ลำนำบุปผาพิษ – บทที่ 1249+1250

บทที่ 1249+1250

บทที่ 1249 คิดถึงแค่พวกมันไม่คิดถึงข้าบ้างหรือ?

แต่น่าเสียดายที่เธอไม่ปรารถนาการชดเชยแบบนี้ ต่อให้ฐานะของเธอสูงเทียบทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายกับประมุขเผ่าเงือกไม่ได้ แต่เธอก็มีเกียรติของตัวเอง เรื่องความรักเธอต้องการเป็นหนึ่งเดียวเท่านั้น ไม่ต้องการเป็นเอ่อร์หวงหนี่ว์อิง[1]สองสตรีต้องมีสามีคนเดียวกัน

ถ้าตอนนี้เขาแต่งกับเธอ ก็นับว่าเขาชดใช้หนี้น้ำใจให้เธอแล้ว

เมื่อประมุขหญิงเผ่าเงือกผู้นั้นฟื้นขึ้นมา เขาที่รอคอยมาหลายพันปีไม่มีเหตุอะไรที่ต้องปล่อยไป ย่อมต้องแต่งเข้ามาเป็นแน่…

เมื่อถึงตอนนั้นเธอถึงจะตกอยู่ในโศกนาฏกรรมรักอย่างแท้จริง!

เธอจะไม่ปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในสภาพที่น่าสมเพชเช่นนั้น ยินดีปล่อยมือจากลาตั้งแต่ยามนี้ ช่วยเหลือให้ความรักของพวกเขาได้สมหวัง

นี่คือสิ่งที่กู้ซีจิ่วคิดในขณะนี้

ในเมื่อที่นี่ไม่ต้องใช้พลังวิญญาณของพวกเจ้าหอยยักษ์หล่อเลี้ยงแล้ว เช่นนั้นเธอจะพาพวกมันสามตัวไปด้วย ด้วยเหตุนี้เธอจึงถามขึ้นทันที “พวกเจ้าอยากกลับไปกับข้าไหม?”

“อยาก!” เจ้าหอยยักษ์ตอบอย่างไม่ลังเลเลย อีกสองตัวก็ผงกหัวรัวๆ เช่นกัน

ถึงแม้ร่างเดิมของเจ้านายจะสำคัญยิ่งนัก แต่เจ้านายมีสังขารใหม่แล้ว ซ้ำยังงดงามถึงเพียงนี้ด้วย งดงามกว่าร่างเดิมนัก เจ้าหอยยักษ์จึงคิดว่าร่างเดิมของเจ้านายจริงๆ แล้วจะปกป้องหรือไม่ปกป้องก็ไม่สำคัญเท่าไหร่แล้ว อีกอย่างร่างเดิมนี้ก็มีมุกคงโฉมแล้ว ไม่จำเป็นต้องจำกัดอิสระของพวกมันให้คุ้มกันอยู่ที่นี่อีกแล้ว

พวกมันโหยหาหุบเขา! โหยหาการล่าสัตว์แล้ว!

“เจ้านาย หลังจากออกไปแล้วสามารถขึ้นเขาล่าสัตว์อะไรทำนองนั้นได้หรือไม่?” เจ้าหอยยักษ์ถามอย่างระมัดระวัง

“ได้สิ” กู้ซีจิ่วยิ้มน้อยๆ

เธอเพิ่งจะพาพวกเจ้าหอยยักษ์ทั้งสามก้าวออกมาจากประตูตำหนัก ในอากาศก็มีสายลมพัดโหมวูบหนึ่ง คนผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นมาจากความว่างเปล่า ร่อนลงเบื้องหน้ากู้ซีจิ่วพอดี

กู้ซีจิ่วตกใจ ถอยหลังไปสองก้าว จิตใจปั่นป่วนถาโถมอย่างรุนแรงไม่กี่ครา “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย!”

ผู้ที่มาย่อมเป็นตี้ฝูอี ยากนักที่จะได้เห็นเขาอยู่ในชุดนอน เรือนผมยาวดั่งธารน้ำตกยุ่งเหยิงอยู่บ้าง เห็นได้ชัดว่ารีบรุดมาที่นี่

เมื่อเขาเห็นกู้ซีจิ่วเดินออกมาจากในประตู ก็มีท่าทางโล่งอก เข้ามาจูงเธอ “เหตุใดถึงมาที่อย่างไม่บอกไม่กล่าวสักคำเล่า? มาตั้งแต่เมื่อไหร่แล้ว?”

“อาวรณ์หาพวกมัน ก็เลยมาดูสักหน่อย เพิ่งมาถึง…” กู้ซีจิ่วสะกดอารมณ์ที่ปั่นป่วนแล้วเอ่ยตอบ

ตี้ฝูอีมองเธอ พูดหยอกเธอเล่น “คิดถึงแค่พวกมันไม่คิดถึงข้าบ้างหรือ?”

คิดถึงสิ! คิดถึงมาก ดังนั้นถึงได้หาข้ออ้างเพื่อมาที่นี่ นึกไม่ถึงเลยว่า…

กู้ซีจิ่วตอบไปว่า “ย่อมคิดถึงอยู่แล้ว” จากนั้นก็มีอาภรณ์ที่ดูไม่เรียบร้อยอยู่บ้างของเขา “ท่านรู้ได้ยังไงว่าข้ามาที่นี่?”

ตี้ฝูอีเงียบงัน

ถึงแม้เขาจะส่งนางกลับไปอยู่จวนแม่ทัพแล้ว แต่ก็ยังจัดวางองครักษ์เงาไว้ข้างกายนาง…

ให้องครักษ์เงาคุ้มครองความปลอดภัยของนาง ขณะเดียวกันก็จับตามองความเคลื่อนไหวของนางด้วย กันไม่ให้นางวิ่งซุกซนไปทั่ว

เมื่อครู่นี้เขาเพิ่งจะเข้านอน จะได้รับรายงานด่วนจากองครักษ์เงา บอกว่ากู้ซีจิ่วหายไปจากห้องนอนแล้ว เขาค้นหาดูจนทั่วจวนแม่ทัพก็ไม่พบร่องรอยของนางเลย…

วรยุทธ์ขององครักษ์เงาที่จับตามองผู้นั้นสูงส่งยิ่ง ยามที่เขาคุ้มกันคน แม้กระทั่งแมลงวันสักตัวก็อย่าหมายจะได้เข้าใกล้ร่างของผู้ที่ได้รับการคุ้มกัน ดังนั้นความเป็นไปได้ที่กู้ซีจิ่วจะถูกผู้อื่นลักพาตัวไปจึงเป็นศูนย์ นางมีความสามารถในการไปมาอย่างเงียบเชียบไร้ร่องรอยอยู่อย่างหนึ่ง นางใช้วิชาเคลื่อนย้ายหนีออกไปเอง!

เนื่องจากกู้ซีจิ่วหายไปจากห้องนอนในยามวิกาล องครักษ์เงาผู้นั้นลาดตระเวนอยู่นอกเรือนอย่างลับๆ เพื่อป้องกันสัตรูภายนอกบุกรุกเข้ามาเท่านั้น จึงไม่ทราบเลยว่ากู้ซีจิ่วจากไปตั้งแต่ตอนไหน

เขาตามหาไม่พบ ถึงได้รีบร้อนรายงานให้ตี้ฝูอีทราบ…

ปฏิกิริยาแรกของตี้ฝูอีก็คือนางคงแอบหนีมาหาตนที่นี่และพบว่านางมาที่ตำหนักน้ำแข็งแห่งนี้จริงๆ…

เขาดึงร่างคนเข้าสู่อ้อมแขน จับมือจับเท้าของนาง นัยน์ตาโชนแสงเล็กน้อย “เย็นถึงขนาดนี้แล้ว เจ้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“เพิ่งมาถึงไม่นาน…”

————————————————————————————-

บทที่ 1250 เช่นนั้นข้างามหรือไม่?

“เพิ่งมาถึงไม่นาน…” กู้ซีจิ่วตอบ เธอซุกอยู่ในอ้อมอกเขา ได้กลิ่นหอมจางๆ ที่คุ้นเคยจากร่างเขา หัวใจซัดสาดขึ้นลงปานกระแสน้ำ เธอโหยหาอาวรณ์อ้อมกอดนี้ยิ่งนักจริงๆ เสมือนติดฝิ่นก็มิปาน…

ศีรษะของเธอร้อนผ่าววูบหนึ่ง ซุกตัวอยู่ในอ้อมอกเขา “ข้าคิดถึงท่าน”

แขนของตี้ฝูอีกอดเธอไว้แน่น หัวเราะเธออย่างอดไว้ไม่อยู่ “น้อยนักที่จะเห็นยามที่เจ้าแอบอิงผู้อื่นเสมือนวิหคน้อยเช่นนี้”

เขาสัมผัสมือของเธออีกครั้ง แตะใบหน้าน้อยๆ ของเธอ

มือและหน้าของเธอเย็นมาก เขาขมวดคิ้ว จูงเธอให้ออกเดิน “เย็นขนาดนี้แล้ว ไปเถอะ ไปอุ่นตัวในห้องข้า”

กู้ซีจิ่วไม่ไป “ยากนักที่จะได้เห็นแสงจันทร์งดงามเช่นนี้ ข้าอยากเดินเล่นกับท่าน”

ตี้ฝูอีเงยหน้ามองจันทร์เสี้ยวบนฟากฟ้าดวงนั้น กล่าวโดยท่าทียิ้มมิเชิงยิ้ม “แสงจันทร์งดงาม?”

กู้ซีจิ่วก็เงยหน้ามองฟ้าเช่นกัน จันทร์เสี้ยวดวงนั้นสลัวเลือนรางยิ่งนัก ภายใต้ท้องฟ้าที่ดาษดื่นด้วยแสงดาวดูจืดจางราวกับภาพน้ำหมึก เธอกระแอมคราหนึ่ง “ใช่ว่าจันทร์เพ็ญเท่านั้นถึงจะทำให้คนสนใจชื่นชมได้ จันทร์เสี้ยวก็มีข้อดีในแบบของจันทร์เสี้ยว ทำไม? ท่านไม่อยากร่วมชมกับข้าหรือ? ช่างเถอะ งั้นข้าไปก็ได้!” คิดจะดิ้นรนออกจากอ้อมแขนของเขา

ตี้ฝูอีรัดเธอไว้ “ไปเถอะ พวกเราไปเดินเล่นกัน”

….

ดวงเดือนเยียบเย็น ดาราดาดฟ้า

ด้านหลังวังค้ำนภามีภูเขาเล็กๆ ลูกหนึ่ง สูงต่ำมิอาจวัดค่าบรรพต หากมีเทพเซียนปรากฏย่างกราย

เดิมทีภูเขาลูกนี้ไม่เป็นที่รู้จัก แต่เป็นเพราะการมีอยู่ของวังค้ำนภา ภูเขาลูกนี้จึงมีชื่อเสียงยิ่งนักในแผ่นดินนี้ ได้รับการขนานนามว่าเขาค้ำนภา

ตำหนักน้ำแข็งหลังนั้นที่จัดวางร่างเดิมของกู้ซีจิ่วไว้เดิมทีก็อยู่บนยอดเขาของภูเขาค้ำนภาลูกนี้ และเป็นสถานที่ที่มีไอวิญญาณหนาแน่นที่สุดของวังค้ำนภา

จากตำหนักหลักของวังค้ำนภามีบันไดสายหนึ่งทอดยาวมาถึงตำหนักน้ำแข็ง ขั้นบันไดศิลาเขียว ทอดตัวคดเคี้ยวไปสู่สวนลึกในยามราตรี

สองข้างบันไดมีวัชพืชเติบโตอยู่ เนื่องจากเป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ อากาศในภูเขาลูกนี้จึงค่อนข้างอบอุ่น วัชพืชอ่อนบางที่สองข้างบันได้จึงมีสีเขียวขจีปรากฏออกมาเล็กน้อยแล้ว

ทั้งสองพากันเดินลงบันได

ลมราตรีเหน็บหนาวยิ่ง กู้ซีจิ่วมองตี้ฝูอีที่สวมชุดนอนผ้าไหม เสื้อผ้าธรรมดาเมื่อมอบให้เขาสวมใส่ก็ส่งผลให้ดูสง่างามพลิ้วไหวปานเทพเซียน

“ท่านหนาวหรือไม่?” เธอยังคงเป็นห่วงเป็นใยเขา

ตี้ฝูอีอดไม่ที่จะยิ้มออกมา โอบเธอไว้ในอ้อมแขน “หนาว! ให้ความอบอุ่นข้าหน่อยสิ”

ถึงแม้เขาจะสวมเสื้อผ้าบางๆ ทว่าอ้อมกอดกลับอบอุ่นเช่นที่ผ่านมา เดิมทีกู้ซีจิ่วรู้สึกหนาวอยู่บ้าง เมื่อถูกเขากอดไว้เช่นนี้ก็อุ่นแทบจะหลั่งเหงื่อแล้ว

เธอมองดูเขา “ดูเหมือนท่านจะฟื้นฟูได้ไม่เลวเลยนะ ฟื้นฟูพลังวิญญาณได้กี่ส่วนแล้วล่ะ?”

พักฟื้นมาใกล้จะสองเดือนแล้ว บาดแผลบนร่างตี้ฝูอีส่วนใหญ่หายสนิดแล้ว พลังวิญญาณก็ฟื้นฟูกลับมาไม่น้อย พลังวิญญาณของเขาลึกล้ำเกินไป ต่อให้สูญเสียพลังวิญญาณบางส่วนไปกู้ซีจิ่วก็เดาความตื้นลึกหนาบางของเขาไม่ออกอยู่ดี

“เกินครึ่งแล้ว” ตู้อีมองเธอที่อยู่ในอ้อมแขน “เจ้าฝึกฝนจนบรรลุขั้นแปดแล้ว!”

กู้ซีจิ่วดิ้นรนออกมาจากอ้อมแขนเขา หมุนตัวอยู่เดิมรอบหนึ่ง “เช่นนั้นข้างามหรือไม่?”

วันนี้เธอบรรจงแต่งตัวมา นัยน์ตาสุกสกาวดั่งจันทรา ริมฝีปากเอิบอิ่มปานกลีบบุปผา สวมชุดสีฟ้าพลิ้วไหลที่ขับเน้นให้เห็นเรือนร่างที่เย้ายวนทรงเสน่ห์ของเธอ เอวบางเสมือนจะกำได้รอบ ทรวงอกดูอวบอิ่มเด่นนูนยิ่งนัก เรือนร่างเช่นนี้ทำให้ผู้คนก่ออาชญากรรมได้ง่ายนัก…

ดวงตาตี้ฝูอีฉายแววลุ่มลึกแวบหนึ่ง “งดงามมากจริงๆ! เด็กน้อย ไม่นึกเลยว่าร่างนี้ของเจ้าจะยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้”

กู้ซีจิ่วยิ้มบางๆ “ท่านหลงใหลร่างนี้เข้าแล้วสินะ? ท่านเคยบอกไว้ว่า เนื้อหนังมังสาเป็นสิ่งห่อหุ้มไว้ภายนอก” กูเหมือนเอจะนึกอะไรขึ้นได้ จึงถอนหายใจเบาๆ คราหนึ่ง “ท่านปกป้องร่างเดิมของข้าไว้ดีเหลือเกิน หากว่าเติบใหญ่ขึ้นมา ต้องเป็นโฉมงามที่ล่มบ้านล่มเมืองได้แน่นอน”

ตี้ฝูอีชะงักไปเล็กน้อย “แน่นอน จะงดงามนัก”

บางทีค่ำคืนนี้อาจจะงดงามเกินไป บางทีเธอคงคิดจะลองเดิมพันดูอีกสักครั้ง

————————————————————————————-

[1]  เอ่อร์หวงหนี่ว์อิง เป็นตัวละครจากตำนานชีวประวัติของจักรพรรดิซุน เป็นสององค์หญิงพี่น้องที่แต่งงานมีสามีคนเดียวกันก็คือจักรพรรดิซุน

ลำนำบุปผาพิษ

ลำนำบุปผาพิษ

เธอคือนักฆ่าสาวผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการมืด แต่ดันตายเพราะโดนคนที่เชื่อใจตลบหลัง! ไม่รู้ว่านรกชังหรือสวรรค์เป็นใจ เธอถึงตื่นขึ้นมาอีกครั้งในร่างเด็กสาวอัปลักษณ์ที่ถูกลวงให้เอาชีวิตมาทิ้ง ผู้คนในโลกนี้ยึดถือในเรื่องของพลังวิญญาณ ทว่าร่างนี้ไม่มีพลังวิญญาณอยู่เลยสักนิด เป็นสวะไร้ค่าชิ้นใหญ่ที่พบเจอได้ยากยิ่ง!! แต่ไม่มีพลังวิญญาณก็ไม่เห็นเป็นไร ร่างนี้มีเธอมารับช่วงต่อแล้ว เธอจะทวงคืนทุกอย่างแทนเจ้าของร่างเดิม ทวงเอาทุกสิ่งที่ควรมีกลับมา!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset