ลิขิตฟ้าชะตารัก – ตอนที่ 643 ชู่ / ตอนที่ 644 พระราชวังของราชวงศ์ก่อน

ตอนที่ 643 ชู่  

 

 

 

 

 

หนิงจื่อเย่เดินมาที่ริมหน้าต่าง สะบัดชายเสื้อ แล้วกระโดดออกไปทางหน้าต่างอย่างผ่อนคลาย  

 

 

อวี้อาเหรามองไปที่เขานิ่งๆ ทันใดนั้นก็ไม่มีท่าทีจะตอบรับ หรือนางจะต้องกระโดดออกไปจริงๆ?  

 

 

นอกหน้าต่างมีหมู่แมกไม้ ดูเงียบสงบเป็นอย่างมาก ก่อนหน้านี้นางก็เคยกระโดดออกนอกหน้าต่างไปเหมือนกัน  

 

 

“มัวมองอะไรอยู่? รีบลงมาเสียที!” หนิงจื่อเย่หันกลับมา เมื่อเห็นนางเอาแต่จ้องมองหน้าต่างไม่ขยับไปไหน คิ้วก็เลิกขึ้นสูง “หรือเจ้าจะให้ข้าแบกเจ้าไป?”  

 

 

“ไม่ต้อง” อวี้อาเหราว่าเสียงห้วน ปีบกรอบหน้าต่างแล้วกระโดดลงไป  

 

 

หนิงจื่อเย่หันกลับมามองนาง “ท่าทางของเจ้าไม่เหมือนกุลสตรีสูงศักดิ์แห่งตระกูลสูงส่งเลยแม้แต่น้อย…”  

 

 

“เจ้ายังจะพูดอีก!” อวี้อาเหราจ้องมองเขา ความต้องการของเขานั้นต้องการที่จะเยาะเย้ยนาง หรือต้องการที่จะเตือนว่านางนั้นอย่างไรก็ไมใช่คุณหนูรองหลิงตัวจริง?  

 

 

ทั้งสองเดินมาถึงด้านนอกที่มืดสนิท มีเพียงม้าสีดำสองตัวอยู่ข้างถนน ราวกับได้หลอกรวมกันกับรัตติกาลเสียแล้ว  

 

 

อวี้อาเหราเงยหน้าขึ้น แล้วชี้ไปที่ม้าตัวนั้น “ขี่ม้าไปหรือ?”  

 

 

“แน่นอน” หนิงจื่อเย่จ้องมองอย่างสงสัย “เจ้าอย่าบอกข้านะ ว่าคุณหนูแห่งตระกูลแม่ทัพจะขี่ม้าไม่เป็น?”  

 

 

แม้จะรู้อยู่แล้วว่านางไม่ใช่เจ้าของร่างก็ยังแขวะไม่เลิก ช่าวเป็นคนที่น่ารำคาญเสียจริง  

 

 

อวี้อาเหราไม่สนใจเขา พลิกตัวขึ้นขี่ม้า แล้วเลิกคิ้วให้หนิงจื่อเย่ “ไปสิ หรือจะให้ข้าสอนเข้าขี่ม้า?”  

 

 

“ไม่ต้อง” น้ำเสียงเยาะเย้ยของนางไม่ใช่ว่าหนิงจื่อเย่จะฟังไม่เข้าใจ รีบคว้าม้าอีกตัวเอาไว้แน่น  

 

 

เมื่อตะคอกลงไปหนึ่งเสียง ม้าก็เริ่มขยับกีบเท้าแล้วออกวิ่งห้อตะบึง  

 

 

ฝีมือการขี่ม้าของอวี้อาเหรานั้นไม่ค่อยจะดีนัก แต่ก็พอถูๆ ไถๆ หนิงจื่อเย่ที่ทำราวกับกำลังจะล้างแค้น จึงควบม้าราวกับพายุ นางทำได้เพียงพยายามไล่ตามจากด้านหลัง พยายามที่จะไล่ตามให้ทัน ไม่สงสารความเป็นหญิงของนางเลยแม้แต่น้อย  

 

 

เจ้าฉู่ป๋ายที่ไม่รู้จักเห็นใจสตรี แต่หนิงจื่อเย่ผู้นี้กลับไม่เห็นสตรีอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย!  

 

 

เรียกได้ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า ยังมีความเข้าใจในจิตใจของบุรุษ  

 

 

พวกเขาวิ่งควบไปยังสถานที่รกร้าง ทั่วทั้งบริเวณไม่มีใครเลย ทั้งยังมืดไปหมด ทว่าหนิงจื่อเย่กลับดูมีท่าทีระแวดระวังเป็นอย่างมาก ค่อยๆ หยุดม้า แล้วหันกลับไปมองนางสื่อให้นางหยุด อวี้อาเหรามองเขาด้วยความเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง สุดท้ายก็หยุดฝีเท้าม้า  

 

 

สถานที่ตรงหน้าดูราวกับเป็นตำหนักหนึ่ง ทว่ากลับโดนเผาเสียจนไม่เหลือซาก ได้กลิ่นคาวเลือดและกลิ่นเผาไหม้ลอยคลุ้งไปนอากาศ อวี้อาเหราถอนสายตากลับมาจากสถานที่ตรงหน้า หันไปมองหนิงจื่อเย่ แล้วเอ่ยปากถามขึ้นอย่างสงสัย “ที่นี่คือที่ไหน”  

 

 

แปลกยิ่งนัก เหตุใดจึงพานางมายังสถานที่แห่งนี้  

 

 

“ชู่!” หนิงจื่อเย่มองไปรอบๆ จากนั้นก็เอานิ้วชี้มาทาบกับริมฝีปาก สายตามองไปรอบๆ อย่างตื่นตัว  

 

 

อวี้อาเหราชะงัก เมื่อเห็นเขาเคร่งเครียด ก็ไม่กล้าที่จะพูดอะไรอีก  

 

 

เป็นเพราะเขานิ่งเงียบอย่างระมัดระวัง ก็ทำให้นางกระวนกระวายไปด้วย และคิดว่าต้องทำตามที่เขาพูด  

 

 

ทันทีที่เสียงชู่ของเขาดังขึ้น ทันใดนั้นก็มีคนสองสามคนเดินออกมาจากเงามืด ท้องฟ้ามืดครึ้ม รอบด้านไม่มีแสงตะเกียงใดๆ แม้บนท้องฟ้าก็ไม่มีแสงดาวแสงจันทร์แม้แต่น้อย เป็นความมืดมิดที่จมเข้าไปสู่ขั้วหัวใจ ในสถานที่ที่แปลกตา อวี้อาเหราก็เคร่งเครียดขึ้นมา  

 

 

หนิงจื่อเย่รีบยกมือขึ้นโอบไหล่ของนาง แล้วก้าวไปด้านหลัง นำร่างทั้งร่างหลบเข้าไปในความมืด   

 

 

“ใครอยู่ตรงนั้น ไสหัวออกมา!” เสียงดุดันแหบพร่าร้องออกมา เหมือนกับเสียงแตกของไม้ฟืนในกองไฟ ไม่น่าฟังเสียเหลือเกิน คนที่พูดนั้นเหมือนสวมเกราะเอาไว้ เพราะได้ยินเหมือนเสียงเสียดสีกันยามที่พูด จึงสามารถคาดเดาได้จากเสียงที่พูดออกมา   

 

 

 

 

 

ตอนที่ 644 พระราชวังของราชวงศ์ก่อน  

 

 

 

 

 

ร่างนั้นค่อยๆ เดินออกมา ก้าวไปทางที่พวกเขาอยู่  

 

 

อวี้อาเหรากระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด หันไปถามเสียงเบา “ทำอย่างไรดี”  

 

 

“ชู่!” หนิงจื่อเย่ทำท่าทีให้นางหยุดพูด จากนั้นก็ดึงของบางอย่างออกมาจากในมือ ของสิ่งนั้นระเบิดออกกลางอากาศ ทำให้คนที่ได้ยินตกใจเสียจนขวัญกระเจิง จากนั้นนักรบหญิงที่สวมชุดดำใช้กระบี่ยาวกลุ่มหนึ่งก็ออกมาจากความมืด นักรบในชุดเกราะตื่นตกใจ รีบตั้งรับในทันที  

 

 

ใช้โอกาสนี้ หนิงจื่อเย่ก็ดึงมือของนาง พุ่งเข้าไปในตำหนักเก่าแห่งหนึ่ง  

 

 

ด้านในมืดทึบ ราวกับเป็นสถานที่ผีสิงที่เคยเห็นในภาพยนตร์ และไม่เห็นเงาคนแม้แต่น้อย  

 

 

ได้ยินแต่เสียงกระบี่ปะทะกันจากด้านนอก  

 

 

เมื่อเห็นดังนี้ อวี้อาเหราจึงค่อยเข้าใจ ว่านักรบหญิงสวมชุดดำนั้นคงจะเป็นคนของหนิงจื่อเย่ หากไม่ใช่พวกนางเพราะพวกนางคอยกันเหล่านักรบชุดเกราะเอาไว้ มิเช่นนั้นพวกนางจะเข้ามาถึงที่นี่ได้หรือ?  

 

 

สิ่งที่ทำให้นางคิดไม่ตกที่สุด ทำไมจึงต้องส่งคนมาคอยคุ้มกันซากตำหนักพังๆ เช่นนี้…  

 

 

หนิงจื่อเย่ก้มหน้าลงมองนาง ราวกับมองเห็นสีหน้าสงสัยของนาง จากนั้นจึงค่อยตอบคำถามนาง “ที่นี่คือวังหลวงของรัชกาลก่อน”  

 

 

“วังหลวงหรือ?” อวี้อาเหราได้ยินแล้วก็อยากหัวเราะ “มีพระตำหนักผีสิงเช่นนี้ด้วยหรือ?”  

 

 

“ตอนนี้ฮ่องเต้รัชกาลปัจจุบันได้ถือโอกาสที่เกิดเหตุวุ่นวายสถาปนาราชวงศ์ต้าเยี่ยนขึ้น แน่นอนว่าราชวงศ์ก่อนจะต้องถูกกวาดล้างจนเ**้ยนเตียน เหลือเอาไว้เสียงที่นี่ที่เดียวเท่านั้น ดังนั้นจึงได้สภาพเช่นนี้ ก่อนหน้านี้หลายปี ที่นี่เคยเป็นสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองมากที่สุด เพียงการเลือกเฟ้นสถานที่และก่อสร้างก็สิ้นเปลืองแรงงานไปมาก และยังดำเนินไปหลายรัชกาลกว่าจะเรียบร้อย คำว่ารุ่งเรืองก็คงพอจะอธิบายให้เข้าใจได้กระมัง?” หนิงจื่อเย่อดไม่ได้ที่จะเยาะเย้ยความตื้นเขินเบาปัญญาของนาง  

 

 

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น แล้วทำไมถึงไม่รวบรวมทหารยึดอำนาจเสียเล่า?” อวี้อาเหรานึกถึงเหล่าทหารชุดเกราะที่มีหน้าตาดุดัน  

 

 

“เมื่อราชวงศ์ที่แล้วถูกทำลาย ฮองเฮาและฮ่องเต้ล้วนแล้วแต่สิ้นพระชนม์ในทะเลเพลิงแห่งนี้ มีเพียงองค์หญิงจีซูแห่งราชวงศ์ก่อนที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย แม้แต่รัชทายาทวัยทารกก็ยังเอาชีวิตไม่รอด แต่องค์หญิงจีซูผู้นี้ก็ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีเช่นไร ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันกลัวว่าราชวงศ์ก่อนจะก่อกบฎยึดครองแผ่นดิน แย่งอำนาจจักรพรรดิคืนไป ดังนั้นจึงส่งกองกำลังมาตรึงพื้นที่นี้เอาไว้ แต่ใครจะรู้องค์หญิงจีซูผู้นี้ หากโชคไม่ดีก็คงตายไปแล้ว แต่หากโชคดีก็คงยังมีชีวิตอยู่…”  

 

 

“แล้วมีหลักฐานหรือไม่ที่นางหายตัวไป?” อวี้อาเหราถามอย่างแปลกใจ  

 

 

“ทั้งฮองเฮาและองค์รัชทายาทต่างมีพระศพยืนยัน มีเพียงองค์หญิงจีซูเท่านั้นที่หาไม่พบ ดังนั้นจึงยังไม่อาจสรุปได้” หนิงจื่อเย่มองตาของนางแล้วจึงตอบ  

 

 

อวี้อาเหราชะงักไป “หรือว่า อาจจะถูกเผาไปจนหมดแล้ว?”  

 

 

“ก็อาจเป็นได้” หนิงจื่อเย่ว่า สายตาจ้องมองท้องฟ้านิ่งๆ  

 

 

อวี้อาเหรามองตามสายตาของเขาไป ก็เห็นเพียงกลุ่มก้อนแห่งความมืด ความดำมืดเต็มท้องฟ้ากระจายโอบล้อมตัวของพวกนางเอาไว้จนมองอะไรไม่เห็น เขามองอะไรกันแน่?  

 

 

“ใช่แล้ว แล้วเจ้ามาบอกข้าทำไม มันเกี่ยวอะไรกับข้าเล่า?” ในที่สุดอวี้อาเหราก็ถามคำถามที่แสนสำคัญขึ้นมา นางหรี่ตามองหนิงจื่อเย่ด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้ ไม่รู้ว่าเขามีแผนการอะไรกันแน่  

 

 

หนิงจื่อเย่ก้มหน้า มองไปที่นาง แล้วค่อยๆ แย้มริมฝีปากออก “เจ้าอาจจะเคยได้ยิน ว่าฮองเฮาแห่งราชวงศ์ก่อนมีพระโฉมเหมือนพระชายาหลิงอ๋องยิ่งนัก?”  

 

 

“ไม่เคยได้ยิน” อวี้อาเหราส่ายหน้า จากนั้นก็ชะงัก แล้วเอ่ยขึ้นอย่างลืมตัว “หรือเจ้าจะบอกว่า คุณหนูรองหลิงนั้นคือองค์หญิงจีซูแห่งราชวงศ์ก่อนหรือ? นางหน้าตาเหมือนพระชายาหลิงอ๋อง แน่นอนว่าจะต้องเหมือนฮองเฮาแห่งราชวงศ์ก่อนด้วย”  

ลิขิตฟ้าชะตารัก

ลิขิตฟ้าชะตารัก

วิญญาณของ อวี้อาเหรา หญิงสาวจากศตวรรษที่ 21 ได้ทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของคุณหนูรองแห่งจวนหลิงอ๋องที่มีร่างกายอ่อนแอ ซ้ำยังถูกองค์รัชทายาทที่นางรักมานานหลายปีผลักตกเหวจนตายอย่างไร้เยื่อใย! หลังจากที่อวี้อาเหราได้เข้ามาอยู่ในร่างนี้แล้ว ด้วยสภาพร่างกายของร่างเดิมทำให้นางต้องทนรับกับอาการป่วยไข้หลังจากที่ถูกน้ำซัดไปเป็นเวลานาน แต่นับว่าสวรรค์ยังมีเมตตานัก ที่ทำให้นางรอดชีวิตมาได้ด้วยความช่วยเหลือของ ฉู่ป๋าย ซื่อจื่อผู้โดดเด่นแห่งจวนเซิ่นอ๋อง ต่อหน้าบุรุษผู้โดดเด่นเช่นเขา นางไหนเลยจะกระโจนเข้าหาเฉกเช่นสตรีนางอื่น สิ่งที่นางทำนั้นคือการหลีกเลี่ยงเขาให้ไกลที่สุด แต่ใครเล่าจะรู้ว่าเรื่องไม่คาดฝันได้เกิดขึ้นเสียแล้ว… … “คุณหนู ท่าน…ท่านตั้งครรภ์แล้ว!” เสียงสาวใช้เอ่ยบอกด้วยความตกใจ “เหลวไหล! ข้ายังไม่เคยข้องเกี่ยวกับบุรุษใด แล้วจะตั้งครรภ์ได้อย่างไรกัน!” อวี้อาเหราเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าไม่พอใจ ฉับพลันนั้นเซิ่นซื่อจื่อที่นั่งอยู่ข้างกายจึงเอ่ยขึ้น “หากว่าเจ้าลำบากใจนัก เช่นนั้นข้าจะรับเป็นพ่อของเด็กให้เอง”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset