ลำนำบุปผาพิษ – บทที่ 1632+1633

บทที่ 1632 พบเจอ

เธอไม่ได้วางแผนว่าจะยอมรับตัวตนนั้น มิเช่นนั้นจะเป็นการหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวอีกครั้ง

เธอใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ตัดสินว่าวันหน้าจะต้องแปลงโฉมเป็นจ้งเซิงที่ออกเรือนไปแล้ว ให้ซื่อจื่อผู้นี้ตัดใจไปเสีย หากปล่อยให้ฐานะไร้ตัวตนนั้นถ่วงรั้งคนผู้นี้ไปชั่วชีวิตคงไม่ดี

เนื่องจากต้องเล่นละครตบตา กู้ซีจิ่วกับหลงโม่เหยียนจึงพบหน้ากันอีกสองครั้ง กินข้าวด้วยกันสองหน

ทั้งสองคนอยู่ร่วมกันในฐานะสหาย หลงโม่เหยียนเป็นเพื่อนเล่นที่เอาใจใส่ยิ่งนักคนหนึ่ง เวลาที่เที่ยวเล่นด้วยกัน เขาจะดูแลกู้ซีจิ่วดีมาก ไม่ได้มองเธอเป็นทูตสวรรค์ผู้สูงส่งเหนือปวงชน

วันนี้ขึ้นสิบสี่ค่ำพอดี กู้ซีจิ่วพาเจ้าหอยยักษ์กับลู่อู๋น้อยโดยสารรถม้าหยกขาวที่มีเพรียกวายุลากไปชมดอกเหมยผ่อนคลายที่นอกเมือง

นึกไม่ถึงว่าระหว่างทางจะบังเอิญพบหลงโม่เหยียนเข้า หลงโม่เหยียนก็จะไปชมดอกเหมยเช่นกัน  ด้วยเหตุนี้คนทั้งสองจึงเดินทางไปด้วยกัน

หลงโม่เหยียนขี่อาชาขาว ซึ่งเข้ากับรถม้าหยกขาวของกู้ซีจิ่วยิ่งนัก คนทั้งสองผู้หนึ่งอยู่ด้านในรถ ผู้หนึ่งอยู่ด้านนอกรถ บางครั้งหลงโม่เหยียนก็แหวกม่านรถสนทนากับเธอสองสามประโยค พูดคุยหยอกเอินกันเช่นนี้ก็ไม่นับว่าเงียบเหงาแล้ว

เจ้าหอยยักษ์หมอบอยู่มุมหนึ่งในห้องโดยสาร อ้าฝาฟังอยู่พักใหญ่ จากนั้นก็กล่าวกับกู้ซีจิ่วอย่างมั่นใจยิ่งนัก “เจ้านาย คนผู้นี้ไม่เลวเลย ภายภาคหน้าจะได้สำเร็จเป็นเซียน”

กู้ซีจิ่วไม่นึกเลยว่าเจ้าหอยยักษ์จะมีฝีมือด้านการดูโหงวเฮ้งด้วย “เจ้ารู้ได้ยังไง?”

“บนร่างเขามีไอเซียนอยู่รางๆ พิสูจน์ได้ว่ามีรากฐานประเสริฐ อ้างอิงจากผู้คนมากมายที่ข้าเคยกลืนกิน นอกจากทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายแล้ว ก็เป็นรากฐานของคนผู้นี้แหละที่ยอดเยี่ยมที่สุด”

กู้ซีจิ่วประหลาดใจนัก เท่าที่เธอทราบ พลังวิญญาณของหลงโม่เหยียนในยามนี้ยังไม่ถึงขั้นแปดเลย บนโลกใบนี้ไม่ทราบว่ามีผู้คนมากน้อยเพียงใดที่เหนือล้ำกว่าเขา ทำไมเขาถึงสามารถเทียบชั้นกับตี้ฝูอีได้เล่า?

เธอเลิกม่านรถออกมามองดูหลงโม่เหยียนอย่างสงบอีกครั้ง เธอรู้สึกอยู่เสมอว่าหลงโม่เหยียนในยามนี้เมื่อเทียบกับเมื่อก่อนแล้ว คล้ายจะเปล่งแสงดั่งพุทธองค์ออกมา และบางทีก็คล้ายกับดวงวิญญาณที่เดิมทีโง่งมแต่จู่ๆ ก็ปลุกสำนึกรู้แจ้งขึ้นมาได้ บนร่างแฝงไอเซียนที่ยากจะบรรยายได้เอาไว้

ป่าเหมยแห่งนั้นเกิดขึ้นตามธรรมชาติ เติบโตอยู่ในแอ่งกระทะกลางหุบเขา เป็นที่ราบภูเขาพื้นใหญ่

เดิมทีช่วงผลิดอกของมันคือต้นเดือนสิบสอง ยามนั้นผลิบานไปแล้วรอบหนึ่ง แต่คาดไม่ถึงว่าในวันที่สิบห้านี้ ดอกเหมยในป่าเหมยผืนนี้จะบานสะพรั่งอีกครั้ง มองจากที่ไกลๆ ดูราวกับเมฆาแดงชาด

ยากนักที่ดอกเหมยจะผลิบานเป็นรอบที่สอง การผลิบานเป็นครั้งที่สองหนนี้จึงเป็นการเบ่งบานที่คึกคักยิ่งนัก ขุนนางบางคนกล่าวว่าเป็นเพราะบุญญาธิการขององค์จักรพรรดิ จึงทำให้สวรรค์ประทานนิมิตหมายอันดีเช่นนี้มาให้

เมื่อเรื่องยิ่งใหญ่นี้แพร่ออกไป เหล่าประชาชนย่อมพากันบอกต่อญาติสนิทมิตรสหายให้มา ดังนั้นระหว่างเดินทางพวกกู้ซีจิ่วทั้งสองจึงได้พบปะผู้คนไม่น้อยเลย

เหล่าราษฎรย่อมจดจำรถม้าของกู้ซีจิ่วได้ ระหว่างทางจึงมีผู้หวังดีเข้ามาทักทายไถ่ถามเป็นครั้งคราว…

เจ้าหอยยักษ์เลิกม่านรถมองออกไปด้านนอกแวบหนึ่ง “เจ้านาย มีคนตามพวกเรามาเยอะแยะเลย”

กู้ซีจิ่วก็มองเห็นเช่นกัน หลังจากประชาชนเหล่านั้นเข้ามาทักทายเธอแล้ว ก็พากันตามหลังรถม้าอยู่ห่างๆ คงอยากจะซึมซับไอมงคลจากรถม้าของทูตสวรรค์พิทักษ์แผ่นดิน

เหล่าประชาชนล้วนชมชอบเรื่องเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว กู้ซีจิ่วจึงไม่เก็บมาใส่ใจเช่นกัน เธอมองไปด้านหน้า มองเห็นสีแดงสดผืนหนึ่งอยู่ไกลๆ จะถึงป่าเหมยแล้ว!

“เอ๋! ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย! เรือของท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายนี่!” ด้านนอกมีเสียงคนตะโกนขึ้นมาเบาๆ

กู้ซีจิ่วที่อยู่ในรถแข็งทื่อไปเล็กน้อย แล้วกลับสู่สภาพปกติทันที ม่านรถของเธอเลิกเปิด เธอจึงถือโอกาสมองออกไปด้านนอก มองเห็นเรือสีฟ้าลำหนึ่งแล่นอยู่บนเส้นทางที่ขนานกัน เป็นพาหนะของตี้ฝูอี

เรือลำนี้ของเขาเหินไปเหินมาอยู่บนฟ้าเสมอมา ยากนักที่จะได้เห็นมันเคลื่อนอยู่บนพื้น ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงมองมากขึ้นอีกหลายครา

บอกว่าเคลื่อนอยู่บนถนน ทว่าความจริงแล้วค่อนข้างคล้ายเรือโฮเวอร์คราฟต์[1] ท้องเรือยังคงยกห่างจากพื้นครึ่งฉื่อ

————————————————————————————-

บทที่ 1633 ท่านขวางทางของพวกเราอยู่

ความเร็วของเรือรวดเร็วยิ่งนัก พริบตาเดียวก็เคลื่อนมาถึงบนทางสายหลักที่รถม้าของกู้ซีจิ่ววิ่งอยู่แล้ว

ช่างประจวบเหมาะบังเอิญ ขวางทางสัญจรของรถม้ากู้ซีจิ่วเข้าพอดี

เรื่องราวล่วงเลยมาเกือบครึ่งปี ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็ได้เห็นตี้ฝูอีอย่างแท้จริงแล้ว

ตี้ฝูอีนั่งอยู่ในเรือ สวมอาภรณ์ม่วงพราวระยับ สวมหน้ากากบดบังใบหน้า เรือนผมสีเงินเหมือนอยู่ใต้แสงหิมะดูสะดุดตาเป็นพิเศษ

อำนาจของเขาแข็งแกร่งนัก นั่งอยู่ตรงนั้นราวกับทวยเทพที่ทอดมองแดนมนุษย์

เหล่าราษฎรพากันทำความเคารพ หลังจากหลงโม่เหยียนตะลึงงันไปครู่หนึ่ง ก็ลงจากม้าก้าวเข้าไปทำความเคารพเช่นกัน

ยามนี้ฐานะของกู้ซีจิ่วเสมอศักดิ์กับเขาแล้ว ไม่จำเป็นต้องลงจากรถไปทำความเคารพ ดังนั้นเธอจึงนั่งเงียบๆ อย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว สายตาหยุดอยู่ที่เรือนผมสีเงินของเขาแวบหนึ่ง แล้วละสายตาไปเลย

หนนี้บนเรือของตี้ฝูอีมีเพียงมู่เฟิงกับเด็กหนุ่มชุดดำอีกคนเท่านั้น

หลังจากตี้ฝูอีให้คนเหล่านั้นลุกขึ้นมาแล้ว ในที่สุดสายตาก็ร่อนลงบนดวงหน้าของกู้ซีจิ่วแวบหนึ่ง นัยน์ตาหยีโค้งนิดๆ คล้ายจะยิ้มแวบหนึ่ง “ทูตสวรรค์กู้ บังเอิญนัก! นึกไม่ถึงว่าจะได้พบกันที่นี่”

ทูตสวรรค์กู้…

มุมปากของกู้ซีจิ่วยกโค้งนิดๆ ถ้อยคำที่เขาเรียกขานเธอในแต่ละครั้งยิ่งห่างเหินขึ้นเรื่อยๆ

“ใช่แล้ว บังเอิญนัก” กู้ซีจิ่วยิ้มน้อยๆ รอยยิ้มงามล่มเมือง พลางเอ่ยเสริมอีกประโยค “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายหลบทางให้หน่อยได้หรือไม่? ท่านขวางทางของพวกเราอยู่”

พวกเรา…

สายตาของตี้ฝูอีกวาดผ่านร่างของโม่เจ้าแวบหนึ่ง “พวกเจ้าสองคนจะที่ใดกันหรือ?”

กู้ซีจิ่วตอบไปว่า “พวกเราจะไปที่ใดก็คล้ายว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายนะ”

ตี้ฝูอีถูกตอกหน้าจนเงียบไปครู่หนึ่ง เอ่ยขึ้นอย่างเฉยเมย “ไม่เกี่ยวจริงๆ นั่นแหละ ข้าก็ถามไปเรื่องเท่านั้นเอง”

เมื่อพูดจบ เรือของเขาเบี่ยงไปด้านข้าง เปิดทางให้รถม้าของกู้ซีจิ่วผ่านไป

กู้ซีจิ่วก็ไม่โอ้เอ้เช่นกัน รถม้าเคลื่อนผ่านข้างเรือของเขาไป หลงโม่เหยียนย่อมติดตามไปด้วย เดินทางกับกู้ซีจิ่วต่อไป

เสียงสนทนาของหลงโม่เหยียนกับกู้ซีจิ่วแว่วมาจากที่ไกลๆ

“ซีจิ่ว ข้างหน้าก็เป็นป่าเหมยแล้ว ชมดอกเหมยกลางหิมะก็เป็นความสำราญประการหนึ่งเช่นกัน”

“นี่ก็ถูก ประเดี๋ยวลงจากรถแล้วไปเที่ยวชมกันให้สนุกเถอะ”

รถม้าสีขาวพิสุทธิ์จากไปไกลแล้ว นาวาของตี้ฝูอีกลับยังหยุดนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อนอยู่นาน

มู่เฟิงมองเจ้านายของบ้านตนอย่างเห็นใจยิ่งนัก แม่นางกู้อาจจะก้าวข้ามไปได้แล้วจริงๆ กลับเป็นเจ้านายของบ้านตนที่นับวันยิ่งเข้าใจยากขึ้นเรื่อยๆ

เด็กหนุ่มชุดดำที่อยู่บนเรือของเขาหนาวจนทนไม่ไหวแล้ว หนาวสะท้านอยู่ตรงนั้นไม่หยุด

เขาอยากเร่งให้ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายรีบเข้าสู่เมืองหลวง แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยออกมา

ตี้ฝูอีนั่งนิ่งอยู่บนเรือ ดั่งรูปสลักน้ำแข็งก็มิปาน พลังอำนาจอันกล้าแข็งนั้นทำให้เขาไม่กล้าพูดจาเหลวไหลเลยสักประโยค

มู่เฟิงมองเด็กหนุ่มชุดดำคนนั้นแวบหนึ่ง ลอบส่ายหน้า และตบไหล่เขาทีหนึ่ง “หนาวไหม?”

เด็กหนุ่มชุดดำคนนั้นสั่นระริกยอมรับอย่างตรงไปตรงมา “หนาว!”

“ตัวเจ้าดีชั่วอย่างไรก็มีพลังวิญญาณขั้นหกแล้ว ซ้ำยังอ้างตัวเป็นสานุศิษย์สวรรค์ จะต้องมีฝีมือให้มากหน่อยสิ ทำไมแม้แต่ความหนาวแค่นี้ก็ยังทนไม่ได้?”

เด็กหนุ่มคนนั้นเงียบไปแล้ว

ยามปกติเขาทนหนาวได้จริงๆ สวมชุดบางๆ ชั้นเดียวตอนหิมะตกหนักก็ไม่กลัวหนาวเลย

แต่ไม่รู้ว่าทำไม นับตั้งแต่ก้าวขึ้นเรือของท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย เขาก็หนาวยะเยือกอยู่ตลอด หนาวเข้าไปถึงกระดูก เขาพยายามจะอดทนต่อช่วงเวลาที่เคี่ยวกรำอย่างสุดชีวิต เพียงรอให้ถึงเมืองหลวงเร็วๆ หน่อย เข้าจุดพักม้าให้เร็วหน่อย เขาก็จะได้ความอบอุ่นแล้ว

เขารู้สึกว่าตนน่าเวทนายิ่งนัก เป็นอัจฉริยะผู้มีพรสวรรค์อย่างมิต้องสงสัยเลย ถูกสหายรายล้อมสรรเสริญเยินยอว่าเป็นอัจฉริยะมาโดยตลอด ช่วงเที่ยงก่อนวันถึงวันสิ้นปีเขาคุยโวโอ้อวด คุยโม้กับเหล่าสหาย บอกว่าตนอาจจะเป็นสานุศิษย์สวรรค์ก็ได้…

จากนั้นท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายก็มาเยือนถึงหน้าประตูในคืนสิ้นปี! และฝันร้ายของเขาก็เริ่มขึ้นนับตั้งแต่วันนั้น จวบจนยามนี้ก็ยังไม่สิ้นสุดลง…

——————————————————————————-

[1] เรือโฮเวอร์คราฟต์คือเรือสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบกชนิดหนึ่ง เป็นเรือไฮบริดที่สามารถเดินทางบนผิวน้ำ ผิวโคลน และพื้นผิวชนิดอื่นๆ ได้ มีต้นกำเนิดมาจากประเทศอังกฤษ ส่วนใหญ่ใช้สำหรับการขนส่งลำเลียงเพื่อบรรเทาภัยพิบัติและใช้งานทางด้านการทหาร

ลำนำบุปผาพิษ

ลำนำบุปผาพิษ

เธอคือนักฆ่าสาวผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการมืด แต่ดันตายเพราะโดนคนที่เชื่อใจตลบหลัง! ไม่รู้ว่านรกชังหรือสวรรค์เป็นใจ เธอถึงตื่นขึ้นมาอีกครั้งในร่างเด็กสาวอัปลักษณ์ที่ถูกลวงให้เอาชีวิตมาทิ้ง ผู้คนในโลกนี้ยึดถือในเรื่องของพลังวิญญาณ ทว่าร่างนี้ไม่มีพลังวิญญาณอยู่เลยสักนิด เป็นสวะไร้ค่าชิ้นใหญ่ที่พบเจอได้ยากยิ่ง!! แต่ไม่มีพลังวิญญาณก็ไม่เห็นเป็นไร ร่างนี้มีเธอมารับช่วงต่อแล้ว เธอจะทวงคืนทุกอย่างแทนเจ้าของร่างเดิม ทวงเอาทุกสิ่งที่ควรมีกลับมา!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset