ลิขิตฟ้าชะตารัก – ตอนที่ 647 กลับจวน / ตอนที่ 648 ถามเซิ่นซื่อจื่อ

ตอนที่ 647 กลับจวน

 

 

 

 

หิมะตกตลอดทั้งเย็น มาจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่หยุด

 

 

เมื่อหิมะตกลงมากระทบร่างกาย ก็กระจายหายไปอย่างรวดเร็วเหมือนละอองฝน ความหนาวเย็นติดกาย ท้องฟ้าที่หนาวเย็นเสียจนทำให้สั่นไปทั้งร่าง

 

 

เดิมตามลำพังไปตามถนน ด้านหน้าค่อยๆ มีแสงไฟจากตะเกียงปรากฏขึ้น และราวกับมีเสียงๆ หนึ่งร้องเรียก อวี้อาเหราตั้งใจฟัง ราวกับเป็นเสียงของเจาเอ๋อร์และเมี่ยวอวี้ ไม่เพียงแต่พวกนางทั้งสองเท่านั้น ยังมีคนอื่นอีก มีกลุ่มคนที่ถือโคมไฟกำลังเดินเข้ามาหานาง

 

 

เมื่อเห็นนางกำลังเดินอยู่บนถนนสายเล็ก เจาเอ๋อร์และเมี่ยวอวี้ก็วิ่งเข้ามารับด้วยความตกใจระคนยินดี แสงไฟจากโคมสั่นไหว

 

 

“คุณหนู เหตุใดท่านถึงมาอยู่ที่นี่ เมื่อครู่ท่านไปไหนมา? พวกบ่าวหาตั้งนาน แล้วทำไมร่างกายท่านจึงเย็นเช่นนี้…”

 

 

ยามที่กุมมือของอวี้อาเหราก็สัมผัสได้ถึงความหนาวเย็นไปทั่วทั้งร่าง ราวกับตากหิมะมาเป็นเวลานาน

 

 

อวี้อาเหราส่ายหน้าพร้อมยิ้มน้อยๆ “เมื่อครู่นี้ข้านอนไม่หลับ ดังนั้นจึงออกมาเดินเล่น ไม่คิดว่าจะทำให้พวกเจ้ากังวลใจ…”

 

 

“คุณหนูไม่เป็นไรก็ดีแล้วเจ้าค่ะ บ่าวเพียงกลัวว่าท่านจะเป็นอันตรายเท่านั้น เมื่อครู่นี้หากยังหาไม่พบ พวกบ่าวคงจะต้องทูลท่านอ๋องให้ทรงทราบ” เจาเอ๋อร์พูดไปพลาง ปลดเสื้อคลุมกันลมบนร่างไปพลาง แล้วคลุมลงบนร่างของอวี้อาเหรา ปากก็เอาแต่บ่นว่าอย่างไม่พอใจ

 

 

“ถูกแล้ว วันนี้เป็นเพราะข้าไม่ดีเอง ไม่ควรออกมาเดินเล่นเรื่อยเปื่อยเช่นนี้” อวี้อาเหรามองการการกระทำของสาวใช้ข้างกาย ในใจก็รู้สึกอบอุ่น

 

 

เมี่ยวอวี้ยื่นเตาอุ่นมือในมือของตัวเองมาให้ “บ่าวทราบดีว่าคุณหนูคงจะหนาว ดีที่ก่อนออกมานั้นได้คิดเอาไว้แล้ว จึงได้พกเอาเตาอุ่นมือมาด้วย เมื่อเห็นคุณหนูเป็นเช่นนี้ เป็นไข้ก็ไม่ได้หายได้ง่ายๆ หากกำเริบขึ้นมาอีกจะทำอย่างไร อ๊ะ! บ่าวก็ไม่ควรพูดจาไม่เป็นมงคลเช่นนี้”

 

 

“ไม่เป็นไร” อวี้อาเหราโบกมืออย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน “พวกเรากลับจวนกันก่อนเถิด ข้างนอกนี้หนาวเหลือเกิน”

 

 

“บ่าวจะไปส่งท่านกลับ” เมี่ยวอวี้และเจาเอ๋อร์มองตากัน แล้วเดินถือโคมไฟขนาบข้างซ้ายขวาพลางเดินกลับ

 

 

หิมะตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ดูแล้วคงจะไม่ยอมหยุด คงจะตกตลอดทั้งคืนเป็นแน่

 

 

กว่าจะกลับมาถึงห้องได้ก็ไม่ง่ายเลย เจาเอ๋อร์หนาวเสียจนตัวสั่นไปหมเด เมื่อมาถึงห้องที่แสนอบอุ่นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากบ่น “ปีนี้เป็นอย่างไรกัน ไม่เคยเห็นหิมะตกมาก่อน ทว่าครั้งนี้ หิมะกลับตกอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลย”

 

 

“ที่เจ้าไปตามหาข้ากลับจวนคงจะหนาวหนัก มาผิงไฟเสียสิ”

 

 

อวี้อาเหราได้ยินเจาเอ๋อร์บ่นเช่นนั้น ก็เงยหน้าขึ้นมองใบหน้าไม่วบอารมณ์ของนาง ริมฝีปากเผยให้เห็นรอยยิ้มหน่าย เมื่อเห็นเมี่ยวอวี้กะลังจัดการเสื้อผ้าของตัวเอง ก็ร้องเรียกให้นางเข้ามาผิงไฟให้อุ่น

 

 

ด้านนอกหนาวจับใจ จนทำให้พวกนางทั้งสองเป็นห่วงนางเช่นนี้

 

 

ทั้งสองค่อยๆ ย่องเข้ามา แล้วนั่งลงข้างๆ เตาผิง

 

 

“คุณหนู ทำไมวันนี้จู่ๆ จึงออกไปเดินเล่นด้านนอกเล่าเจ้าคะ” เจาเอ๋อร์ถามขึ้นมาอย่างนักสงสัย

 

 

อวี้อาเหรานั้นเป็นคนขี้เกียจเสมอมา อีกอย่างข้างนอกหนาวถึงเพียงนี้ แม้จะเรียกให้นางออกไปเดินเล่นนางยังขี้เกียจ แต่วันนี้นางกลับออกไปด้วยตัวเอง คิดว่าคงจะมีเรื่องด่วนแน่ เจาเอ๋อร์ที่เข้าใจอวี้อาเหราเป็นอย่างดีคิดในใจ

 

 

นางไม่ได้ออกไปข้างนอกเพราะนอนไม่หลับจริงๆ แต่เพราะถูกหนิงจื่อเย่เรียกออกไป อวี้อาเหราได้ยินเจาเอ๋อร์ว่าเช่นนี้ ก็ไม่อยากที่จะพูดถึงเรื่องที่เพิ่งจะเกิดขึ้น ตอนนี้สมองของนางยังคงวุ่นวายสับสน ไม่รู้เหมือนกันว่าควรจะทำอย่างไรดี

 

 

หรือว่าจะต้องไปที่พระอารามจีซูเพื่อถามหาสถานะที่แท้จริงของตัวเองจริงๆ?

 

 

นางไม่อยากไปเลย แต่หากไม่ไป เรื่องทุกอย่างก็คงจะไม่กระจ่างแน่

 

 

“เจาเอ๋อร์ ไปรินน้ำชาให้คุณหนูหน่อยสิ”

 

 

เมื่อเห็นบรรยากาศนิ่งเงียบ เมี่ยวอวี้ก็รีบส่งสายตาให้เจาเอ๋อร์ เพื่อเปลี่ยนเรื่องพูดคุยในทันที

 

 

 

 

ตอนที่ 648 ถามเซิ่นซื่อจื่อ

 

 

 

 

“อ้อ” เจาเอ๋อร์รินน้ำชาเงียบๆ

 

 

หลังจากอวี้อาเหราดื่มชาร้อนๆ ไปหนึ่งถ้วยแล้ว จึงค่อยหันไปหาพวกนางทั้งสอง “เวลาตอนนี้ก็ล่วงเลยไปแล้ว ข้าก็ง่วงเสียแล้ว พวกเจ้าไปพักผ่อนเถิด ไม่ต้องดูแลข้า”

 

 

“บ่าวขอตัว” เมื่อเจาเอ๋อร์และเมี่ยวอวี้จากไป อวี้อาเหราก็ค่อยจมสู่ความคิดของตัวเองอีกครั้ง

 

 

ความรู้สึกง่วงค่อยๆ จู่โจมเข้ามา นางกุมเตาอุ่นมือแล้วนอนหลับไป ผ้าห่มของนางอุ่นนัก ดูแล้วเจาเอ๋อร์และเมี่ยวอวี้คงเอาไปอบร้อนให้ก่อนแล้ว ทั้งหนานุ่มและอบอุ่น เพียงหลับตาไม่นานนางก็หลับไป

 

 

เช้าวันถัดมา นางตื่นแต่เช้าตรู่แล้วนั่งโต๊ะเพื่อรับประทานอาหารเช้า แล้วถามขึ้นมาอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก “เจาเอ๋อร์ เมี่ยวอวี้ พวกเจ้าเคยได้ยินเรื่องพระอารามจีซูหรือไม่?”

 

 

“พระอารามจีซูหรือเจ้าคะ?” มือของเจาเอ๋อร์และเมี่ยวอวี้ชะงัก จากนั้นจึงช้อนตาขึ้นมองนาง

 

 

อวี้อาเหราเห็นท่าทีของพวกนางแล้วก็เข้าใจขึ้นมาทันที “ดูแล้วพวกเจ้าคงรู้สินะว่าอยู่ที่ไหน ใช่หรือไม่?”

 

 

“บ่าวทราบก็จริงเจ้าค่ะ” เมี่ยวอวี้เลิกคิ้วขึ้นถาม “ทว่าคุณหนูถามถึงสถานที่เช่นนี้ไปทำไมกันเจ้าคะ”

 

 

“ก็แค่ถามไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้มีอะไรหรอก” อวี้อาเหราพูดจบก็เห็นว่าเมี่ยวอวี้ยังมีท่าทีสงสัย ดังนั้นจึงพูดต่อไปว่า “ก่อนหน้านี้ได้ยินคนอื่นพูดกัน ว่าที่แห่งนี้หากต้องการรู้เรื่องอะไรก็จะได้รู้หมด จึงรู้สึกว่าแปลกนัก ดังนั้นจึงถามพวกเจ้าว่ารู้เรื่องนี้หรือไม่ สงสัยว่าจะเป็นอย่างที่เขาเล่าลือกันหรือไม่?”

 

 

“บ่าวไม่เคยไป เพียงแค่ได้ยินมาว่าสถานที่แห่งนี้ช่างแปลกประหลาดนัก แต่ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่” เมี่ยวอวี้คิดอยู่สักครู่แล้วจึงเอ่ยขึ้นมา

 

 

เขาเอ๋อร์พยักหน้าเห็นด้วยกับเมี่ยวอวี้ “เมี่ยวอวี้พูดถูกแล้ว บ่าวก็เคยได้ยินว่ามีสถานที่เช่นนี้ ทว่าเพิ่งจะเคยเล่าลือกันเมื่อไม่นานมานี้เอง ว่าด้านในนั้นซ่อนความลับมากมายเอาไว้นับไม่ถ้วน หากต้องการจะรู้เรื่องอะไรสักอย่างก็ให้ไปค้นหาได้ที่นี่ แต่ว่าความลับในพระอารามจีซูนั้นเป็นของซื้อของขาย คนทั่วไปคงจะไม่อาจได้รู้ อีกอย่าง…”

 

 

เมื่อพูดเช่นนี้ นางก็หยุดพูดไป

 

 

“อีกอย่างอะไรหรือ” อวี้อาเหราเห็นนางอ้ำๆ อึ้งๆ ก็รีบถามขึ้นมาในทันที

 

 

“ความหมายของเจาเอ๋อร์ก็คือ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ที่ตรงนั้นไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหนกันแน่ ดังนั้นหากต้องการจะค้นหาก็ไมใช่ว่าจะหาพบได้ง่ายๆ เจ้าค่ะ…” เมี่ยวอวี้ตอบแทนเจาเอ๋อร์

 

 

“หา? แต่เคยได้ยินว่าสถานที่แห่งนี้อยู่ทางเหนือสุดของเมืองทางเหนือเฉิงเป่ยมิใช่หรือ” อวี้อาเหราชะงัก นางได้ยินหยิงจื่อบอกบอกนางเช่นนี้นี่นา

 

 

“จริงที่อยู่ที่เฉิงเป่ย ทว่าคุณหนู ท่านคงไม่รู้ว่เฉิงเป่ยนั้นกว้างขวางมาก มีพื้นที่หลายพันลี้ ทั้งยังมีป่าเขาล้อมรอบ ทั้งยังเต็มไปด้วยพืชพันธุ์ที่มีพิษ หากต้องการที่จะค้นหาก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายแน่ ดังนั้นแล้ว คนทั่วไปคงจะหาไม่พบแน่”

 

 

 “…”

 

 

อวี้อาเหราจึงค่อยเข้าใจขึ้นมาในทันที ที่แท้ก็เป็นสถานที่ที่อันตราย ค้นหาได้ยากเย็นเหลือเกิน หนิงจื่อเย่แค่พูดไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้นเอง เพื่อให้นางไปค้นหาพระอารามจีซู แม้ว่าจะหาพบแล้ว แต่ใครเล่าจะรู้ว่าพระอารามแห่งนั้นเป็นสถานที่ที่มีจริงหรือไม่

 

 

ก็เท่ากับหาไม่พบมิใช่หรือ!

 

 

และก็ไม่ได้จะหาพบได้ง่ายๆ

 

 

จู่ๆ นางก็ดีใจขึ้นมา ทว่ารอยยิ้มยังไม่ทันที่จะปรากฏขึ้นต่อหน้า ก็หายไปเสียแล้ว

 

 

แต่หากนางไม่ได้ออกไปค้นหาจริงๆ ร่างของนางในโลกนี้จะเป็นอย่างไรเล่า นางยังไม่รู้แน่ชัดเลยว่าตัวเองเป็นใครกันแน่ และอีกอย่างที่หนิงจื่อเย่พูดนั้นว่าเขาสามารถหาวิธีที่จะทำให้นางถอนหมั้นได้ ทว่าสิ่งแรกก็คือ นางจะต้องรู้แน่ชัดให้ได้ว่าความจริงนั้นเป็นอย่างที่เขาพูดหรือไม่

 

 

นางจะเป็นองค์หญิงของราชวงศ์ก่อนหรือไม่นั้น นางไม่สนใจ แต่ที่นางกลัวนั้นหากว่านางเกิดเป็นองค์หญิงขึ้นมาจริงๆ และเพราะฮ่องเต้องค์ปัจจุบันนั้นกังวลเกี่ยวกับทายาทที่มีชีวิตอยู่ของราชวงศ์ก่อน หากเขารู้หรือเข้าใจผิดว่านางคือองค์หญิงของราชวงศ์ก่อนจริงๆ นางจะต้องถูกฆ่าตายแน่ ก่อนหน้านั้น นางจะต้องรู้เรื่องทุกอย่างให้กระจ่างให้ได้

ลิขิตฟ้าชะตารัก

ลิขิตฟ้าชะตารัก

Status: Ongoing
วิญญาณของ อวี้อาเหรา หญิงสาวจากศตวรรษที่ 21 ได้ทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของคุณหนูรองแห่งจวนหลิงอ๋องที่มีร่างกายอ่อนแอ ซ้ำยังถูกองค์รัชทายาทที่นางรักมานานหลายปีผลักตกเหวจนตายอย่างไร้เยื่อใย! หลังจากที่อวี้อาเหราได้เข้ามาอยู่ในร่างนี้แล้ว ด้วยสภาพร่างกายของร่างเดิมทำให้นางต้องทนรับกับอาการป่วยไข้หลังจากที่ถูกน้ำซัดไปเป็นเวลานาน แต่นับว่าสวรรค์ยังมีเมตตานัก ที่ทำให้นางรอดชีวิตมาได้ด้วยความช่วยเหลือของ ฉู่ป๋าย ซื่อจื่อผู้โดดเด่นแห่งจวนเซิ่นอ๋อง ต่อหน้าบุรุษผู้โดดเด่นเช่นเขา นางไหนเลยจะกระโจนเข้าหาเฉกเช่นสตรีนางอื่น สิ่งที่นางทำนั้นคือการหลีกเลี่ยงเขาให้ไกลที่สุด แต่ใครเล่าจะรู้ว่าเรื่องไม่คาดฝันได้เกิดขึ้นเสียแล้ว… … “คุณหนู ท่าน…ท่านตั้งครรภ์แล้ว!” เสียงสาวใช้เอ่ยบอกด้วยความตกใจ “เหลวไหล! ข้ายังไม่เคยข้องเกี่ยวกับบุรุษใด แล้วจะตั้งครรภ์ได้อย่างไรกัน!” อวี้อาเหราเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าไม่พอใจ ฉับพลันนั้นเซิ่นซื่อจื่อที่นั่งอยู่ข้างกายจึงเอ่ยขึ้น “หากว่าเจ้าลำบากใจนัก เช่นนั้นข้าจะรับเป็นพ่อของเด็กให้เอง”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset