ลำนำบุปผาพิษ – บทที่ 1113+1114

บทที่ 1113+1114

บทที่ 1113 ละครดีฉากหนึ่ง

กู้ซีจิ่วหลับตาลง ไม่สนใจเขาอีกแล้ว

บ้าเอ้ย นี่มันเหมือนกับแม่เฒ่าเทียนซาน[1]จงใจฝังยันต์เป็นตายในตัวเจ้าสำนักเพื่อควบคุมสำนักเหล่านั้น ทำให้ต้องจำยอมเชื่อฟังเลย

คนสติเฟื่องผู้นี้คงควบคุมลูกน้องของเขาเหล่านั้นด้วยวิธีแบบเดียวกัน มิน่าแต่ละคนถึงได้ซื่อสัตย์และจงรักภักดีกันขนาดนี้

ความจริงเธอก็เตรียมใจไว้แล้ว หากหลงฟั่นจับตัวเธอได้คงต้องมีการลงโทษแน่ ซึ่งเธอทนรับได้

ตอนนี้ให้เขาได้ใจไปก่อนเสียหน่อย วันหลังเธอจะต้องเอาคืนให้จงได้! ให้เขาต้องทนทุกข์ทรมานมากกว่านี้สิบเท่า

‘หลงฟั่น คอยดูเถอะ!’

หลงฟั่นย่อมไม่รู้ความคิดของเธอ เขาพูดกับเธออีกตั้งมากมาย คิดจะหลอกถามเกี่ยวกับความทรงจำของเธอ แต่อย่างไรครั้งนี้เธอก็ไม่ปริปากพูด ทำตัวเป็นสวีซู่เข้าค่ายเฉาเชา[2]…ไม่พูดไม่จา

เขาพูดอะไรมากมายก็ไม่ได้การตอบรับจากเธอเลยสักคำ

ภายในรถม้าเงียบสงัดครู่หนึ่ง หลงฟั่นถึงถามเธอ “เธออยากเที่ยวเล่นข้างนอกให้มากหน่อยใช่ไหม?”

ไร้สาระ!

กู้ซีจิ่วไม่แม้แต่จะลืมตาขึ้นมา

หลงฟั่นเอ่ยอีก “ถ้าเช่นนั้น ฉันจะพาเธอไปเดินเล่นที่หนึ่ง ให้เธอได้เปิดหูเปิดตาเสียหน่อย ถือว่าเป็นการชดเชยเล็กๆ น้อยๆ ให้ก็แล้วกัน”

กู้ซีจิ่วลืมตาขึ้น ในที่สุดก็ปริปากอันหนักอึ้ง “ไปไหน?”

“เมืองฟานหลี”

หัวใจกู้ซีจิ่วพลันสั่นไหว สถานที่นั้นก็คือเมืองที่ตี้ฝูอีอยู่ในตอนนี้ ห่างจากที่นี่ไปแปดถึงเก้าร้อยลี้ เขาพาเธอไปตอนนี้ไม่รู้จะมาไม้ไหนอีก?

……

เมืองฟานหลีเป็นเมืองใหญ่ที่ค่อนข้างเจริญรุ่งเรืองเมืองหนึ่ง

ภายในเมืองฟานหลีมีภัตตาคารที่มีชื่อเสียงอยู่สองแห่ง…เป็นภัตตาคารแฝด

เล่ากันว่าภัตตาคารสองแห่งนี้ก่อตั้งโดยฝาแฝดที่มีหัวด้านการค้าคู่หนึ่ง ภัตตาคารทั้งสองตั้งอยู่บนถนนเส้นหนึ่ง รูปแบบโดยรวมเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว และหันหน้าเข้าหากันโดยมีถนนกว้างสิบกว่าเมตรกั้นกลาง

ภัตตาคารสองแห่งนี้ถึงแม้จะอยู่ใกล้ แต่กลับไม่มีการแข่งขันกัน ด้วยเหตุที่อาหารของทั้งสองแห่งต่างมีรูปแบบที่แตกต่างกันไป

ภัตตาคารที่กู้ซีจิ่วอยู่เชี่ยวชาญการปรุงอาหารทางใต้ อาหารแต่ละจานประณีตวิจิตรมากเฉกเช่นผลงานศิลปะ ดูแล้วช่างเจริญหูเจริญตา รสชาติค่อนข้างหวาน เหมาะสำหรับลูกค้าที่มาจากทางใต้

ส่วนภัตตาคารอีกแห่งเชี่ยวชาญการปรุงอาหารทางเหนือ อาหารประณีตยิ่งเช่นกัน รสชาติค่อนข้างเค็ม เหมาะสำหรับคนทางเหนือ

ขณะนี้กู้ซีจิ่วนั่งอยู่ที่ห้องหรูหราบนชั้นสามของภัตตาคารทางฝั่งตะวันออกของถนนแห่งนี้ เมื่อเงยหน้ามองผ่านม่านไข่มุกกึ่งโปร่งใส ก็จะมองเห็นทัศนียภาพของภัตตาคารฝั่งตรงข้าม

หลงฟั่นพูดอย่างอ่อนโยนอยู่ข้างเธอ “อีกประเดี๋ยวที่ภัตตาคารฝั่งตรงข้ามจะมีละครดีฉากหนึ่งให้ดู ตำแหน่งของพวกเราเป็นมุมที่ดีที่สุด”

หัวใจกู้ซีจิ่วพลันไหววูบ “ละครดีอะไร?”

หลงฟั่นคีบขาหมูเย็นชิ้นหนึ่งวางลงในจานของเธอ เก็บไว้ให้เธอยิ่งอยากรู้ “เดี๋ยวเธอก็จะรู้เอง”

ชาติที่แล้วกู้ซีจิ่วอาศัยอยู่ที่ปักกิ่งโดยตลอด เธอชอบอาหารรสชาติทางเหนือมากกว่า ยามนี้เธอมองของกินเล่นที่ประณีตยิ่งกว่างานศิลปะเหล่านั้นบนโต๊ะ แน่นิ่งไม่ขยับเขยื้อน

แต่ไม่ใช่ว่าเธอเรื่องมากไม่อยากกิน แต่เป็นเพราะเธอไม่สามารถกินเองได้

หลงฟั่นไร้ซึ่งคุณธรรมยิ่งนัก ถึงแม้ว่าเขาจะพาเธอมาที่เมืองนี้ แต่กลับทำให้เธอเป็นอัมพาต แถมยังแปลงโฉมให้เป็นชายชราหน้าตาอัปลักษณ์

หลงฟั่นเคยเอากระจกให้เธอส่อง เธอมองแค่แวบเดียวก็ต้องเบือนหน้าหนีด้วยความรังเกียจ

อัปลักษณ์ยิ่งนัก!

ริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าสามารถหนีบแมลงวันให้ตายได้ ดูแล้วอายุไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยปี ประเภทแค่เพียงนอนลงหลับตาก็พร้อมเข้าโลงได้เลย

นี่ยังไม่นับรวมกระที่ปกคลุมทั่วผิวหนัง กับรอยด่างดำบนใบหน้าขนาดเท่าเหรียญอีแปะอีกเก้าจุด!

ส่วนหลงฟั่นถึงแม้แปลงโฉมเช่นกัน ทว่าก็ยังเป็นลักษณะคุณชายแรกรุ่น ดูหล่อเหลาไม่สร่าง หากเดินบนท้องถนนต้องได้รับสายตาร้อนแรงจากหญิงสาวมากมายเป็นแน่

 ลูกน้องสองคนนั้นของเขาก็แปลงโฉมเป็นคนรับใช้ แบกเกี้ยวไม้ไผ่พากู้ซีจิ่วขึ้นมาด้านบน หลงฟั่นกลับทำทีเป็นหลานกตัญญูรีบตามมาข้างเกี้ยวไม้ไผ่ คอยสั่งการให้คนรับใช้ทั้งสองเบามือเป็นครั้งคราว

——————————————————–

บทที่ 1114 หลานรักของข้าจะดูแลข้าเอง

ภัตตาคารแห่งนี้มีคนทุกระดับทุกอาชีพ มีลูกค้าทุกประเภท ดังนั้นเมื่อพวกเขาเดินเข้ามาจึงไม่มีใครสังเกต

กลับมีเสมียนร้านปากมากเอ่ยถามว่า “คุณชายพาผู้อาวุโสมาด้วย หากขึ้นด้านบนไม่สะดวก ข้าน้อยหาที่นั่งด้านล่างให้ท่านได้นะขอรับ”

หลงฟั่นส่ายหน้า “ไม่จำเป็น ท่านปู่มีอารมณ์แปรปรวน เกรงว่าจะส่งเสียงดัง นั่งห้องส่วนตัวด้านบนดีแล้ว”

เสมียนร้านคนนั้นยังอยากพูดอย่างอื่นต่ออีก กู้ซีจิ่วจึงตัดบทอย่างอ่อนแรง “หลานรักของข้ากตัญญูต่อข้า ทำตามที่เขาว่าเถิด”

หลงฟั่นคงกลัวว่าเธอจะวางแผนทำการอันใด จึงให้เธอกินยาอะไรเข้าไปไม่ทราบ ไม่เพียงแต่จะไม่มีแรงเคลื่อนไหวร่างกาย แม้แต่พูดยังไม่มีเรี่ยวแรงด้วยซ้ำ ต้องฝืนพยายามพูดจึงจะมีเสียงออกมา น้ำเสียงแก่ชราและแหบแห้ง มีเรี่ยวแรงมากกว่ายุงบินหึ่งเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้กู้ซีจิ่วจึงถูกจัดให้นั่งอยู่ตำแหน่งนี้ จากที่หลงฟั่นพูด ตำแหน่งนี้ทัศนวิสัยดี และเหมาะสมกับเธอ

กู้ซีจิ่วเหลือบมองออกไปด้านนอกอยู่บ่อยครั้ง มองผู้คนสัญจรไปมาบนถนนหนทาง มองดูพ่อค้าหาบเร่เหล่านั้นตะโกนขายของ เป็นภาพฉากของยุคสมัยที่รุ่งเรืองเฟื่องฟู

เธอพยายามประคองหลังที่โค้งงอให้ฝืนนั่งอยู่ได้ แขนเกือบยกขึ้นไม่ไหว ดังนั้นถึงแม้เธอจะหิวจนท้องร้องจ๊อกๆ แต่กลับไม่สามารถกินอาหารชั้นเลิศที่วางอยู่ตรงหน้าได้

เห็นได้ชัดว่าหลงฟั่นกำลังแก้แค้นเธอกับคำว่า ‘หลานรัก’ คำนั้น เขาคีบอาหารใส่จานเธอจนเต็ม แต่กลับไม่ป้อนให้สักคำ

แขกที่มากินข้าวในชั้นนี้ต่างเป็นลูกค้าสูงศักดิ์ เสมียนร้านจึงคอยเข้ามาดูแลไม่ขาด ทั้งอุ่นสุรารินน้ำและอื่นๆ

กู้ซีจิ่วอดทนอยู่ครู่หนึ่ง คอยเวลาให้เสมียนร้านมารินน้ำข้างกายเธอ จึงค่อยออกคำสั่งเสมียนร้านคนนั้น “เจ้าอยู่ตรงนี้ก่อน ประเดี๋ยวหลานรักของข้าจะตบรางวัลให้เจ้า” ถึงแม้เสียงของเธอจะแผ่วเบา แต่เมื่ออยู่ด้านหน้าโต๊ะตัวหนึ่งก็ยังคงได้ยิน

เสมียนร้านรับคำด้วยความยินดี ยืนอยู่ด้านข้างอย่างสุภาพ อีกทั้งยังมองดูจานด้านหน้าเธออย่างกระตือรือร้น เขารู้ว่าเธอเคลื่อนไหวไม่สะดวก “ท่านผู้เฒ่า ให้ข้าน้อยป้อนท่านเอาไหมขอรับ?”

กู้ซีจิ่วกลับเป็นผู้อาวุโสที่จุกจิกยิ่งนัก “ไม่จำเป็น หลานรักของข้าจะดูแลข้าเอง” ก่อนหันไปสั่งหลงฟั่นด้วยอาการสั่นเทา “หลานรัก เจ้ากตัญญูที่สุดแล้ว มา มาป้อนลูกชิ้นปู่สักคำ”

หลงฟั่นนิ่งอึ้ง

เมื่อเห็นเสมียนร้านคนนั้นจ้องมองเขา หลงฟั่นข่มอารมณ์คีบลูกชิ้นส่งให้ถึงปากกู้ซีจิ่ว กู้ซีจิ่วกินอย่างเนิบนาบ พลางออกคำสั่งอีกหนึ่งประโยค “หลานรัก ตักน้ำแกงให้ปู่อีกหน่อย”

เป็นครั้งแรกที่หลงฟั่นอยากจะกดหน้าเธอลงไปในถ้วยน้ำแกง!

ณ ตอนนี้ละครยังไม่เริ่มโหมโรง หลงฟั่นย่อมไม่อยากเปิดการแสดงเองก่อน เมื่อสักครู่เขายังเป็นหลานชายยอดกตัญญูอยู่ดีๆ เวลานี้จึงไม่อาจไม่กตัญญูได้ ทำได้เพียงแค่ป้อนให้เธอ

ลูกไม้ของกู้ซีจิ่วมากมายผิดปกติ เดี๋ยวติอาหารจานนี้หวานไป อาหารจานนั้นจืดชืดไป เธอยังอยากกินเนื้อกุ้ง ต้องการให้หลงฟั่นแกะเปลือกกุ้งให้…ทำให้หลงฟั่นหัวหมุน และเขาเองก็แทบไม่ได้กินอย่างเป็นสุขเท่าใด

หลงฟั่นขุ่นเคือง ส่งกระแสเสียงถึงเธอว่า ‘เธอควรรู้จักพอเหมาะพอควรบ้าง! ถ้ายังยั่วโมโหอีกฉันจะไม่ให้ยาถอนพิษ จะให้เธอต้องทนทุกข์ทรมาน!’

ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงไม่สร้างเรื่องให้เขาอีก มองเขาด้วยสายตาพร่ามัวของชายชรา “หลานรัก ลำบากเจ้าแล้ว ยังต้องคอยดูแลไม้ใกล้ฝั่งอย่างข้าคนนี้อีก เจ้าเองก็ไม่ได้กินเสียเท่าใด เฮ้อ ช่างเถิด ป้อนน้ำแกงให้ปู่อีกสักคำสองคำ ปู่ก็อิ่มแล้ว”

เห็นแก่ที่เธอยอมลดละ หลงฟั่นจึงข่มอารมณ์ป้อนน้ำแกงให้ ทันใดนั้นเธอพลันสำลัก พ่นน้ำลายอีกทั้งน้ำแกงออกมาเต็มหน้าหลงฟั่น…

หลงฟั่นอึ้งตะลึง

เสียง ‘เพล้ง!’ ดังขึ้น ชามกระเบื้องถูกเขาบีบจนแตกเป็นเสี่ยง ทำให้เสมียนร้านผู้นั้นสะดุ้งตกใจ

กู้ซีจิ่วแสดงสีหน้ารู้สึกผิด “หลานรัก ปู่ไม่ได้ตั้งใจ แค่กๆ เจ้าอย่าโกรธไปเลย…แค่กๆ ไม่สนใจปู่แล้วอย่างนั้นรึ?”

————————————————————

[1] แม่เฒ่าเทียนซาน เป็นตัวละครในนวนิยายเรื่องแปดเทพอสูรมังกรฟ้า ผลงานประพันธ์ของกิมย้ง มียันต์เป็นตายที่เป็นวิชาสำคัญในการหาทาสมาใช้งาน โดยจะมอบยาบรรเทาอาการเจ็บปวดจากพิษของยันต์เป็นตายให้ปีละครั้ง

[2] สวีซู่เข้าค่ายเฉาเชา เป็นคำกล่าวอ้างถึง บทประพันธ์สามก๊ก สวีซู่ได้รับความช่วยเหลือจากหลิวเป้ย (เล่าปี่) จึงให้คำมั่นสัญญาว่าจะไม่ช่วยเฉาเชา (โจโฉ) ออกอุบาย

ลำนำบุปผาพิษ

ลำนำบุปผาพิษ

เธอคือนักฆ่าสาวผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการมืด แต่ดันตายเพราะโดนคนที่เชื่อใจตลบหลัง! ไม่รู้ว่านรกชังหรือสวรรค์เป็นใจ เธอถึงตื่นขึ้นมาอีกครั้งในร่างเด็กสาวอัปลักษณ์ที่ถูกลวงให้เอาชีวิตมาทิ้ง ผู้คนในโลกนี้ยึดถือในเรื่องของพลังวิญญาณ ทว่าร่างนี้ไม่มีพลังวิญญาณอยู่เลยสักนิด เป็นสวะไร้ค่าชิ้นใหญ่ที่พบเจอได้ยากยิ่ง!! แต่ไม่มีพลังวิญญาณก็ไม่เห็นเป็นไร ร่างนี้มีเธอมารับช่วงต่อแล้ว เธอจะทวงคืนทุกอย่างแทนเจ้าของร่างเดิม ทวงเอาทุกสิ่งที่ควรมีกลับมา!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset