่สวมครอบมวยผม ถือเป็นสัญลักษณ์บอกสถานะอีกด้วย ชายชาวจีนเมื่ออายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ ก็จะเข้าพิธีสวมกวานเพื่อยืนยันว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ในบางพื้นที่อายุครบ 16 ปีก็เข้าพิธีสวมกวานได้แล้ว

[2]  สี่ตำลึงปาดพันชั่ง เป็นศิลปะการใช้แรงขั้นสูง เน้นไม่ให้แรงตนเข้าปะทะกับแรงของคู่ต่อสู้ ดึงพลังของคู่ต่อสู้ไปสู่ความว่างเปล่า หลีกเลี่ยงแรงปะทะทางตรง ตัดกำลังคู่ต่อสู้ไม่ให้ปลดปล่อยพลังออกมาได้ ภายหลังการเป็นสำนวนที่สื่อถึงใช้แรงเพียงเล็กน้อยเพื่อเอาชนะแรงที่มากกว่า

ลำนำบุปผาพิษ

ลำนำบุปผาพิษ

เธอคือนักฆ่าสาวผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการมืด แต่ดันตายเพราะโดนคนที่เชื่อใจตลบหลัง! ไม่รู้ว่านรกชังหรือสวรรค์เป็นใจ เธอถึงตื่นขึ้นมาอีกครั้งในร่างเด็กสาวอัปลักษณ์ที่ถูกลวงให้เอาชีวิตมาทิ้ง ผู้คนในโลกนี้ยึดถือในเรื่องของพลังวิญญาณ ทว่าร่างนี้ไม่มีพลังวิญญาณอยู่เลยสักนิด เป็นสวะไร้ค่าชิ้นใหญ่ที่พบเจอได้ยากยิ่ง!! แต่ไม่มีพลังวิญญาณก็ไม่เห็นเป็นไร ร่างนี้มีเธอมารับช่วงต่อแล้ว เธอจะทวงคืนทุกอย่างแทนเจ้าของร่างเดิม ทวงเอาทุกสิ่งที่ควรมีกลับมา!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset